ภาค 1 บทที่ 18 ชัยชนะของนักสะสม!
บทที่ 18 ชัยชนะของนักสะสม!
โบราณว่าไว้เงินหนึ่งเฟื้องสร้างความลำบากให้แก่วีรบุรุษ หวังลู่หัวเราะเยาะให้กับตัวเอง นักผจญภัยมืออาชีพอย่างเขา แค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวสร้างความลำบากให้เขาอย่างแท้จริง
สาเหตุที่หดมือเก็บเงินกลับมานั้นก็เพราะสัญชาตญาณล้วนๆ แต่หวังลู่กลับไม่เสียใจต่อการกระทำนั้น เนื่องจากเขารู้สึกว่าตนวางเดิมพันถูกแล้ว
เหรียญเงินทองแดงของเถ้าแก่เนี้ยมีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่? หวังลู่มิอาจบอกได้อย่างชัดเจน ทว่าคุณค่าของมันไม่น่าจำกัดอยู่แค่ในหมู่บ้านดอกท้อแห่งนี้กระมัง...? บอกตามตรงก่อนที่เงาดำจะพูดถึงเงินเฟื้องนั้น หวังลู่คิดว่าเหรียญทองแดงเหรียญนั้นเป็นเพียงเงินปกติธรรมดา แต่ขณะที่กำลังยื่นมือรับค่าเรียนจากเขานั้น ท่าทางของเงาดำกลับกระตุ้นต่อมระมัดระวังของเขาขึ้นมาทันที
ในการเล่น...ไม่สิ... การผจญภัยส่วนใหญ่ล้วนมีการตั้งค่าเช่นนี้เสมอ สิ่งของที่ได้รับในช่วงเริ่มต้นของการผจญภัยหากผู้เล่นสามารถเก็บไว้จนถึงช่วงท้ายๆ มักจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อย่างคาดไม่ถึง ดูแล้วเงินเหรียญนี้น่าจะเป็นอาวุธมหัศจรรย์ประเภทนี้ หากเขาใช้มันตอนระหว่างทาง เมื่อถึงตอนท้ายเขาคงต้องตีอกชกหัวเสียใจอย่างถึงที่สุดเป็นแน่
ยิ่งคิดหวังลู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเดาไม่ผิด ทว่าปัญหาต่อไปก็คือ ด่านเงินหนึ่งเฟื้องอันยากเย็นแสนเข็ญนั่นอย่างไรก็ต้องผ่านไปให้ได้ แต่เขาจะไปหาเงินเฟื้องนั้นจากไหน?
แน่นอนปัญหาเช่นนี้แก้ง่ายมาก ก็แค่ไปหาผู้นำหมู่บ้าน ไหนๆ คะแนนความพึงพอใจก็เต็มแล้ว ไม่น่าจะคุยยากอะไร
“เงินหรือ?”
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านได้ยินคำขอของหวังลู่ ก็มุ่นคิ้วย่นยับลึกกว่าทะเล
“หากเจ้าต้องการสิ่งอื่นนั่นจะเป็นเรื่องง่ายมาก แต่เงินนี่...ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ จริงอยู่ที่ในหมู่บ้านใช้ระบบแลกเปลี่ยน แต่ก็เป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของเท่านั้น ไม่เคยมีสิ่งที่เจ้าพูดมาก่อนเลย”
หวังลู่เป่าทำเสียงจิ๊จ๊ะ ในใจคิด คนไร้ประโยชน์อย่างท่านพึ่งไม่ได้จริงๆ
เช่นนั้นคงต้องพึ่งตัวเองเหมือนเดิม
“ผู้นำหมู่บ้าน ไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่มี พวกเราสร้างขึ้นมาเองก็ได้นี่”
“หา?!” หัวหน้าหมู่บ้านทำหน้าฉงน
หวังลู่จึงอธิบายว่า “แม้คนในหมู่บ้านดอกท้อจะมีไม่มาก แต่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของเป็นประจำ แต่หากไม่มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพพอจะเป็นเรื่องที่ลำบากมาก มิสู้ท่านใช้ความน่าเชื่อถือของตัวเองเป็นหลักประกัน ผลิตเงินตราออกมาให้ทุกคนใช้กันดีกว่าหรือ”
หัวหน้าหมู่บ้านตะลึง “ผลิต...เงินตรา”
“ถูกต้อง ใช้เปลือกหอยเอย หรือพวกโลหะมีค่าก็ได้ ไม่อยากยุ่งยากก็พิมพ์ลงบนกระดาษซะเลย อย่างไรซะก็ใช้ความน่าเชื่อถือเป็นหลักประกันอยู่ดีนี่นา เมื่อมีระบบเงินตรา เมื่อนั้นการจัดสรรทรัพยากรของหมู่บ้านก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น กำลังผลิตก็จะถีบตัวสูงขึ้น นอกจากนี้คุณภาพชีวิตของชาวบ้านก็ถูกจะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น! ส่วนข้าที่เป็นผู้ส่งเสริมเศรษฐกิจให้เฟื่องฟูนี้ ขอค่าตอบแทนเฟื้องเดียวก็พอ!”
หวังลู่ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ภายในใจคิดว่าภารกิจโง่เง่าเช่นนี้สุดท้ายก็ต้องงัดวิธีโง่เง่าเช่นนี้ออกมาใช้จริงๆ ด้วย
มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่ว่ารู้ว่าเงินทองแดงเหรียญนั้นถูกซ่อนไว้ที่ขาหนีบใคร อีกอย่างข้าก็ขี้เกียจเดาขี้เกียจหาแล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้นใช้วิธีนี้นั่นแหละดีแล้ว!
ใครจะไปรู้ แม้หวังลู่จะร่ายยาวเหยียดเป็นต่อยหอย แต่ผู้นำหมู่บ้านกลับส่ายศีรษะหลังจากที่ครุ่นคิดอย่างยาวนาน
“ไม่ได้”
หวังลู่แทบจะดีดตัวขึ้นมา “ไม่ได้!? ท่านรู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรออกมา?”
หัวหน้าหมู่บ้านยังคงส่ายศีรษะ “เรื่องการผลิตเงินตรานั้น ทำไม่ได้”
“บัดซบ! ทำไมถึงทำไม่ได้? ที่ข้าตั้งใจพูดไปเมื่อครู่นี้เปล่าประโยชน์รึ? ไม่เป็นไรพวกเรามาเริ่มใหม่อีกครั้ง...”
หวังลู่อธิบายอย่างอดทนจนคนทึ่ง
“คุณชายหวัง สิ่งที่เจ้าบอกข้าล้วนเข้าใจทั้งหมด” หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจ “แต่เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ”
“บอกเหตุผลมาก่อน”
“…” สำหรับหัวหน้าหมู่บ้านคำถามนี้ดูเหมือนจะตอบยากเอาการ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบอย่างลังเลว่า “กฎของบรรพบุรุษไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
“กฎของบรรพบุรุษไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้? ท่านท้องผูกหรืออย่างไร!?” หวังลู่โมโหจนตัวสั่น “ยังมีหน้ามาพูดเหตุผลปัญญาอ่อนเช่นนี้? หรือคะแนนความพอใจของข้าเต็มจนเลอะเลือน?”
หัวหน้าหมู่บ้านอธิบายต่อ “ข้ารู้ว่าที่ว่ามาล้วนเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่ข้าไม่ชอบ”
“บัดซบ! เหตุใดตาแก่อายุห้าหกสิบอย่างท่านยังทำตัวเป็นเด็กอมมืออยู่ได้ ไม่กลัวตายเพราะหัวใจขาดเลือดรึ?”
หัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือดหรือไม่นั้นมิอาจทราบได้ ทว่าหวังลู่ใกล้เป็นโรคหัวใจขาดเลือดอยู่แล้ว
ในฐานะที่เป็นนักผจญภัยที่มีฌานเชื่อมโยงกับผู้ออกแบบ เขามีข้อได้เปรียบอย่างมากในเส้นทางบรรลุเซียนนี้ ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ความเข้าใจอันดีระหว่างเขากับผู้ออกแบบได้สูญหายไป เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมาก
แต่ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือ จากสถานการณ์นี้เห็นได้ชัดว่าผู้ออกแบบทำตัวเป็นอันธพาลขี้โกง ปกติหัวหน้าหมู่บ้านมีสติปัญญาตามแบบมาตรฐานคนธรรมดา ทว่าเวลานี้กลับคล้ายคนใบ้บื้อ ท่าทางถูกท่านป้าหลิวและเหอหลี่ว์ซื่อกรอกยาพิษจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อน ยังจะบอกว่านี่มิใช่กลอุบายอยู่อีกหรือ...
“พอแล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอีกต่อไปแล้ว ท่านจะเอาอย่างไร วาดเส้นต่อไปมาเลย”
สีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านเต็มไปด้วยความสงสัย “เส้นอะไร?”
“…” หวังลู่ขมวดคิ้ว นิ่งคิดไปครู่ใหญ่ แล้วกวาดสายตาไปบนตัวของหัวหน้าหมู่บ้าน ทำให้ตาแก่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
“เอาเถอะ คิดซะว่าวันนี้ข้าเคยมา”
——
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหนือกลุ่มเมฆขึ้นไป
“ข้ารู้สึกว่า... ทำเช่นนี้ไม่ค่อยดีกระมัง?”
เงาดำร่างหนึ่งจ้องไปยังภาพสะท้อนของหวังลู่บนชั้นเมฆด้วยสีหน้าลังเล บทสนทนาของหวังลู่และผู้นำหมู่บ้านนั้นมองเพียงปราดเดียวก็รู้แจ้งชัดเจน
อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวอาภรณ์ขาวเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเยาะ “สำหรับเด็กที่ชอบเล่นขี้โกงเช่นนี้ ไม่ลงมือฆ่าตรงๆ ก็ถือว่าใจดีมากแล้ว”
เงาดำร่างนั้นทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ “เจ้ายังมีหน้าบอกว่าคนอื่นขี้โกงอีก? เด็กคนนั้นแค่พบช่องโหว่ของหมู่บ้านดอกท้อที่เจ้าออกแบบแท้ๆ”
หญิงสาวอาภรณ์ขาวเอ่ยละล่ำละลัก “ช่องโหว่อะไรกัน เสี่ยวหลิงเอ๋อร์เจ้าไม่รู้จริงอย่าพูดมั่วซั่ว... ช่องโหว่ของผู้อาวุโส เรียกเป็นช่องโหว่ได้หรือ?”
เงาดำได้แต่ยิ้มเยาะ “แก้ไขเส้นทางบรรลุเซียนตามอำเภอใจ ยืดอกอย่างมั่นใจต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสว่าด่านนี้เข้มงวดและประณีตบรรจงไม่ระจอกงอกง่อยเหมือนแผนที่คลื่นเมฆาและแดนอเวจี แต่พอมีปัญหาก็แอบย่องเข้ามาหมายแทรกแซง...”
“นี่ๆๆ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ เจ้าพูดเหมือนยืนอยู่ข้างเดียวกับเขาเช่นนี้ได้อย่างไร ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องหลายปีของพวกเรา เจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“เฮอะ เป็นเขาที่ช่วยให้ข้าชนะพนันนั่น ข้าย่อมต้องอยู่ข้างเขาอยู่แล้ว อีกอย่างข้าว่าเจ้าน่ะ รับไม่ได้ก็อย่าเล่น ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่สวรรค์ กระทั่งความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองแค่นี้ก็ยังไม่มี?”
สาวอาภรณ์ขาวอับอายกลายเป็นโทสะอย่างฉับพลัน “หอกระบี่สวรรค์? ฮ่าๆ ถึงตอนนี้เจ้าสำนักงี่เง่านั่นยังไม่ยอมเอาเงินอุดหนุนของหอกระบี่สวรรค์ให้ข้าเลย ข้าจะรับผิดชอบต่อหอกระบี่สวรรค์เพื่ออะไร? รอให้ข้าได้เงินรางวัลที่ข้าสมควรได้รับจากการสร้างหมู่บ้านเมื่อไหร่ ข้าถึงจะเปลี่ยนเป็นผู้อาวุโสที่สง่างามและซื่อสัตย์ของสำนักเมื่อนั้น!”
“…สำนักกระบี่วิญญาณนั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่ดูเหมือนคนที่พูดเช่นนี้ออกมาได้คงมีแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น” เงาดำทำได้เพียงปลงต่อความไร้ยางอายของหญิงสาวอาภรณ์ขาว
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หญิงสาวอาภรณ์ขาวก็สั่งให้ผู้นำหมู่บ้านบีบไล่หวังลู่ออกไป นางปรบมือหัวเราะถูกใจ “อยากเห็นเหลือเกินว่าครั้งนี้เจ้าจะมีเล่ห์กลอะไรอีก”
ขณะนั้นเองก็มีเสียงอันเย็นเยียบของผู้อาวุโสท่านหนึ่งดังมาจากด้านหลัง “ข้าก็อยากเห็นเหลือเกิน ว่าครั้งนี้เจ้าจะอธิบายต่อผู้อาวุโสฝ่ายวินัยอย่างไร”
รอยยิ้มของหญิงสาวอาภรณ์ขาวพลันแข็งค้าง ขณะที่กำลังหมุนร่างอันสั่นเทาไปด้านหลัง รอยยิ้มของนางก็เจื่อนลงถนัดตา “โอ๊ะโอ ศิษย์พี่เจ้าสำนักเองหรอกหรือ แขกพิเศษเดินทางมาเยือนถึงที่ ข้าต้องขออภัยจริงๆ หากต้อนรับไม่ทั่วถึง…”
“แขกพิเศษบ้านเจ้าสิ! ที่นี่คือบ้านข้า!”
“จริงหรือ? ข้าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านข้ามาตลอด ช่วงนี้โรคความจำเสื่อมจำทางไม่ได้นับวันจะยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์พี่อยากลองควักสักหมื่นศิลาวิญญาณให้ข้าไปรักษาหรือไม่?...”
“ก่อนจะรักษาปัญหาโรคจำทางไม่ได้ของเจ้า ไปรักษาโรคใจกล้าบ้าบิ่นก่อนเถอะค่อยมาคุยกัน! เรื่องแก้ไขเส้นทางบรรลุเซียนตามอำเภอใจก่อนหน้าก็ให้มันแล้วไป ตอนนี้ยังจะใช้โอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่ยุ่งกับแผนที่บรรลุเซียน จิ๊ๆ เงินเดือนเดือนนี้อย่าหวังว่าจะได้อีกเลย!”
“เวร ท่านล้อเล่นใช่หรือไม่!?”
“อีกอย่าง เจ้าบอกว่าในฐานะที่ตัวเจ้าเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่สวรรค์ แต่กลับไม่ได้รับเงินอุดหนุนมาโดยตลอด เรื่องนี้แย่จริงๆ”
ความหวังของหญิงสาวอาภรณ์ขาวถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้ง “ดังนั้น...?”
“ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องเป็นผู้อาวุโสอะไรนั่นแล้ว บำเพ็ญตนอยู่บนยอดเขาไร้ลักษณ์อย่างสบายใจเถิด ถึงขั้นกำเนิดใหม่เมื่อไหร่ ข้าค่อยเปิดหอกระบี่สวรรค์ใหม่อีกครั้ง ถึงตอนนั้นข้าจะให้เงินอุดหนุนทั้งหมดแก่เจ้าแน่นอน!”
“ให้ตายสิ! ศิษย์พี่อันที่จริงแล้วที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีต่อสำนักอย่างบริสุทธิ์ใจ อีกอย่างข้าคิดเผื่อท่านนะ!”
“ถ้าเจ้าพูดอีกแม้แต่เงินเดือนข้าก็จะริบ!”
“ศิษย์พี่ท่านไม่แยกถูกผิด เด็กนั่นขี้โกง คอยดูเถอะอนาคตท่านต้องเสียใจแน่นอน!”
——
หลังจากที่ไล่สตรีชุดขาวที่ชอบสร้างปัญหาไปแล้ว เจ้าสำนักผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งสำนักกระบี่วิญญาณก็หมุนศีรษะกลับมาอีกครั้ง แต่กลับพบว่าเงาดำร่างนั้นหายไปเสียแล้ว
เจ้าสำนักถอนหายใจ เขารู้ว่าช่วยไม่ได้ แล้วกลับไปให้ความสนใจที่แผนที่บรรลุเซียน อาวุธเซียนที่ควบคุมเส้นทางบรรลุเซียนทั้งเส้นถูกหญิงสาวอาภรณ์ขาวยำจนเละตุ้มเป๊ะ ทว่าเมื่อเจ้าสำนักยื่นมือออกไป รอยที่หญิงสาวอาภรณ์ขาวสร้างไว้เมื่อครู่ก็หายไป
เจ้าสำนักครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเพิ่มสิ่งหนึ่งลงบนแผนที่บรรลุเซียน
“แม้ว่าศิษย์น้องห้าจะชอบสร้างความวุ่นวาย แต่ในเมื่อมีรูรั่วแล้ว ก็ปิดรูนั้นเลยดีกว่า แต่...เงินเหรียญนั้นไฉนจึงดูคุ้นนัก? ช่างมันเถอะ ตอนนี้ไม่มีแว่น ไม่ดูละ”
——
อีกด้านหนึ่ง หวังลู่ตระหนักได้ว่าวิธีที่ที่จะทำให้ได้รับชัยชนะมาถึงทางตันแล้ว
แม้จะเกลียดชังการกระทำอันแสนขี้โกงไร้ยางอายของสำนักกระบี่วิญญาณอย่างมาก แต่หากไปต่อเส้นทางนี้ไม่ได้ หวังลู่ก็ไม่มีทางแขวนคอตายบนต้นไม้อย่างแน่นอน
“เช่นนั้นก็มาคิดแผนการต่อไปอย่างรอบคอบเถอะ... ยังมีวิธีไหนอีกที่จะหาเงินจากเขาลูกนี้? หากจะหาเงิน อย่างน้อยเงินนั่นจะต้องมีอยู่เสียก่อน หรือว่าหมู่บ้านนี้ยังมีเบาะแสตกหล่น?... ต้องไม่มีทาง! ข้าเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญเชียวนะ!”
หวังลู่ตบโต๊ะด้วยความโมโห แสดงความมั่นใจสุดขีดในความเป็นมืออาชีพของตัวเอง
เตรียมการอย่างดีมาตลอดหนึ่งเดือน แม้จะไม่ได้ก้าวเท้าออกจากห้อง แต่รายละเอียดน้อยใหญ่ของหมู่บ้านล้วนอยู่ในมือเขา ดังนั้นไม่มีทางมีอะไรตกหล่นแน่ มิเช่นนั้นเขาจะมีทางสร้างแผนการอันสมบูรณ์แบบนี้ออกมาได้อย่างไร ทว่าตอนนี้เขาเดินมาถึงทางตันแล้ว หากไม่อาจหลุดพ้นจากเมฆดำก้อนนี้ได้ เส้นทางการเป็นเซียนของเขาก็ต้องจบลงตรงนี้แน่นอน
“มารดามันเถอะ! เงินของเขา เงินของเขา...ตกลงเงินของเขาอยู่ที่ไหนกันแน่? หมู่บ้านนี้ก็พลิกหาทุกซอกทุกมุมแล้ว หรือว่า...”
ฉับพลัน ความคิดหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในหัวของหวังลู่ เหมือนลำแสงกระบี่
“จิ๊ ลืมคนคนนั้นไปได้อย่างไร จิตวิญญาณแห่งการเป็นมืออาชีพของข้ากำลังร่ำไห้”
จากนั้น หวังลู่ก็เดินออกจากประตูบ้านด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง เห็นผู้ทดสอบสุนัขขี้แพ้สองคนกำลังเดินผ่านหน้าประตูพอดี
“บังเอิญจริงๆ เฮ้! พวกเจ้าสองคน...”
พูดไม่ทันจบประโยค เงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งลงมาจากฟ้า จับหวังลู่ไว้แล้วกระโจนกลับไปยังห้องรวดเร็วปานลม
“ข้าว่าเจ้า...พอได้แล้ว อย่ายั่วยุคนรอบข้างด้วยวาจาดูถูกหยาบคายทุกครั้งที่ต้องการเจอข้า”
หวังลู่ตอบ “ใครใช้ให้ภารกิจของหมู่บ้านดอกท้อมีข้อบกพร่องล่ะ ข้าไม่ได้อยากเสียหน่อย”
เงาดำพยักหน้าเข้าใจในความรู้สึกอย่างยิ่ง “เช่นนั้นแล้ว หรือที่เจ้าหาข้าครั้งนี้ แปลว่าคิดออกแล้ว?”
หวังลู่ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “จะว่าคิดออกก็ได้ ข้าเจอเงินของเขานี้แล้ว”
“หืม?”
“เหอะๆ ตอนแรกข้าคิดว่าตัวเองเดินพลาด คิดว่าเงินของเขาก็ต้องหาจากเขาเท่านั้น ต่อมาจึงพบว่าตัวเองโง่เขลาอย่างแท้จริง เห็นอยู่ว่ากุญแจสำคัญของภารกิจซ่อนเร้นนี้ก็คือคนนอกหมู่บ้านอย่างท่านแท้ๆ แต่กลับคิดไม่ถึงหลักเหตุผลอันแสนง่ายดายข้อนี้ แม้ว่าหมู่บ้านดอกท้อจะไม่มีแนวคิดเรื่องเงิน ทว่าคนที่เรียกเก็บค่าเรียนกับข้าอย่างท่านต้องมีแน่ๆ”
เงาดำก็หัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน “ก็จริง ถูกของเจ้า”
“ดังนั้นภารกิจของข้าก็คือเอาเงินเฟื้องนั้นจากท่าน”
“อืม ความคิดนี้ถูกต้องแล้ว แต่ว่าเงินเฟื้องนี้มิได้จะเอาไปได้ง่ายๆ นะ ต่อให้เจ้าเอาหมื่นตำลึงเงินมาแลกข้าก็ไม่มีทางให้เจ้าแน่นอน”
“วางใจเถอะ ต่อให้ข้าขายไตก็ไม่มีทางควักหมื่นตำลึงเงินมาให้ท่านได้หรอก แต่ว่า...”
หวังลู่พูดไปด้วยหัวเราะไปด้วย พลางยกของสิ่งหนึ่งออกมาจากใต้เตียง
กล่องข้าวไม้สีแดงประณีตสวยงามกล่องหนึ่ง
เมื่อเห็นกล่องข้าว เงาดำร่างนั้นก็อึ้งตะลึงลานอยู่ตรงนั้น และเมื่อเห็นเช่นนี้ ความมั่นใจของหวังลู่ก็ดีดจากแปดส่วนพุ่งขึ้นเป็นสิบส่วน
ในที่สุดก็ผ่านด่านนี้แล้ว
กล่องข้าวนี้มิใช่กล่องข้าวปกติธรรมดาอย่างแน่นอน แม้จะเป็นงานฝีมือขั้นเยี่ยม ใช้วัสดุประณีตงดงาม แต่ก็เป็นเพียงกล่องข้าวใบหนึ่งเท่านั้น ต่อให้เป็นของเก่าแก่โบราณจากราชวงศ์ก่อน ก็ขายในราคาหมื่นตำลึงเงินไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูด
ถึงว่าจะเอาไปแลกเงินเฟื้องหนึ่งของเขา?
ในความเป็นจริง เงินหนึ่งเฟื้องสำหรับเขากระบี่วิญญาณนั้นไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องพูดถึงเงินของแดนมนุษย์...ต่อให้คุณชายตระกูลเซี่ยอย่างเซี่ยกันหลงงัดเอาอาวุธวิเศษที่พกติดตัวออกมา เงาดำจะยอมแลกเงินหนึ่งเฟื้องนั้นกับเขาหรือ?
ไม่มีทางแน่นอน
คิดถึงข้อนี้ หวังลู่ก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็ว น่ากลัวว่าจะมีแต่สิ่งของจากเขาเท่านั้นที่จะแลกเงินของเขาได้ นอกจากนี้ยังไม่อาจเป็นของสามัญธรรมดาที่หาได้ง่ายๆ เพราะของธรรมดาไม่มีค่าสำหรับที่นี่
แต่บังเอิญกล่องข้าวนี้มิใช่ของธรรมดา ประโยชน์ของมันพิเศษมหัศจรรย์ยิ่ง อาหารที่ใส่เข้าไปไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน กลิ่นสีรสชาติจะไม่เปลี่ยนไปจากวันแรกที่ใส่เข้าไปเลย สรุปคือนี่เป็นสุดยอดกล่องอาหารรักษาความสดใหม่ แม้จะสู้ยันต์วายุน้ำแข็งอะไรนั่นของคุณชายเซี่ยไม่ได้ และไม่มีค่าเท่าเงินหมื่นตำลึงเงิน กระทั่งหลังจากที่หวังลู่กินอาหารในนั้นจนหมดเกลี้ยง กล่องข้าวใบนี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ อีกเลย แต่มันกลับเป็นกุญแจที่ทำให้ผ่านด่านหมู่บ้านดอกท้อ
ตอนแรกที่เถ้าแก่เนี้ยมอบกล่องข้าวให้เขา เขายังไม่ได้ตระหนักถึงความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้น แต่พอกระหวัดนึกไปถึงคำเตือนของเถ้าแก่เนี้ยที่ว่า ‘อาหารกล่องหนึ่งสำหรับเจ็ดวัน’ ทุกอย่างล้วนชัดโต้งเหลือเกิน...หากเก็บรักษาความสดใหม่ไม่ได้ เขามิต้องกินข้าวกับราหรือ?
ขณะที่ใช้มือตบกล่องข้าววิเศษกล่องนี้ หวังลู่ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ของชิ้นนี้ขายให้ท่านถูกๆ ก็แล้วกัน ราคาคนกันเองเฟื้องเดียวก็พอ ท่านคงไม่บอกว่าไม่เอาหรอกนะ?”
เงาดำร่างนั้นนิ่งคิดไปพักใหญ่ เนื่องจากร่างกายถูกซ่อนอยู่ภายใต้ม่านหมอกดำ จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าในขณะนี้ได้ว่าเป็นอย่างไร
ผ่านไปครู่หนึ่ง เงาดำร่างนั้นจึงถามว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหามาได้จริงๆ กล่องข้าวใบนี้...ข้าจะรับไว้”
ในเมื่อยอมรับกล่องข้าว ก็หมายความว่าหวังลู่ผ่านด่านนี้แล้วเหมือนกัน ดังนั้น นักผจญภัยที่ประกาศตัวว่าเป็นมืออาชีพก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เงาดำก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ข้าเพียงแค่แปลกใจ เจ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกรึ?”
“แน่นอนว่าไม่ ข้าเป็นเพียงนักผจญภัยมืออาชีพ มิได้เป็นผู้ทดสอบขี้โกงสักหน่อย ที่เอะอะเปิดดูคู่มือกลยุทธ์ก่อน ใครจะไปคิดได้ว่ากล่องข้าวใบนี้จะมีความลับซ่อนอยู่ อีกอย่างอาหารข้างในนั้นข้ากินสองสามวันก็หมดแล้ว ส่วนวันที่เหลือก็นอนหิวโหยอยู่บนเตียง”
เงาดำร่างนั้นถาม “หืม? ในเมื่อเจ้าไม่รู้ความลับของกล่องข้าวใบนี้มาก่อน เหตุใดจึงพกมันเดินทางมาไกลขนาดนี้?”
“เพราะว่านักผจญภัยมืออาชีพที่ได้มาตรฐานทุกคนล้วนเป็นนักสะสมสิ่งของอย่างไรล่ะ”
..................................................