ตอนที่แล้วภาค 1 บทที่ 18 ชัยชนะของนักสะสม!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 1 ตอนนี้ 21 โอ้ ฉิบหาย

ภาค 1 ตอนที่ 20 คนเยอะงานก็เบาลง


27ตอนที่ 20 คนเยอะงานก็เบาลง

ยอดเขาเร้นลับของสำนักกระบี่วิญญาณมีประเพณีอันดีงามอย่างหนึ่งนั่นก็คือการเฝ้าชมความคึกคักและต้องเรียกให้คนมามุงดูด้วยกันเยอะๆ

แรกเริ่มที่สุดมีเพียงศิษย์สองพี่น้องชุดขาวดำที่เฝ้าสังเกตชั้นเมฆด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายพร้อมกับถางถางเยาะเย้ยผลงานของคนที่อยู่บนเส้นทางบรรลุเซียน ทว่าตอนที่ไห่อวิ๋นฟานเดินเข้าไปยังด่านสุดท้าย เปิดสงครามอันน่าตื่นเต้นกับสัตว์ปิศาจขั้นสามระดับเก้า หลังจากนั้นไม่นานชุดขาวดำสิบกว่าคนก็กรูกันเข้ามารวมตัวกัน เริ่มประเมินและวิจารณ์ผลงานของเขา

“เอ๋ องค์ชายคนนี้ว่องไวรวดเร็วมิเบา แค่ไม่กี่สิบวันก็เดินทางมาถึงด่านสุดท้ายแล้วหรือนี่?”

“เร็วแล้วมีประโยชน์อะไร? เส้นทางบรรลุเซียนเส้นนี้ไม่เคยมีใครเดินผ่านไปได้กว่าร้อยปีแล้ว ยิ่งเขาเดินเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเข้าใกล้ความล้มเหลวมากขึ้นเท่านั้น สัตว์ปิศาจด่านสุดท้ายเหมือนจะอยู่ขั้นสามระดับเก้า...เอ๊ะ นี่มิใช่ช้างดึกดำบรรพ์แห่งดินแดนซีอี๋หรือ? ใครเป็นคนสร้าง? เจ้าตัวนี้เป็นถึงจอมวายร้ายมือวางอันดับหนึ่งในบรรดาสัตว์ปิศาจระดับเดียวกัน อยู่แค่ขั้นสามระดับเก้าแต่อาจจะแข็งแกร่งว่าสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ดหรือแปดของสายพันธุ์อื่นสู้ไปก็ไม่มีโอกาสชนะ”

“ยังพูดอะไรมากไม่ได้ หลังใช้อาวุธธรรมพลังของสัตว์ปิศาจช้างดึกดำบรรพ์ลดไปถึงเจ็ดส่วน ระดับขั้นถูกลดลงแล้ว...”

“แล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า? ให้เจ้าสำนักลดขั้นตบะลงมาสู้กับเจ้า เจ้าคิดว่าจะชนะหรือ?”

“เจ้าอย่ามาชวนทะเลาะน่า ดูนั่น ไห่อวิ๋นฟานเคลื่อนไหวแล้ว!”

“โอ้โห ไม่คิดว่าจะเอากระบี่เท่าไม้จิ้มฟันในมือไปจิ้มช้างดึกดำบรรพ์ผิวหยาบเนื้อหนานั่น กล้าหาญ ช่างกล้าหาญโดยแท้!”

“ถูกต้อง แม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องตายแต่ก็ยังมิวายแกว่งกวัดกระบี่ จิตใต้สำนึกเช่นนี้น่าชื่นชมจริงๆ”

“อ๊ะ เหมือนจะถูกโจมตีกระเด็นลอยไปโน่นแล้ว โอ๊ะ โอ๊ะ ดูท่าทางจะร่วงจากหน้าผา”

“…เหมือนจะร่วงลงไปจริงๆ นะ?”

“มิใช่กระมัง? รอดูไปก่อน ไม่แน่เดี๋ยวอาจจะบินขึ้นมาแล้วพลิกสถานการณ์ก็ได้”

“… ผ่านไปนานขนาดนี้ ไม่เห็นมีอะไรเคลื่อนไหวเลยเถอะ! นอนจมอยู่ในกองหิมะไม่กระดิกเลย!”

“นะ...นี่มันเรื่องบ้าอะไร ไพ่ตายที่ซ่อนไว้ล่ะ? การพลิกสถานการณ์แล้วฟื้นคืนชีพอยู่ไหน?”

“มิใช่ว่าตายแล้วนะ? เจ้าเด็กนี่มิใช่คนที่อาจารย์ลุงอาจารย์อาหลายคนต่างให้ความสนใจเป็นพิเศษหรอกหรือ? สองสามวันก่อนอาจารย์ยังยกยอปอปั้นเขาว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ที่มีความหวังผ่านเส้นทางบรรลุเซียนครั้งนี้ได้ต่อหน้าพวกเราอยู่เลย จะจบแบบนี้น่ะหรือ!?”

“อาจารย์น่าจะต้องการใช้สิ่งนี้สอนพวกเราว่าบนเส้นทางบำเพ็ญเซียนนั้นทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้ ต้องตัดความหยิ่งยโสและอารมณ์หุนหันพลันแล่นออกกระมัง”

“…โธ่ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ดู แยกย้ายสลายตัวกันเถอะพวกเรา”

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ผู้ที่มารวมตัวชุมนุมก็แยกย้ายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงศิษย์พี่น้องสองคนที่ต้องรับผิดชอบเฝ้าอยู่ตรงนั้นต่อไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง ศิษย์น้องผู้นั้นยังคงรู้สึกเหลือเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ศิษย์พี่... ไห่อวิ๋นฟานผู้นั้นคงไม่ตายจริงๆ ใช่หรือไม่?”

ศิษย์พี่จ้องไปที่ชั้นเมฆ เอ่ยอย่างลังเลว่า “ข้ากลับคิดว่าเขาจงใจ ลักษณะท่าทางที่ลอยกระเด็นออกไปเมื่อครู่ไม่เป็นธรรมชาตินัก แม้จะมีเมฆหมอกขวางกั้นวิสัยทัศน์การมองเห็น และข้าก็ไม่ค่อยมั่นใจเต็มร้อย แต่หากเปลี่ยนไปมองอีกแง่มุมหนึ่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ไม่มีทางชนะได้ การกระโดดลงหน้าผาอาจจะมีโอกาสรอดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

“...อ๊ะ! ศิษย์พี่! เขาขยับตัวแล้ว!”

ศิษย์น้องชี้ไปยังภาพบนก้อนเมฆที่เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งอย่างตื่นเต้นยินดีเหลือจะกล่าว

——

แน่นอนว่าไห่อวิ๋นฟานยังไม่ตาย หากตาย เพลงกระบี่เมฆนุ่มนวลอันเป็นเพลงกระบี่ลับประจำราชวงศ์ที่สู้อุตส่าห์ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากมาตั้งหลายปีก็เป็นอันเหนื่อยเปล่าน่ะสิ

งานชุมนุมคัดเลือกเซียนไม่รับผู้บำเพ็ญที่เคยก้าวเท้าเข้าสู่เส้นทางเซียนแล้ว และบังเอิญที่ไห่อวิ๋นฟานเคยฝึกวิทยายุทธ์ของแดนมนุษย์บ้างเท่านั้น แม้ว่าทักษะความสามารถของเขาจะอยู่แค่ระดับสาม ทว่าฝีมือวรยุทธ์กลับเป็นหนึ่ง อายุเพียงสิบสองก็สามารถฝึกเพลงกระบี่ได้ถึงห้าหกส่วน และเขาก็ใช้กระบี่เมฆนุ่มนวลหนึ่งในอาวุธยอดเยี่ยมของสามทหารเทพแห่งอวิ๋นไท่ตวัดออกไป ไม่ว่าพลังแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มหาศาลขนาดไหนก็สามารถต้านทานได้

พละพลังทั้งหมดของสัตว์ปิศาจยักษ์มิได้ถึงขนาดใหญ่โตมโหฬาร แต่สำหรับสัตว์ดุร้ายขนาดนี้ แมลงเล็กๆ อย่างไห่อวิ๋นฟานไม่คุ้มกับการใช้พลังทั้งหมดเลยสักนิด งวงยาวใหญ่ประหนึ่งแผ่นศิลาหนาคู่นั้นฟาดลงบนพื้นอย่างรุนแรง เพียงพอที่จะทำให้ร่างคนแหลกละเอียด...ถ้าร่างไม่แหลก เช่นนั้นก็ฟาดอีกครั้งด้วยแรงที่มากขึ้นอีกเท่า

กระบี่เมฆนุ่มนวลของไห่อวิ๋นฟาน สกัดการโจมตีครั้งที่หนึ่งของช้างยักษ์ได้อย่างพอดิบพอดี จากนั้นจึงใช้พละกำลังทั้งหมดกระโจนลงหน้าผา เนื่องจากไม่ว่าเขาจะหลบไปด้านใด ล้วนต้องถูกเจ้าสัตว์ร้ายมหึมาไล่กวดแล้วถูกเหยียบตายคาที่อยู่ตรงนั้นแน่นอน

ส่วนการตกลงมาจากหน้าผานั้นมิใช่ปัญหาใหญ่อะไร เนื่องจากบริเวณผาของขุนเขาวายุน้ำแข็งเต็มไปด้วยหิมะหนาตลอดทั้งปี บวกกับพลังโจมตีของกระบี่เมฆนุ่มนวล... แม้ว่าสุดท้ายแล้วแรงสะท้อนกลับแทบจะทำให้เขากระอักเลือด แต่การรอดชีวิตจากสัตว์ปิศาจยักษ์ขั้นสามระดับเก้าได้ สำหรับเขาถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว

เขาสะบัดศีรษะเรียกสติแล้วดันตัวลุกขึ้นจากกองหิมะ ใบหน้าของไห่วอิ๋นฟานยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าไม่รู้ว่ามีความพอใจและขมขื่นอยู่กี่ส่วน การรักษาชีวิตไว้ได้คือชัยชนะ แต่หลังจากลดทอนพลังสัตว์ปิศาจไปสามครั้งติด ชัยชนะก็ยังคงอยู่ห่างไกลนัก อีกอย่างไห่อวิ๋นฟานก็มิได้มีไพ่ตายอะไรนั่น เกรงว่าเส้นทางบรรลุเซียนครั้งนี้จะจบลงตรงนี้จริงๆ

แน่นอนว่านี่มิได้หมายความว่าเขาจะยอมแพ้ อย่างไรก็ต้องพยายามจนถึงวินาทีสุดท้าย คิดถึงตรงนี้ไห่อวิ๋นฟานจึงค่อยๆ ตะเกียกตะกายไต่ขึ้นไปบนหน้าผาช้าๆ มีรางวัลที่มีพลังไร้ขีดจำกัดของหมู่บ้านดอกท้อชิ้นนี้แล้ว สามวันหลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง และในเวลานั้นเองผู้ทดสอบคนอื่นๆ ก็ตามเขามาได้ติดๆ

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ คนที่ตามเขาทันกลับเป็นหวังจง เด็กรับใช้ของหวังลู่!

ตอนที่เจอหวังจง ไห่อวิ๋นฟานแทบจะจำเขาไม่ได้ ล่าสุดที่พบกันเขายังเป็นเด็กรับใช้ที่ตามหลังคุณชายต้อยๆ แต่เจอกันคราวนี้ ร่างของเด็กหนุ่มกลับมีความมืดมนขึ้นหลายส่วน ท่าทางไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มคนก่อนได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น

แต่ไห่อวิ๋นฟานไม่แปลกใจเลยสักนิด คนที่เกิดในครอบครัวแห่งจักรพรรดิเช่นเขา รู้สึกได้ทันทีว่าหวังจงผู้นี้เป็นคนกระด้างกระเดื่องคิดคดทรยศตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเส้นทางบรรลุเซียนที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้ และไม่มีใครสามารถอยู่ภายใต้การคุ้มครองของใครได้ สุดท้ายก็ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะแยกทางกับหวังลู่ ถึงว่าสีหน้าจึงดูเปลี่ยนไปเหมือนผ่านอะไรมามากมาย ความรักทำให้คนโตขึ้นอย่างที่คิด

เมื่อไห่อวิ๋นฟานเห็นหวังจง หวังจงเองก็เห็นไห่อวิ๋นฟาน เพียงแวบเดียวเท่านั้น ใบหน้าอันแสนรันทดและเบื่อหน่ายนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มจริงใจและซื่อสัตย์

“ฝ่าบาทใช่หรือไม่?”

ไห่อวิ๋นฟานก็สับเปลี่ยนรอยยิ้ม ไม่ว่าหวังลู่และหวังจงจะมีเรื่องอะไรกัน ก็มิได้เกี่ยวอะไรกับบุคคลที่สามอย่างเขาคนนี้เสียหน่อย ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทางบนขุนเขาวายุน้ำแข็งทั้งนั้น เหตุใดจึงต้องทำสีหน้าไม่พอใจกับเขา?

“หวังจง? คิดไม่ถึงว่าจะเจอเจ้าที่นี่”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยชื่อตนเองได้อย่างถูกต้อง หวังจงก็มีสีหน้าประหลาดใจและซาบซึ้งอยู่ไม่น้อย แต่ก็เข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาทพักอยู่ที่นี่หรือ?”

แม้จะถามเช่นนั้น แต่สายตาของหวังจงกลับกวาดมองไปยังร่างของไห่อวิ๋นฟาน ชุดคลุมฉีกขาดรุ่งริ่งผืนนั้น รวมไปถึงร่างกายที่เต็มไปด้วยโคลนไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไห่อวิ๋นฟานกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก นอกจากนี้แม้ว่าจะออกจากหมู่บ้านดอกท้อนานขนาดนั้น แต่กลับถูกคนไล่ตามทัน คำอธิบายเหล่านี้น่าจะเพียงพอแสดงให้เห็นว่าเขากำลังประสบปัญหาอยู่

ไห่อวิ๋นฟานเองก็มิได้ปิดบัง เขาบอกเรื่องอุปสรรคที่ตนประสบพบเจอมาให้ฟังตรงๆ และเมื่อยิ่งเล่า สีหน้าของหวังจงก็ยิ่งน่าเกลียดไม่น่ามอง

บนเส้นทางนี้ หวังจงเดินแล้วก็ลำบากแสนสาหัสไม่ต่างกัน ของรางวัลที่ได้จากหมู่บ้านดอกท้อก็ใช้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนแรกก็คิดว่าพลังที่เหลือน่าจะเพียงพอให้ผ่านด่านสุดท้ายไปได้ แต่พอฟังที่ไห่อวิ๋นฟานเล่า หวังจงรู้เลยว่าไม่น่าจะมีโอกาสนั้น

เขาเองก็เอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “ข้าได้ยันต์ล่องหนห้าใบจากหมู่บ้านดอกท้อ แต่เมื่อห่างออกจากระยะประมาณสิบฉื่อก็จะถูกมองเห็น และไม่สามารถบดบังกลิ่นและเสียงได้... หากว่ากันตามที่ฝ่าบาททรงกล่าวมา สัตว์ปิศาจยักษ์ตัวนั้นกีดขวางเส้นทางต่อจากนี้ไว้ ข้าคิดว่ายันต์ล่องหนอาจจะใช้การอะไรไม่ได้”

ไห่อวิ๋นกล่าว “ต่อให้หนีเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นพ้นก็ไม่มีประโยชน์ ข้ารู้สึกว่าด่านนี้เราจำเป็นต้องคิดหาวิธีล้มมันให้ได้ การหลบเลี่ยงง่ายๆ ไม่ได้รับการยอมรับแน่”

“ล้มมัน? พูดเป็นเล่น คนที่ยังไม่ผ่านการบำเพ็ญมาก่อน จะล้มสัตว์ประหลาดพรรค์นั้นได้อย่างไร?” หวังจงกล่าวอย่างเหลือเชื่อ

ไห่อวิ๋นฟานจึงอธิบายว่า “หากใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมน่าจะสามารถทำอะไรได้ เช่น ล่อมันไปตรงหน้าผา มองหาสัตว์ปิศาจที่อยู่บริเวณนั้นเพื่อมาสู้กับมัน ส่วนผู้ทดสอบก็นั่งรอและตักตวงผลประโยชน์จากความพ่ายแพ้นั่น... หรือจะหาวิธีอื่นๆ ที่ทำให้ตัวเองผ่านมันไปให้ได้ภายใต้เงื่อนไขสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่รุนแรงเช่นนี้เป็นต้น อย่างไรก็มีวิธี”

หวังจงหัวเราะแต่ก็มิได้ตอบอะไร สิ่งที่ไห่อวิ๋นฟานกล่าวเมื่อครู่ ทำให้เขานึกถึงอดีตคุณชายที่ตนดูแลรับใช้ก่อนหน้านี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ไห่อวิ๋นฟานกล่าวต่อว่า “แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยลองมาแล้ว สัตว์ปิศาจร้ายตัวนั้นฉลาดมาก นอกจากนี้ระยะเวลาที่มันใช้ชีวิตอยู่ในขุนเขาวายุน้ำแข็งก็ยาวนานกว่าพวกเรามาก หากอยากออกแบบกับดักให้มันเกรงว่าจะยากเกินไป อีกอย่างพละกำลังของมันยังเหนือชั้นกว่าสัตว์ปิศาจตัวอื่นๆ ในนี้อย่างมาก แผนเฒ่าประมงตกปลาคงใช้การไม่ได้... เหอะๆ ถึงว่าหลายร้อยปีมานี้ไม่มีใครทำสำเร็จเลย”

หวังจงอดกล่าวไม่ได้ว่า “หลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่มีด่านหมู่บ้านดอกท้อ ครั้งนี้เรามีรางวัลอย่างอาวุธเซียนจากหมู่บ้านดอกท้อ นี่อาจจะเป็นโอกาส”

ไห่อวิ๋นฟานรู้สึกอยากขำ “พึ่งยันต์ล่องหนของเจ้ารึ?”

“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว ด้านหลังยังมีสหายของข้าอีกหลายคน”

ทันใดนั้นไห่อวิ๋นฟานก็ตะลึงลาน

เส้นทางหลังจากที่ออกจากหมู่บ้านดอกท้อมีสี่ถึงห้าเส้น คนที่สามารถผ่านด่านหมู่บ้านดอกท้อได้ก็มีประมาณสิบสามสิบสี่คน เฉลี่ยดูแล้วเส้นทางหนึ่งเส้นน่าจะมีเพียงสามถึงสี่คนเท่านั้น ทว่าเมื่อฟังน้ำเสียงของหวังจง เส้นทางขุนเขาวายุน้ำแข็งดูเหมือนจะมีคนมากกว่านั้น...

(อีกอย่าง เขาหากลุ่มได้แล้วอย่างนั้นหรือ? ถึงว่ามีเรื่องกับหวังลู่ขนาดนั้น ที่แท้ก็มีคนหนุนหลังนี่เอง ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้น่าจะเป็นคนนำทาง ว่าแต่คนที่ทำให้หวังจงเต็มใจทิ้งอดีตเจ้านายของตัวเองได้จะเป็นใครกัน?)

ไม่นานนัก คำตอบก็เผยออกมาเอง

สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ คนที่ดึงหวังจงให้มาเป็นพวกคือองค์ชายจูฉิน จากต้าหมิงแห่งแคว้นธาราคราม

ในอาณาจักรเก้าแคว้น ความยิ่งใหญ่ของต้าหมิงอยู่แค่ระดับห้าเท่านั้น อย่าหวังว่ามาเทียบชั้นกับจักรวรรดิอวิ๋นไท่เลย ต่อให้เป็นประเทศที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของอวิ๋นไท่ก็ยังไม่อาจอยู่ในสามอันดับแรก แต่พอดีว่าประเทศเล็กๆ ที่มีฐานอำนาจปานกลาง มีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับราชวงศ์แคว้นอื่นๆ นอกจากนี้หวังจงยังเกิดในต้าหมิง ย่อมต้องเคารพยำเกรงองค์ชายของประเทศตัวเองเป็นธรรมดา ขอแค่องค์ชายตั้งใจจะดึงมาเป็นพวก สำหรับเด็กน้อยอายุสิบกว่าปีอย่างหวังจงแล้ว แน่นอนว่าต้องได้มาอย่างไม่ต้องลำบากเปลืองแรงเลย

ส่วนสองคนที่อยู่ข้างองค์ชายจูฉิน ก็ล้วนเป็นบุตรของขุนนางชนชั้นสูงของแต่ละประเทศทั้งนั้น หนึ่งในนั้นยังมีคนที่เก่งกาจเหนือกว่าจูฉิน แต่เวลานี้กลับยอมยกย่องให้เขาเป็นผู้บังคับบัญชา เห็นได้ชัดว่าจูฉินมีทักษะทางสังคมสูงมิใช่เล่น   แน่นอน แม้ว่าทักษะทางสังคมของเขาจะมากมายเพียงใด แต่เมื่อเจอไห่อวิ๋นฟานคนจริงเช่นนี้ก็ย่อมต้องเคารพนอบน้อมเป็นธรรมดา หลังจากแนะนำตัวทักทายกันพอเป็นพิธี ทั้งสองฝ่ายก็เข้าสู่ประเด็น ปรึกษาหารือและวางแผนต่อกรกับสัตว์ปิศาจ

จูฉินเอ่ยขึ้น “รวมอาวุธทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้ก่อนก็แล้วกัน...ยันต์กระบี่วิญญาณสิบห้าแผ่น กระดิ่งกลับฝันหนึ่ง ใบ ยันต์ล่องหนสามแผ่น ผงหินอ่อนหนึ่งถุง และขลุ่ยร้อยวิหคหนึ่งเลา... อ้อ มีตุ๊กตาฟางคุณไสยลดพลังที่ใช้จนหมดไปแล้วอีกหนึ่งตัว”

ไห่หวิ๋นฟานยักไหล่ไม่แยแส เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายกล่าวต่อไป

“นอกจากนี้ ทุกคนต่างก็มีรางวัลพิเศษที่แตกต่างกันออกไป อาทิ พลังไร้ขีดจำกัด หรือพลังเท่าทวี... หากบุกเข้าโจมตีเดี่ยวๆ เชื่อได้เลยว่าต้องเป็นเหมือนองค์ชายไห่อวิ๋นฟานแน่ สามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ แต่หากเราร่วมมือกันเป็นกลุ่ม ย่อมมีโอกาสผ่านด่านมากกว่า”

ไห่อวิ๋นฟานพยักหน้าเห็นด้วยแล้วกล่าวเสริมขึ้นว่า “อย่างน้อยหลายวันมานี้ก็ยังไม่มีการแข่งขันแย่งชิงอะไรกันเกิดขึ้น และทุกคนก็มีเป้าหมายเดียวกัน”

“ถูกต้อง แค่เอาชนะสัตว์ปิศาจนั่นได้ พวกเราทั้งหมดก็จะได้เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณ หากจะมีการแข่งขัน รอหลังเข้าสำนักค่อยว่ากันอีกที”

หวังจงก็กล่าวพลางหัวเราะไปด้วยเช่นกัน “อีกอย่าง การที่พวกเราได้พบกันบนเส้นทางนี้ก็เป็นชะตาพรหมลิขิตอย่างแท้จริง ส่วนมากทางเส้นหนึ่งมักมีคนเพียงสามคนเท่านั้น คนเยอะงานก็ยิ่งเบาลง เช่นนี้ต้องผ่านด่านอย่างราบรื่นแน่นอน!”

“ฮ่าๆ ถูกต้อง! คนยิ่งเยอะงานก็ยิ่งเบาลง”

เมื่อตกลงร่วมมือกันแล้ว สิ่งถัดมาที่ต้องทำก็คือวางแผนการรบ แผนนั้นง่ายมาก นั่นก็คือทุกคนโจมตีพร้อมกัน สะกดมันด้วยกระดิ่งกลับฝัน ทำลายและสกัดกั้นด้วยผงอัคนีอ่อน ตามรังควานด้วยเสียงขลุ่ยร้อยวิหค และหลังจากนั้นทุกคนก็ใช้ยันต์กระบี่วิญญาณจู่โจมจุดอ่อนของมัน

ตามที่ไห่อวิ๋นฟานได้คำนวณไว้หลังใช้ตุ๊กตาฟางคุณไสยลดระดับตบะของมัน หากใช้แผนชุดนี้ อัตราความสำเร็จที่จะล้มเจ้าช้างยักษ์นี้ได้น่าจะมากกว่าเจ็ดส่วน หากสัตว์ปิศาจยังอยู่ขั้นสามระดับเก้า ชัยชนะสักกระผีกก็ยังไม่มีให้เห็น

เมื่อวางแผนเรียบร้อยแล้วก็ไม่ควรเสียเวลา ยืดเยื้อกว่านี้หากคาถาลดพลังสลายไป พวกเขามีหวังต้องพ่ายแพ้อย่างเจ็บแค้น

จากนั้นไห่อวิ๋นฟานก็เป็นคนนำทาง ทั้งห้าเดินเรียงแถวหน้ากระดานเข้าใกล้ถ้ำของสัตว์ปิศาจอย่างระมัดระวัง ไปตามเส้นทางเดิมแล้วเดินผ่านโค้งหนึ่ง ไห่อวิ๋นฟานก็เจอเจ้าสัตว์น้ำแข็งหิมะขนาดมหึมาที่ทำให้เขาต้องกระโดดลงหน้าผาเพื่อเอาชีวิตรอดตัวนั้นอีกครั้ง

“เดี๋ยวๆ... ข้าตาฝาดไปเองหรืออย่างไร?”

ไห่อวิ๋นฟานขยี้ตาอย่างแรงจนแทบจะมีน้ำเล็ดออกมาจากดวงตา

“หรือว่าสมองข้ากระทบกระเทือนหลังตกจากหน้าผา จนกะขนาดผิดพลาด?”

สาเหตุอาการตกใจของไห่อวิ๋นฟานมิได้เกิดขึ้นอย่างปราศจากเหตุผล เนื่องจากในระยะสามสิบจั้งนั้น ขนาดร่างกายของสัตว์ปิศาจมหึมาที่อยู่ในถ้ำตัวนั้นดูเหมือนว่าจะขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว!?

เดิมทีร่างนั้นสูงแค่สิบจั้งเท่านั้น หลังจากที่โดนพลังจากตุ๊กตาฟางคุณไสยไป ร่างกายของมันก็ลดขนาดลงเหลือเพียงเจ็ดจั้งเท่านั้น แต่ไฉนตอนนี้จึงเพิ่มใหญ่ขึ้นประมาณสิบห้าจั้งได้ นอกจากนี้น้ำแข็งบนตัวของมันก็ดูเหมือนจะแหลมคมมากขึ้น ร่างใหญ่ปกคลุมไปด้วยขนอันยาวเฟื้อย ส่วนมัดกล้ามเนื้อก็คล้ายจะปูดโปนขึ้นหลายส่วน ทำให้สัตว์ปิศาจตัวนี้ดูแข็งแกร่งและมีพลังการโจมตีที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น

“จะให้พวกเราสู้กับวายร้ายที่ใหญ่โตปานนี้? นี่มิใช่เป็นการบรรณาการตัวเองให้เป็นของว่างแกล้มน้ำชาของมันหรอกหรือ!”

“ผงอัคนีอ่อนแค่นั้นแม้แต่ละลายน้ำแข็งบนตัวของมันสักเส้นยังไม่ได้เลยกระมัง?!”

“ขอถามหน่อยยันต์กระบี่วิญญาณนั่นทำให้มันคันได้สักนิดไหม!?”

ในขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น จูฉินก็หันไปกระชากไห่อวิ๋นฟานอย่างอุกอาจพลางต่อว่า “ไหนเจ้าบอกว่าสัตว์ปิศาจนั่นถูกเจ้าลดพลังไปกว่าสามส่วนแล้ว!?”

ไห่อวิ๋นฟานยิ้มขื่นๆ แต่ตะโกนด่าอยู่ในใจ ‘เขาจะโกหกเรื่องแบบนี้เพื่ออะไร? ฆ่าคนในกลุ่มแล้วเขาจะได้คะแนนพิเศษหรือ? ใช้สมองตรองดูก่อนสักหน่อยจะตายไหม!? เห็นอยู่ทนโท่ว่าเจอสัตว์ปิศาจกลายพันธุ์!’

สัตว์ปิศาจกลายพันธุ์ในโลกบำเพ็ญเซียนมิใช่เรื่องแปลกประหลาดและหายากอะไร อาจเป็นเพราะสัตว์ปิศาจบังเอิญกลืนพลังวิญญาณสวรรค์สมบัติปฐพีเข้าไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ หรือฝึกฝนบำเพ็ญอย่างหนักหลายปี หรือโรคริดสีดวงทวารที่เป็นมานานถูกรักษาจนหาย... ล้วนแล้วแต่สามารถทำให้ตบะของสัตว์ปิศาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในชั่วข้ามคืน นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นในระดับสองเท่าอาจจะไม่ปกติสำหรับมนุษย์ แต่กับสัตว์ปิศาจที่บำเพ็ญตนมาหลายพันปีที่ลอกคราบจากปิศาจน้อยขั้นสามมาเป็นจิ้งจอกเก้าหางขั้นหกในชั่วข้ามคืนถือเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง เทียบกับช้างยักษ์จากดินแดนตะวันตกที่กลายร่างจากเจ็ดเป็นสิบห้าจั้งนี้ ถือว่าใจดีมากแล้ว

แต่จะว่าไป ปิศาจจิ้งจอกตัวนั้นพบกับตาเฒ่าวิปริตขั้นกำเนิดใหม่ที่หลงใหลเสน่ห์มัน แล้วเต็มใจสละพลังตบะของตัวเองเพื่อบำเพ็ญคู่จึงทำให้ตบะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนช้างยักษ์ที่มีหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวและดุร้ายตัวนี้ มีศิษย์พี่น้องสำนักกระบี่วิญญาณคนใดบ้างที่ชื่นชอบของแปลกและความตื่นเต้นสมัครใจสร้างสัมพันธ์กับมัน? โปรดก้าวออกมายืนข้างหน้าเพื่อรับการคารวะจากทุกคน

เห็นได้ชัดว่ามีสาเหตุอื่นที่ทำให้มันกลายพันธุ์

——

“นี่เป็นเรื่องบ้าอะไรกัน!?”

เหนือกลุ่มเมฆขึ้นไป หลิวเสี่ยนผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเร้นลับเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ “ไอ้ลูกชู้ระยำตัวไหนมันไปแก้ไขขุนเขาวายุน้ำแข็ง? ช้างดึกดำบรรพ์ขั้นสามระดับเก้ายังไม่รุนแรงพอหรือจึงต้องเพิ่มให้มันอยู่ในขั้นสามระดับสาม? ต้องให้มันบดขยี้ผู้บำเพ็ญขั้นสร้างรากฐานจนตายไปคนหนึ่งถึงจะพอใจรึ? เจ้าเกลียดเด็กใหม่ขนาดนั้นเชียว!?”

เบื้องหน้าของหลิวเสี่ยน เหล่าศิษย์พี่น้องชุดขาวดำต่างก้มหน้าสงบเสงี่ยมด้วยความอับอายและลำบากใจ แม้ว่าอาจารย์ของเขาจะตะโกนด่าทอต่อว่า แต่ก็มิได้ด่าคนของยอดเขาเร้นลับของพวกเขาแต่อย่างใด... งานชุมนุมคัดเลือกเซียนในครั้งนี้ ผู้ที่มีอำนาจแก้ไขแผนที่บรรลุเซียน นอกจากเจ้าสำนักแล้วก็เหมือนจะมีแต่คนผู้นั้น...

และก็เป็นเช่นนั้น ขณะที่หลิวเสี่ยนกำลังสาปแช่งอยู่นั้น น้ำเสียงคับแค้นใจเพราะรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ดังลอยมาจากเบื้องหลังของเขา

“ศิษย์พี่ท่านพูดจาเหลวไหลอะไรอีก ข้าพบว่าตั้งแต่ที่ท่านทะลวงจากขั้นสร้างแกนลมปราณเป็นขั้นกำเนิดใหม่ นิสัยของท่านก็ดูจะยิ่งเกรี้ยวกราดดุร้ายขึ้น หรือว่าท่านเป็นโรคซึมเศร้า?”

หลิวเสี่ยนโกรธจนจิตแห่งเต๋าแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ หมุนร่างแล้วชี้ไปยังหญิงสาวชุดขาวว่า “ถ้าวันนี้เจ้าไม่อธิบายมาให้ละเอียด ข้าจะไปรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าสำนักแน่!”

หญิงสาวยิ้มเยาะ “รายงาน? ดี ข้าจะอธิบายให้ท่านเอง! ข้าเป็นคนแก้ไขแผนที่บรรลุเซียนจริง ทว่าการแก้ไขของข้ามีแต่จะทำให้แผนที่บรรลุเซียนมีมนุษยธรรมมากขึ้น!”

หลิวเสี่ยนทึ่งในความหน้าด้านของอีกฝ่าย เขาหมุนร่างที่สั่นเทิ้มด้วยความโกรธแล้วชี้ไปยังก้อนเมฆ “ขั้นสามระดับสาม นี่น่ะหรือความมีมนุษยธรรมของเจ้า!?”

สตรีนางนั้นไม่เพียงไม่มีความละอายใจแม้แต่นิด แต่กลับหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “ถูกต้อง ยามที่ไห่อวิ๋นฟานมาถึงด่านนี้เพียงลำพัง สัตว์ปิศาจตัวนี้อยู่ในขั้นสามระดับเก้า แต่ตอนนี้เนื่องจากพวกเขารวมตัวตั้งกลุ่มโดยมีคนถึงห้าคน พละกำลังของช้างดึกดำบรรพ์ก็ย่อมต้องเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นธรรมดา ก็อย่างที่สุภาษิตกล่าวไว้ คนยิ่งเยอะงานย่อมเบาลง!”

หลิวเสี่ยนเข่าแทบทรุด “เจ้าหมายความว่า...จำนวนผู้ทดสอบเยอะขึ้นเท่าไหร่ ระดับพลังของสัตว์ปิศาจก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นรึ!?”

...........................................

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด