ภาค 1 ตอนที่ 19 ไห่น้อยผู้กล้าหาญเอ๋ยรีบไปสร้างปาฏิหาริย์โดยไว
ตอนที่ 19 ไห่น้อยผู้กล้าหาญเอ๋ยรีบไปสร้างปาฏิหาริย์โดยไว
ตอนที่ออกจากหมู่บ้านดอกท้อ ในหมู่บ้านเหลือเพียงหวังลู่คนเดียวเท่านั้น...หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างแท้จริง
ขณะที่เดินออกจากสวนหลังบ้านของผู้นำหมู่บ้าน หวังลู่ก็จ้องไปยังสวนอันว่างเปล่าอย่างครุ่นคิด
ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ หลังของเขาก็ถูกใครคนหนึ่งตบเบาๆ ทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างขำๆ ว่า
“คิดอะไรอยู่ นี่เป็นวันสุดท้ายของของด่านหมู่บ้านดอกท้อ และพวกที่ไม่สามารถผ่านด่านได้ก็ถูกเตะออกไปตั้งนานแล้ว สำนักกระบี่วิญญาณไม่มีทางเลี้ยงดูพวกเขาไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ในเมื่อภารกิจจบลง คนอื่นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ อีกอย่างการรักษาค่ายกลนี้ให้อยู่ต่อไปก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน”
เหลือบไปมองแววตาตกใจของหวังลู่ เงาดำก็อธิบายเสริมอย่างผ่อนคลาย
“ถือว่าเจ้าโชคดีที่ทำภารกิจสำเร็จก่อนวันสุดท้าย หากช้ากว่านี้อีกเพียงก้านธูปเดียว ข้าก็มิวายต้องเตะเจ้าออกไปเหมือนกัน”
หวังลู่ถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ท่านเป็นศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณ?”
เงาดำไม่ตอบ ทว่ากลับก้มหน้าก้มตาพูดต่อไปว่า “ด่านหมู่บ้านดอกท้อข้าให้เจ้าผ่าน และข้าที่เป็นพยาน จะพาเจ้าไปยังด่านต่อไป ตามข้ามาเถอะ”
กล่าวจบก็เดินออกไปนอกหมู่บ้านด้วยฝีเท้าฉับไว หวังลู่กุลีกุจอตามไปติดๆ กระทั่งขนมขบเคี้ยวและสัมภาระก็ยังไม่ทันได้เหลียวแล
เงาดำเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนรีบร้อนยิ่งยวด เพียงไม่นานก็ออกจากหมู่บ้านแล้วเดินลึกไปทางเทือกเขาที่ทอดยาววกวนไม่มีสิ้นสุด เขาลูกนี้ก็เป็นเขาวงกตที่ไม่สามารถเดินออกไปได้ก่อนที่จะทำภารกิจของหมู่บ้านดอกท้อสำเร็จ ไม่ว่าจะเดินอย่างไรสุดท้ายก็ต้องวกกลับไปโผล่ที่จุดเริ่มต้นของหมู่บ้านเหมือนเดิม ทว่าเงาดำกลับเดินเพียงไม่นานก็ถึงทางออก ราวกับผ่านกลุ่มเมฆดำแล้วเจอฟ้าเจิดจ้า
หวังลู่พยายามไล่ตามอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่นานก็หอบหายใจฟืดฟาดเหมือนควาย แม้ว่าภายในใจจะมีคำถามซ่อนอยู่มากมาย แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เงาดำเหมือนเจตนาทำเช่นนี้ ลากหวังลู่วิ่งไปพลางพูดไปพลาง “รางวัลของด่านหมู่บ้านดอกท้อจะขึ้นอยู่กับระดับความสำเร็จของภารกิจ เรื่องนี้เจ้าน่าจะเดาถูกแล้วดังนั้นข้าจะไม่พูดมาก แต่จำไว้ว่าเวลาเลือกรางวัลคิดให้เยอะๆ หน่อย เพราะด่านที่เหลือต่อจากนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น สำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้รับศิษย์ใหม่มีพรสวรรค์ที่ผ่านมาตรฐานการทดสอบของงานชุมนุมคัดเลือกเซียนมาหลายร้อยปีแล้ว...”
กล่าวถึงตรงนี้เงาดำก็หยุดฝีเท้าลงแล้วหมุนตัวหาเขาพลางกล่าวว่า “สู้เขาล่ะ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เจอเจ้าบนเขา”
พูดจบเงาดำร่างนั้นก็หายวับไปพร้อมกับเสียงลม คล้อยหลังเงาดำ กำแพงขุนเขาก็ปรากฏช่องเล็กๆ ช่องหนึ่ง
หวังลู่วัดขนาดของช่องนั้นครู่หนึ่ง เคราะห์ดีที่รูปร่างของตนจัดอยู่ในกลุ่มสมส่วน อีกอย่างก่อนออกเดินทางก็ไม่ทันได้กินข้าว ดังนั้นจึงเบียดลอดเข้าไปได้
ช่องนั้นแคบเพียงช่วงเริ่มต้น เมื่อเดินต่อไปไม่นานก็กว้างขึ้นทันตา แล้วปรากฏโพรงถ้ำขนาดใหญ่ ถ้ำนั้นซ่อนลึกอยู่ในเขา ช่องแยกเล็กๆ บนเพดานถ้ำมีแสงลอดส่องลงมา ทำให้มองเห็นสภาพภายในถ้ำ
เมื่อเทียบกับหมู่บ้านดอกท้อนั่นที่แม้จะมีข้อบกพร่องทว่าก็เป็นงานออกแบบที่เต็มไปด้วยความจริงใจแล้ว ถ้ำนี้ค่อนข้างด้อยมาตรฐานอย่างชัดเจน กลางโถงถ้ำมีหีบไม้ใบหนึ่งวางอยู่ โดยที่ด้านข้างมีป้ายแผ่นหนึ่งวางตั้งอยู่
คิดแล้วนี่คงเป็นรางวัลของภารกิจหมู่บ้านดอกท้อ หวังลู่ใช้กลยุทธ์ลูกโซ่เดียวพิชิตภารกิจซ่อนเร้นที่ดูเหมือนแทบจะไม่สามารถทำสำเร็จได้ ตามหลักแล้วระดับของรางวัลควรสูงเทียมฟ้า แม้ว่าหีบไม้ใบนี้ดูเก่าผุทรุดโทรม ทว่าสมบัติข้างในน่าจะเป็นของระดับสูงอย่างไม่ต้องสงสัย เว้นเสียแต่ว่าสำนักกระบี่วิญญาณจะหน้าด้านใช้เหตุผลน่ารังเกียจจำพวก ‘ข้อมูลล้น’ มาโกงเขา
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ทันใดนั้นก็มีตัวหนังสือปรากฏขึ้นบนแผ่นป้ายนั้น ‘สถิติของภารกิจ’
จำนวนคนที่พิชิต : หนึ่งร้อยยี่สิบ
คะแนนความพึงพอใจโดยรวม : หนึ่งหมื่นสองพัน
ความพึงพอใจโดยเฉลี่ย : หนึ่งร้อย
ภารกิจเฉพาะ : ท่านไม่สามารถพิชิตได้’
ความสมบูรณ์ของภารกิจ : หนึ่งร้อย’
‘คะแนนรวม : …’
เนื่องจากพื้นที่ของแผ่นไม้มีจำกัด ตัวเลขชุดสุดท้ายจึงถูกบีบอัดเข้าด้วยกันจนไม่สามารถอ่านออกได้ ทว่าดูแล้วน่าจะเป็นตัวเลขมหาศาลประมาณดวงดาวบนท้องนภา
คะแนนผ่านด่านโดยรวมของหมู่บ้านดอกท้อ น่าจะเป็นการคำนวณด้วยตัวมันเองตามเกณฑ์ที่ผู้ออกแบบกำหนดไว้ แต่ผู้ออกแบบก็คงคิดไม่ถึงว่าจะมีนักผจญภัยที่ทำลายทุกกฎของโลกใบนี้อย่างหวังลู่ปรากฏตัวขึ้น... อย่างไรก็ตามดีจริงๆ ที่สุดท้ายก็มิได้มีปัญหาข้อมูลล้น
หลังจากที่บอกคะแนนรวมแล้ว ตัวอักษรบนแผ่นไม้ก็ไหลลงแล้วจมกลืนลงไปในดินทันที ส่วนหีบไม้ด้านข้างก็เริ่มสั่นเบาๆ สองครั้ง เกิดเสียงที่ทำให้คนรู้สึกอยู่ในโลกเหนือจินตนาการทันที
ราวหนึ่งก้านธูปต่อมา หีบไม้ก็เปิดออกเอง สิ่งที่อยู่ด้านในพุ่งออกมาเพราะแรงดันภายใน แสงสีหลายหลากเปล่งรัศมีจนชวนให้ตาลาย
——
เหนือกลุ่มเมฆขึ้นไป ในที่สุดศิษย์ชุดขาวดำคนหนึ่งที่ถูกจับให้จับตาเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของชั้นเมฆก็ไม่สามารถทนเหงาได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
“เฮ้อ งานชุมนุมคัดเลือกเซียนครั้งนี้น่าจะเสียเปล่ามิได้อะไรเลย”
ข้างกันนั้น ศิษย์ชุดขาวดำที่ดูหนุ่มกว่าถามขึ้นด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนี้? ข้าดูแล้วผลงานของพวกรายชื่อบนๆ หลายคนก็ค่อนข้างใช้ได้เลยทีเดียว”
ชุดขาวดำที่อาวุโสกว่าหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง “ใช้ได้อะไรกันล่ะ สัตว์ปีศาจตัวรองสุดท้ายยังเสียเวลาเยอะขนาดนี้ ข้าว่านอกจากไห่อวิ๋นฟานที่ยังพอมีหวังอยู่สองส่วน คนอื่นหมดหวังแน่นอน”
ชุดขาวดำที่อายุอ่อนกว่าแปลกใจยิ่งกว่าเดิม “ข้าจำได้ว่าสัตว์ปีศาจบนสันเขาผาชาด ขุนเขาวายุน้ำแข็ง เทือกเขาเมฆาคราม และแดนอเวจี ที่แข็งแกร่งที่สุดก็อยู่ในระดับหกหรือเจ็ดเท่านั้น จริงอยู่ที่ไม่ง่ายสำหรับคนธรรมดา แต่ก็ไม่น่าจะยากเกินกว่าความสามารถของพวกเขานะ อย่างไรก็มีรางวัลจากหมู่บ้านดอกท้อ นอกจากนี้หลายคนในนี้ยังมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งอีกด้วย”
ผู้อาวุโสกว่าตบไปที่บ่าของคนที่อ่อนกว่าเบาๆ “ศิษย์น้องเจ้ายังเด็กเหลือเกิน เส้นทางบรรลุเซียนของสำนักเราไม่มีคนที่เดินจนจบได้มาหลายร้อยปีแล้ว บันทึกอันน่าสะพรึงกลัวที่ให้คนสำนึกอื่นหัวเราะเยาะแบบนี้ เจ้าคิดว่าแค่พิชิตสัตว์ปิศาจระดับหกและเจ็ดได้ก็สามารถผ่านได้แล้วอย่างนั้นหรือ? ทุกวันนี้ เจ้ากับข้าและไหนจะศิษย์พี่น้องคนอื่นๆ มิได้เข้ามาเพราะท่านอาจารย์ลุงเหาะเมฆตามหาแล้วรับเป็นศิษย์หรอกหรือ? บอกตามตรงศิษย์น้อง แม้ว่าความฉลาดทางอารมณ์ของเจ้าอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งมากกว่าข้าผู้เป็นศิษย์พี่หลายเท่า แต่หากให้เจ้าลองเดินบนทางเส้นนี้บ้าง เจ้าก็ไม่สามารถเดินจนถึงสุดทางได้เช่นกัน”
ศิษย์น้องรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ศิษย์พี่จึงตบบ่าของเขาอีกครั้ง “ฮ่าๆ หากเจ้าไม่เชื่อก็จงรอดูต่อไป ดูนั่น เหมือนไห่อวิ๋นฟานคนนั้นจะอยู่ห่างจากด่านสุดท้ายไม่มากแล้ว”
——
ไห่อวิ๋นฟานที่กำลังเดินอยู่ในแดนอเวจีอยู่ไม่ไกลจากจุดหมายจริง
ตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านดอกท้อจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสิบสี่วัน และเขาก็กำลังจะข้ามขุนเขาวายุน้ำแข็งนี้ไปได้ ทว่าส่วนที่ยากลำบากที่สุดของการเดินทางมักอยู่ช่วงท้ายเสมอจนทำให้คนท้อและอาจจะละทิ้งกลางคัน แต่ไห่อวิ๋นฟานไม่เพียงไม่เทิบทาบ แต่กลับเพิ่มความระแวดระวังกว่าเดิมหลายเท่า เพราะเขารู้ดีว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า หลายร้อยปีมานี้ไม่มีใครสามารถผ่านเส้นทางบรรลุเซียนนี้ไปได้ คิดว่าตัวเองจะเดินไปถึงปลายทางอย่างง่ายดายสบายใจอย่างนั้นหรือ? เขามิใช่ปิศาจอย่างหวังลู่นั่นสักหน่อย ไห่อวิ๋นฟานเข้าใจตัวเองเป็นอย่างดี
ทักษะความสามารถอยู่ในระดับสาม ความฉลาดทางอารมณ์ระดับสอง และการใช้วิจารณญาณระดับหนึ่ง… รวมไปถึงความสามารถในการชั่งและตัดสินใจ ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในทักษะเฉพาะตัวที่ไห่อวิ๋นฟานภาคภูมิใจ
เหตุผลที่เขาเลือกออกจากหมู่บ้านดอกท้อก่อนนั้น ก็เพราะคำว่า ‘ตัดสินใจ’ แม้ว่าการออกจากหมู่บ้านก่อนจะทำให้ความสมบูรณ์แบบของภารกิจมีตำหนิ แต่คนที่ออกจากหมู่บ้านเป็นคนแรกย่อมต้องได้รางวัลพิเศษอย่างแน่นอน
หลังจากที่ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียซ้ำแล้วซ้ำอีก ไห่อวิ่นฟานก็ตัดสินใจ และในช่วงเริ่มต้นของขุนเขาวายุน้ำแข็ง เขาก็รู้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้ว
ส่วนรางวัลนั้นก็ไม่มีอะไรมาก อาวุธวิเศษระดับเจ็ดที่มีพลังไร้ขีดจำกัดที่ใช้ตลอดการทดสอบบนเส้นทางบรรลุเซียนอย่างตุ๊กตาฟางคุณไสย ที่สามารถลดทอนพลังของศัตรู และใช้ได้สูงสุดสามครั้ง
นอกจากนี้หนทางบนขุนเขาวายุน้ำแข็งนั้นยากลำบากยิ่งยวด ไม่เพียงแต่จะคัดคนที่มีคุณสมบัติไม่เพียงพอออกเหมือนสะพานทองคำเท่านั้น ทว่ายังเต็มไปด้วยภาพลวงตาที่สร้างความสับสนแก่ใจคนเหมือนดั่งแผนที่คลื่นเมฆา ผู้ทดสอบอาจจะต้องพบเจอสถานการณ์ที่หลากหลาย พวกเขาต้องรู้ว่าเวลาไหนต้องหลบ หรือเวลาไหนที่ต้องเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ
นี่ถือเป็นการทดสอบตัวผู้ทดสอบทุกด้าน แม้จะมีพรสวรรค์ที่โลกตะลึง แต่หากขาดคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งก็อาจตายกลางทางได้ และในด่านนี้ คุณสมบัติที่สำคัญที่สุด... บังเอิญว่าเป็นความสามารถในการใช้วิจารญาณและการตัดสินใจพอดี
เมื่อต้องเดินหน้าแต่ไม่ยอมเดิน และพอถึงคราวต้องถอยหลังแต่ไม่ยอมถอย หรือมีความสามารถสิบส่วนแต่กลับดึงออกมาใช้เพียงสี่ห้าส่วนเท่านั้น สิ่งเหล่าผ่านเส้นทางบรรลุเซียนไม่ได้แน่ ทว่าโชคดีที่ไห่อวิ๋นฟานมีวิจารณญาณและการตัดสินใจที่เป็นเลิศ เพิ่มดวงเข้าไปสักหน่อย... ขุนเขาวายุน้ำแข็งที่ได้ชื่อว่าเป็นหนทางที่สุดแสนยากลำบาก ไห่อวิ๋นฟานก็ผ่านมันไปได้ทีละด่านๆ โดยไม่ต้องงัดตุ๊กตาฟางคุณไสยออกมาใช้เลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่านี่คือเจตนา... หลายครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เช่น มีครั้งหนึ่งที่เขาเกือบจะถูกสัตว์ปิศาจที่เดินผ่านมาบีบให้อยู่ในสภาพสิ้นหวัง ทว่าตุ๊กตาฟางเล็กๆ ก็ยังถูกเก็บไว้ก้นหีบ
เพราะว่าหากอยากผ่านบททดสอบในด่านสุดท้าย เขาก็ต้องเก็บทรัพยากรที่มีค่าไว้ แม้คนอื่นจะไม่เข้าใจในข้อนี้ แต่ไห่อวิ๋นฟานรู้ ไม่ว่าจะเป็นขุนเขาวายุน้ำแข็งหรือสันเขาผาชาด... สุดท้ายล้วนต้องมีสัตว์ปิศาจที่เก่งกาจตัวหนึ่งเฝ้าด่าน
แล้วสัตว์ปิศาจตัวนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน?
จนร้อยกว่าปีมานี้ก็ยังไม่มีผู้ใดระบุได้เลยว่ามันแข็งแกร่งเพียงใด
ยังดีที่งานชุมนุมคัดเลือกเซียนของสำนักกระบี่วิญญาณครั้งนี้เตรียมหมู่บ้านดอกท้อไว้ อย่างน้อยรางวัลของการผ่านด่านภารกิจก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้ทดสอบไม่มากก็น้อย ตัวอย่างเช่นตุ๊กตาฟางคุณไสยตัวนี้ ถ้าหากใช้ลดทอนพลังซ้ำกันสามครั้ง...อาจมีความหวังผ่านด่าน
คิดได้ดังนั้น ไห่อวิ๋นฟานก็เดินเข้าไปยังช่องเขาสุดท้ายของขุนเขาวายุน้ำแข็ง แม้ทางเดินจะเล็กแคบคดเคี้ยว แต่ไห่อวิ๋นฟานก็เดินอย่างอดทน ประสาทขึงเครียดและระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา จนเมื่อผ่านโค้งหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เจอสัตว์ปิศาจที่เฝ้าด่าน
เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า คิ้วของไห่อวิ๋นฟานก็ขมวดแน่น ครุ่นคิดอย่างหนัก
แปลกมาก ร่างนี้สูงประมาณสิบจั้ง ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง สัตว์ปิศาจร่างมหึมาที่ดูแล้วคลับคล้ายคลับคลากับช้างศึกจากดินแดนทางใต้ตัวนี้ตกลงเป็นสัตว์สายพันธุ์ใดกันแน่? ตนเองก็ถือว่าเป็นคนรอบรู้และความจำดีมากคนหนึ่ง จากการอ่าน ‘คัมภีร์สัตว์ปิศาจธาราคราม’ ที่ถูกเขียนขึ้นโดยโลกบำเพ็ญเซียนและเผยแพร่อย่างกว้างขวางในแดนมนุษย์มาแล้วหลายรอบ สัตว์ปิศาจขั้นหนึ่งถึงสองที่คัมภีร์แนะนำเขาล้วนจำได้แม่นขึ้นใจ แต่ยามนี้เขากลับจำมิได้ว่าเคยเห็นสัตว์สายพันธุ์นี้
——
“บอกตามตรง ข้าสงสัยมาตลอดว่าบรรพบุรุษของสำนักเราต้องทำอะไรผิดพลาดสักอย่าง”
เหนือกลุ่มเมฆขึ้นไป ชุดขาวดำที่อาวุโสกว่าเอ่ยซุบซิบนินทาอย่างระแวดระวัง
ส่วนศิษย์น้องที่อ่อนกว่าก็ถามกลับด้วยความฉงนสนเท่ “ผิดพลาดอะไร?”
“ข้างสงสัยว่าตอนที่พวกเขาออกแบบเส้นทางบรรลุเซียน ได้เผอิญเขียนกฎของด่านสุดท้ายผิด จริงๆ แล้วสัตว์ปิศาจที่เฝ้าด่านควรจะเป็นสัตว์ปิศาจขั้นสองระดับเก้า แต่สุดท้ายกลับเขียนเป็นขั้นสามระดับเก้าแทน แตกต่างเพียงตัวอักษรเดียว ไม่สิ... แค่ขีดเดียวเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินว่าเป็นสัตว์ปิศาจขั้นสามระดับเก้า ศิษย์น้องก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ “สัตว์ปิศาจขั้นสาม? ต่อให้จะอยู่แค่ระดับเก้า แต่นั่นก็แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญในขั้นสร้างฐานมิใช่รึ?!”
ศิษย์พี่แก้ไขประโยคนั้นอย่างตั้งใจ “นั่นคือตบะขั้นสร้างฐานของสำนักธรรมดาทั่วไป หากเปลี่ยนมาเป็นสำนักกระบี่วิญญาณของเรา แค่ตบะขั้นฝึกปราณระดับหนึ่งหรือสอง ก็เพียงพอจะจัดการกับสัตว์ปิศาจระดับสามขั้นต่ำได้แล้ว”
ศิษย์น้องกล่าวอย่างหมดแรง “แต่นั่นก็ต้องเป็นผู้ฝึกปราณระดับหนึ่งถึงสองนะ ท่านจะให้คนที่ยังไม่ได้เริ่มบำเพ็ญต่อกรกับมันได้อย่างไร? เกรงว่าต่อให้มีอาวุธวิเศษจากตระกูลก็ยังเป็นเรื่องยาก”
ศิษย์พี่โบกมืออย่างไร้ซึ่งความรับผิดชอบ “ใครจะไปรู้ล่ะ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหลายร้อยปีมานี้จึงไม่มีใครผ่านเส้นทางนี้ได้ สัตว์ปิศาจขั้นสาม แม้จะต่างกันแค่ขั้นเดียวแต่ระดับความยากน่าจะมากกว่าเป็นสิบเท่า นอกจากนี้ขั้นสามระดับเก้าเป็นเพียงขั้นต่ำเท่านั้น ต่อให้เจอระดับเจ็ดหรือแปดก็ไม่แตกต่างหรือพิเศษอะไร ครั้งนี้ไห่อวิ๋นฟานถือว่าโชคดีได้เจอระดับเก้า...ฉะนั้นข้าถึงบอกอย่างไรเล่าว่านอกจากไห่อวิ๋นฟานที่ยังดูมีความหวังสองส่วน คนอื่นน่ะหมดหวังแล้ว”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น บนชั้นเมฆก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น หางตาของศิษย์พี่จับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ทันใดนั้นเขาก็อุทานออกมาด้วยความปีติยินดียิ่ง
“โอ๊ะ โอ๊ะ เริ่มแล้ว!”
ศิษย์น้องรีบพุ่งเข้าไปอย่างไว “อ๋า... เป็นการโต้กลับที่ดีและเฉียบมาก โผล่ขึ้นมาปุ๊บก็ใช้ตุ๊กตาฟางคุณไสยลดพลังทันที! แถมยังใช้ติดกันสามครั้งรวด!”
ศิษย์พี่พยักหน้าเห็นด้วย “เป็นการเลือกที่ถูกต้อง แม้จะเป็นเพียงอาวุธธรรมระดับเจ็ด ซึ่งตามหลักแล้วใช้ได้ผลกับสัตว์ปิศาจขั้นสองลงไปเท่านั้น แต่หากเป็นขั้นสามระดับเก้า และใช้สามครั้งติดกัน ระดับของมันต้องลดลงอย่างแน่นอน”
ศิษย์น้องกล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย “ต่อให้ระดับขั้นลดลง แต่ก็ยังคงเป็นขั้นสองระดับหนึ่งหรือสองอยู่ ต่อให้เป็นพลทหารหลายร้อยนายที่เก่งกาจจากแดนมนุษย์ก็เกรงว่ายังมิอาจรับมือกับมันได้...”
ศิษย์พี่กล่าว “วางใจเถอะ คนอย่างไห่อวิ๋นฟานต้องซ่อนไพ่ตายไว้อย่างแน่นอน”
ศิษย์น้องยังคงกังวลไม่หยุด “ต่อให้ซ่อนอาวุธธรรมไว้ก็ไม่น่าจะมีประโยชน์ สำหรับคนที่ไม่เคยผ่านการบำเพ็ญมาก่อน ระดับของอาวุธสูงขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งควบคุมประสิทธิภาพของมันยากขึ้นเท่านั้น อย่างเช่นพวกที่แอบพกอาวุธธรรมเหล่านั้น อาวุธวิเศษระดับเจ็ดระดับแปดยังเทียบอาวุธธรรมระดับเก้าไม่ได้ ทำให้คนหัวเราะไม่ออกจริงๆ...
ศิษย์พี่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “อืม ขายหน้าผู้บำเพ็ญอย่างพวกเราจริงๆ... แต่ไห่อวิ๋นฟานอยู่คนละชั้นกับขยะพวกนั้น ลองมองลงไปสิ”
——
ไห่อวิ๋นฟานไม่ได้เป็นคนระดับเดียวกันกับคนอย่างเซี่ยกันหลงจริงๆ
เพราะอย่างไรเซี่ยกันหลงก็ยังมีไพ่ตายที่ตระกูลมอบให้ ส่วนเขาไม่มีอะไรเลย
ฐานะขององค์ชายแห่งจักรพรรดิอวิ๋นไท่สูงศักดิ์ก็จริง แต่ก็สูงเฉพาะในแดนมนุษย์เท่านั้น ราชวงศ์อวิ๋นไท่มีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักบำเพ็ญเซียนต่างๆ ไม่น้อย ทว่าก็มิได้ดีจนถึงขั้นสามารถนำทรัพยากรของแดนมนุษย์ไปแลกกับอาวุธธรรมได้... อาวุธธรรมอาจจะแลกเปลี่ยนกันตามใจชอบได้ แต่หากเป็นอาวุธวิเศษแล้วไซร้ เป็นเรื่องยากอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มานานนับพันปีของจักรพรรดิอวิ๋นไท่ ต้องหาอาวุธธรรมได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่เคยบำเพ็ญมาก่อน ต่อให้มีอาวุธธรรมในมือแล้วจะทำอะไรได้? นอกจากอาวุธธรรมในตำนานบางอย่างที่มีระดับเทียบเท่ากับอาวุธเซียน อย่างอื่นก็ไม่มีที่มนุษย์ธรรมดาจะใช้งานได้ นอกจากนี้อาวุธธรรมก็ไม่อาจพกขึ้นมาบนสะพานทองคำได้
ไห่อวิ๋นฟานมิได้เป็นผู้ทดสอบขี้โกงอย่างหวังลู่นั่น และมิได้พบช่องโหว่ของเส้นทางบรรลุเซียน เขาก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่ได้พึ่งทั้งไพ่ตายและการโกง แต่อาศัยเพียงความพยายามอย่างมุ่งมั่นไม่หยุดหย่อนเท่านั้น
แล้วความพยายามอย่างมุ่งมั่นไม่หยุดหย่อนจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้หรือ?
ไห่อวิ๋นฟานหวังอย่างนั้น
เนื่องจากหากไม่มีปาฏิหาริย์ เขาคงต้องจบเห่เป็นแน่แท้
ไห่อวิ๋นฟานมิใช่คนบำเพ็ญเซียน ไม่มีทางวัดระดับขั้นของสัตว์ปิศาจได้อย่างแม่นยำ ทว่าหลังจากใช้ตุ๊กตาฟางคุณไสยไปสามครั้งติด สัตว์ร้ายร่างมหึมาขนาดสิบจั้งเบื้องหน้าหดตัวลงเหลือเพียงเจ็ดจั้งเท่านั้น เมื่อคำนวณดูแล้วเขาจึงสรุปได้ว่า ชะตากรรมของเขาคงเหมือนเนื้อชิ้นหนาที่ถูกบดจนเป็นเนื้อละเอียด...
บนเส้นทางบรรลุเซียนนี้จะอยู่หรือดับมิอาจบอกได้ การเป็นศัตรูกับสัตว์ปิศาจร่างยักษ์เช่นนี้ มีร้อยชีวิตก็ไม่พอให้ใช้ แต่...
แต่ไห่อวิ๋นฟานก็เลือกหยิบกระบี่ที่เป็นมรดกสืบทอดประจำตระกูลออกมา เล็งไปยังคู่ต่อสู้อย่างองอาจหาญกล้า
........................................