บทที่ 41 ไม่รู้ ฉันไม่รู้ 2 (1) [อ่านฟรี]
บทที่ 41 ไม่รู้ ฉันไม่รู้ 2 (1)
ล็อกทำได้แค่พยักหน้าของตนเพื่อรับรู้กับสิ่งที่คาร์ลกล่าวก่อนจะตัดสินใจเอ่ยกับคาร์ลในเวลาต่อมา
“ถ้าท่านไม่ทราบ....ข้าขออธิบายให้ท่านฟังได้ไหม?”
เขาเอ่ยถามในรูปแบบของประโยคคำถามแต่ดูเหมือนจะเป็นประโยคบอกเล่าเพื่อที่จะกล่าวถึงสิ่งที่อยู่ในใจของตนมากกว่า คาร์ลส่ายศีรษะของตนเบาๆเพื่อแสดงให้ล็อกได้เข้าใจในสิ่งที่เขาจะพูดออกมา
“ไม่จำเป็น”
“แต่.......”
คาร์ลจ้องมองไปที่ล็อก
‘นายต้องการให้ฉันเลี้ยงดูบุตรหลายของเผ่าหมาป่าสีน้ำเงินทั้งสิบคนและพวกนายจะพากันสร้างกองกำลังนักรบหมาป่ากันเช่นนั้นรึ?’
ล็อกคือคนที่หวาดหลัวต่อเผ่าวาฬแต่ก็เต็มใจที่จะเข้าโจมตีหัวหน้าเผ่าวาฬเพื่อปกป้องเพื่อนๆของเขาได้เช่นกัน
‘พวกนายต้องการให้ฉันเลี้ยงดูคนที่อาจจะมีความบ้าคลั่งที่มากกว่ากลุ่มคนที่คลั่งในลัทธิศาสนามาอยู่ภายใต้การปกครองของตนเองหรืออย่างไร?’
“เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องไร้สาระอะไรออกมาอีกแล้วล่ะ.....”
น้ำเสียงเย็นชาของคาร์ลทำให้ไหล่ของล็อกลู่ต่ำลง แต่คาร์ลก็ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของล็อกพลางเอ่ยขึ้น
“เจ้าต้องการให้เด็กตัวเล็กๆเป็นนักรบเช่นนั้นรึ?.....เจ้าต้องการให้ข้าคอยเลี้ยงดูปกป้องเด็กๆแต่ดูเหมือนว่าข้อเสนอที่เจ้าต้องการจะตอบแทนข้ามันสวนทางกับคำขอร้องของเจ้า....”
หากคาร์ลฝึกฝนและสนับสนุนให้เด็กๆกลุ่มนี้เป็นนักรบตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มนักรบที่บ้าระห่ำและบ้าคลั่งกว่าพวกลัทธิบูชาศาสนาเสียอีก นั่นเป็นความคิดที่แย่มากและที่สำคัญไปกว่านั้น
“แล้วความคิดเห็นของเด็กๆพวกนั้นล่ะ?....ทำไมเจ้าถึงตัดสินใจแทนพวกเขาเช่นนี้?”
คาร์ลตั้งคำถามให้แก่ล็อกผู้ที่ตัดสินใจแทนน้องๆในเผ่าของตน ล็อกมีสีหน้าที่ว่างเปล่าไปชั่วครู่ก่อนที่จะลดศีรษะของตนพลางกล่าวขอโทษ
“ข้าขอโทษ...”
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
คาร์ลเอ่ยตัดบทคำขอโทษของล็อกขึ้นก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมามองคาร์ลช้าๆด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าเจ้าต้องการอะไรจากข้า....ข้าก็จะคิดถึงสิ่งที่เจ้าต้องตอบแทนข้าเช่นกัน”
แน่นอนว่าคาร์ลได้คิดไว้อยู่แล้วเกี่ยวกับสิ่งที่เขาจะให้ล็อกทำเพื่อเป็นการตอบแทนเขาแต่มันยังไม่ถึงเวลา ในเวลาอีกประมาณสามเดือนต่อจากนี้พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่สามารถสร้างเป็นเงินให้แก่คาร์ลจะปรากฏตัวขึ้นในภูเขาที่เต็มไปด้วยอันตรายนั่น มันจะปรากฏขึ้นเพียงหกเดือนเท่านั้นและคนเช่นล็อกที่สามารถใช้ภาวะการกลายร่างของเขาเพื่อปีนป่ายบนเขานั้นจะสามารถทำงานนี้ได้เป็นอย่างดี
‘ถ้าฉันขายมันให้แก่ราชินีผู้ครองผืนป่านั้นได้...ต่อให้อาณาเขตของฉันพังพินาศลง...ฉันก็ยังคงมีเงินมูลค่ามหาศาลและมันมากพอที่จะทำให้ฉันสบายไปตลอดชีวิต’
เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะโก่งราคามันขึ้นเสียหน่อยและมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรกับการขึ้นราคาสินค้าให้แก่คนที่มีเงินเป็นจำนวนมากเช่นนั้น
“ท่านมีบางอย่างที่ต้องการจากข้าใช่มั้ย?”
เฮ้อ.....คาร์ลถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เป็นกังวลของล็อกที่เอ่ยถามเขาขึ้นมาก่อนที่เขาจะตอบล็อกกลับไปเพราะสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เป็นกังวลใจอย่างมากของล็อก
“อย่าถามคำถามที่ชัดเจนเช่นนั้น...แน่นอนว่าข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าอยู่แล้ว”
‘อ่า......’ ล็อกชะงักค้างไปชั่วขณะและพยักหน้าเข้าใจกับสิ่งที่คาร์ลกล่าว
“ได้.....ข้าจะทำในสิ่งที่ท่านขอ...โปรดแจ้งให้ข้าทราบเมื่อท่านตัดสินใจได้แล้ว”
“แน่นอน...”
คาร์ลพูดจบและหยิบกระเป๋าเงินใบเล็กออกจากระเป๋าของเขาและโยนมันให้กับล็อกทันที ล็อกหยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นมาดูด้วยความงุนงงก่อนจะได้ยินเสียงของคาร์ลอธิบายเหตุผลในเรื่องนี้
“วันนี้เจ้าจะได้พบน้องๆของเจ้าหลังจากไม่ได้พบกันมาสักระยะหนึ่งแล้วซินะ...ดังนั้นพวกเจ้าจงพากันไปเที่ยวให้ทั่วๆเมืองหลวงนี้ซะ”
“เที่ยว?.....”
“ใช่!...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเจ้าในเมืองหลวงนี้รึไง?.... พาพวกเขาไปผ่อนคลายกับสถานที่ต่างๆแล้วก็ทานอาหารอร่อยๆพวกนั้นด้วยแล้วกัน”
‘ฉันจะสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารอร่อยๆพวกนั้นกับบิลอสได้เช่นกันหากไม่มีเจ้าอยู่ด้วย’
“ออนและฮงจะไปกับเจ้าด้วยดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง”
“เมี้ยว เมี้ยว”
“เมี้ยว เมี้ยว”
ออนและฮงที่นั่งเงียบอยู่บนรถม้าคันนี้ตั้งแต่แรกได้แสดงตัวของพวกมันขึ้นหลังจากได้ยินคาร์ลพูดก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ล็อกและตะปปเข้าไปที่ขาของล็อกด้วยอุ้งเท้าของพวกมันทั้งสองตัวทันที
“พอเถอะ!..ออน....ฮง...ข้าจักจี้....ฮ่าฮ่าฮ่าๆ”
ล็อกผลักหัวของพวกมันออกจากขาของตนด้วยความเอ็นดู ล็อกอาจจะมองว่าพวกมันสองตัวน่ารักแต่ในสายตาของคาร์ลกลับมองว่าพวกมันทั้งสองกำลังตั้งใจโจมตีทำร้ายร่างกายของล็อกมากกว่า คาร์ลจ้องมองดูภาพนี้และเริ่มคิด
‘ฉันจะต้องพาเด็กๆพวกนี้ไปให้ฮันส์ดูแลหลังจากนี้...มิเช่นนั้นฉันอาจจะต้องหาคนเลี้ยงดูเด็กๆเหล่านี้เพิ่ม’
คงเป็นเรื่องดีถ้าสามารถหาคนที่สามารถปรุงอาหารได้ดีและรักษาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆให้สะอาดอยู่เสมอ เขากำลังคิดเกี่ยวกับคนที่สามารถเลี้ยงดูเด็กๆจากเผ่าหมาป่าสีน้ำเงินนี้ได้บ้างนอกเหนือไปจากฮันส์ก่อนที่เขาจะนึกถึงบารอคบุตรชายของรอนและเป็นรองหัวหน้าพ่อครัวขึ้นมา เมื่อนึกถึงบารอคขึ้นมาทำให้คาร์ลรู้สึกว่าร่างกายของตนแข็งทื่อขึ้นมาทันที
บารอคได้รับการยกย่องจากคนในคฤหาสน์เฮนิตัสว่าเป็นคนที่มีฝืมือในการทำอาหาร รักษาความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ต่างๆได้เป็นอย่างดีและเขายังถูกกล่าวถึงว่าเป็นคนที่มีความสุภาพอ่อนน้อมและเป็นคนดี อย่างไรก็ตามเรื่องที่พวกเขายกย่องบารอคนั้นใช้ไม่ได้ผลกับคาร์ลเพราะเขารู้ดีว่าบารอคเป็นโรคจิตและชื่นชอบการทรมานคนอื่นด้วยวิธีต่างๆเป็นชีวิตจิตใจ เขาไม่สามารถปล่อยให้เด็กๆที่เปรียบดั่งผ้าขาวต้องแปดเปื้อนไปกับการละเลงสีของบารอคได้อย่างแน่นอน
‘อีกอย่างฉันต้องส่งเขาไปกับเชวฮันอีกด้วย’
เขาไม่มีทางเลี่ยงได้มากนักเพราะตามเนื้อหาในนิยายบารอคจะต้องติดตามเชวฮันและโรสลินไปยังอาณาจักรเบร็คเพื่อลงมือทรมานนายทหารยศพลเรือเอกผู้หนึ่ง [1:Grand Admiral] คาร์ลกำลังถกเถียงกับตัวเองอยู่ว่าจะให้ใครเป็นคนดูแลเด็กๆจากเผ่าหมาป่าสีน้ำเงิน รถม้าก็ได้หยุดลงด้านหน้าโรงแรมที่บิลอสและเด็กๆทั้งสิบคนพักอยู่
คาร์ลก้าวลงจากรถม้าและเอ่ยขึ้น
“ตามข้ามา”
คาร์ลแตะไปที่ไหล่ของล็อกเมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลใจของล็อกก่อนที่เขาจะเดินตามคาร์ลเข้าไปในโรงแรมโดยมีลูกแมวสองตัวอยู่ในอ้อมแขน
“ยินดีต้อนรับสู่โรงแรม‘หอมกรุ่นกลิ่นองุ่น’มีอะไรให้กระผมช่วยหรือไม่ขอรับ?”
คาร์ลผงกศีรษะของตนให้แก่ชายหนุ่มเจ้าของโรงแรมแห่งนี้และรีบเดินไปที่ประตูด้านหลังของโรงแรมทันที กลุ่มคนที่เชวฮันพากลับมาด้วยนั้นได้พักอยู่บริเวณบ้านพักตากอากาศด้านหลังโรงแรม
เจ้าของโรงแรมพยายามติดตามเขาไปแต่คาร์ลได้หยุดเขาไว้ก่อนที่จะเดินไปหยุดที่หน้าประตูบ้านพักตากอากาศและกวักมือเรียกล็อกให้มาใกล้ตน
“เจ้าเปิดประตูสิเพราะคนที่อยู่ในนี้คือน้องๆของเจ้า”
“ห๊ะ? ได้!”
ล็อกวางลูกแมวลงก่อนจะคว้าที่ ‘มือจับประตู’ไว้แน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้พบกับเหล่าน้องๆของตนหลังจากที่เขาเกิดภาวะกลายร่างขึ้น คาร์ลขยับมาอยู่ด้านหลังของล็อกเพราะเขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่หากต้องเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูบานนี้
แกร็ก!
ล็อกมองไปที่บานประตูและเปิดมันเข้าไป พวกเขาสามารถมองเห็นภายในของบ้านพักตากอากาศได้ทันทีเมื่อเปิดประตูเข้าไป มันเป็นพื้นที่กว้างขวางมองแล้วมีความสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง
“เฮ้อ....”
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นขาของคาร์ลก็ก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติทันทีสองก้าวซึ่งมันเป็นการเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณของเขานั่นเอง
“พี่!”
“พี่ชาย!”
“พี่ล็อก!”
“พี่ล็อกเจ้าคะ!”
เด็กๆทั้งสิบคนต่างวิ่งกรูเข้ามาหาล็อกและล็อกก็วิ่งเข้าหาพวกเขาทันทีเช่นกัน มันเป็นอารมณ์ที่มีความหลากหลายปรากฏต่อหน้าคาร์ลและมันก็ทำให้เขารู้สึกอดซาบซึ้งใจตามไม่ได้เมื่อเห็นเด็กๆทั้งสิบคนต่อหน้าเขาในตอนนี้
ในขณะเดียวกันก็มีอีกคนหนึ่งที่คาร์ลอดรู้สึกดีใจไม่ได้ที่ได้เจอ
“นายน้อยคาร์ล...”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะบิลอส”
คาร์ลเป็นคนบอกให้บิลอสมาพบเขาที่บ้านพักตากอากาศแห่งนี้ เขาสังเกตได้ว่าบิลอสกำลังรู้สึกประหม่าภายใต้รอยยิ้มสดใสของเขาและเหลือบมองไปยังคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เขาจากทางด้านหลังของบิลอส
“ดีใจที่ได้พบท่าน...นายน้อยคาร์ล”
“เจ้าคือพ่อค้าที่มากับเชวฮันหรือไม่?”
ชายชราในวัยหกสิบปีคนนี้เขามีท่าทางสุภาพอ่อนโยนและยังคงมีบุคลิกรูปร่างที่ดี เขาเป็นคนเดียวกับที่ขอให้เชวฮันมาช่วยเหลือปัญหาที่เกิดขึ้นกับเผ่าหมาป่าสีน้ำเงิน
“ใช่แล้วขอรับ...กระผมได้ยินเรื่องราวของท่านจากเชวฮันมาบ้างแล้ว....นับเป็นเกียรติของกระผมเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเจอนายน้อยคาร์ลในวันนี้”
“เป็นเกียรติ?....คงไม่ใช่เรื่องดีนักกับการได้เห็นใบหน้าขยะเช่นข้า”
คาร์ลยื่นมือของตนออกไปหาชายชราคนนี้ก่อนที่เขาจะยกมือของตนมาจับมือคาร์ลไว้เช่นกันพลางเอ่ยแนะนำตัวของเขาไปด้วย
“กระผมชื่อโอเดียส ฟลินน์”
คาร์ลเริ่มยิ้มออกมาช้าๆ
‘โอเดียส ฟลินน์’ เขาเคยเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งสำหรับการแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าสมาคมการค้าของตระกูลฟลินน์ แต่ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้และแยกตัวออกมาเริ่มต้นทำการค้าเล็กๆของเขาเอง
‘เขาเป็นลุงของบิลอส’
เขาเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับบิลอสและเชวฮันรวมถึงคนอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องกับเชวฮันและเขาคือคนที่ดึงความโลภที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในตัวของบิลอสออกมา
‘เขาเป็นคนที่เสแสร้งยิ่งกว่ารอนเสียอีก’
เขาอาจแกล้งทำตัวเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาเล็กๆคนหนึ่งแต่ในความเป็นจริงเขากลับสวมหน้ากากเพื่อหวังได้ครอบครองโลก เขาอาจจะใจดีกับคนแค่บางคนแต่ก็โหดเหี้ยมและไร้ความปราณีต่อคนส่วนใหญ่ นั่นคือสิ่งที่ ‘โอเดียส ฟลินน์’ เป็น
[1:Grand Admiral] ในนิยายใช้คำว่า Grand Admiral แต่มีชื่อที่รู้จักอีกว่า An Admiral Of The Fleet or Fleet Admiral หรือ Admiral of the Navy สามารถแปลเป็นไทยได้ว่า พลเรือเอก (อังกฤษ: admiral) ตามระบบของ NATO เป็นยศทหารชั้นนายพลระดับ 4 ดาว พลเรือเอกเป็นยศทหารสูงสุดที่ทหารเรือเกือบทุกประเทศพึงจะครองได้ในปัจจุบัน แต่ในอดีต พลเรือเอกมีศักดิ์เป็นรองจากยศพลเรือเอกอาวุโส (มีบางประเทศ) และจอมพลเรือ