ตอนที่แล้วภาค 1 ตอนที่ 13 วิธีแก้ปัญหาที่สมบูรณ์แบบสำหรับข้อพิพาทในครอบครัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 1 ตอนที่ 14 เด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นผู้แบกหน้าอกอันแสนหนักไว้ไม่ไหว

ภาค 1 ตอนที่ 16  แผนพิชิตภารกิจอันสมบูรณ์แบบ


ตอนที่ 16  แผนพิชิตภารกิจอันสมบูรณ์แบบ

“โอ๊ะๆ หวังลู่เริ่มเคลื่อนไหว!”

“พูดจริงรึ!? รีบไปเรียกให้คนมาดูเร็ว!”

ในช่วงสายของวันที่เด็กรับใช้และสหายอีกสองคนออกจากหมู่บ้านดอกท้อกับความสำเร็จระดับที่ทำให้คนทึ่ง ในที่สุดหวังลู่กักตัวเสร็จ เมื่อเขาเดินออกจากประตูห้อง ก็ได้รับความสนใจและถูกจับจ้องจากผู้คนจำนวนมาก

“โอ๊ะ เขาคือหวังลู่หรือเนี่ย หน้าตาแบบนี้นี่เอง ก็ไม่เห็นจะดีเด่เก่งกาจอะไรนักหนา ฟังที่พวกเจ้าเถียงกันก่อนหน้านี้ ก็นึกว่าจะเป็นปีศาจที่สูงสักแปดเชยะซะอีก”

“จิ๊ ใครจะไปสูงแปดเชียะ? สูงแปดเชียะต้องถูกฟ้าดินลงโทษแน่ๆ  อย่าเพิ่งตัดสินคนจากภายนอก คนนี้แหละที่เดินออกมาจากแผนที่คลื่นเมฆาคนแรก”

“อาจจะเพราะดวงดีก็เป็นได้ เห็นอยู่ว่าเขาไม่ทำอะไรในหมู่บ้านดอกท้อเลย”

“ไม่ทำอะไร? ไห่อวิ๋นฟานคนที่ทำภารกิจสำเร็จและออกจากหมู่บ้านคนแรกก็เป็นคนที่อยู่ภายใต้การชี้แนะของเขา”

“เฮอะ ออกจากที่นี่เร็วแล้วอย่างไร ระดับความสำเร็จสูงแค่ไหนกันเชียว? สิ้นเปลืองภารกิจระดับหนึ่งของผู้นำหมู่บ้านไปอย่างเปล่าประโยชน์ อีกอย่างภารกิจในหมู่บ้านตอนนี้ล้วนถูกทำจนหมดแล้ว แม้จะออกจากอาศรมแล้วแต่จะทำอะไรได้อีก?”

“ใครจะไปรู้... เพราะฉะนั้นทุกคนจึงมาดูอย่างไรล่ะ อยากดูว่าเขาจะทำอะไรกันแน่”

และสิ่งที่หวังลู่ทำก็มิได้ทำให้คนผิดหวัง

เขาไปช่วยป้าหวงฝั่งบูรพาหาบน้ำแล้ว

“เอ๋ เขาใจผิดหรือเปล่า! ภารกิจของป้าหวงถูกทำสำเร็จแล้วนี่ และไม่มีทางรับลูกบุญธรรมอีกแน่นอน เขาไปหาบน้ำทำไม!?”

ผู้ทดสอบที่พิชิตภารกิจของป้าหวงก็สงสัยเช่นกัน มาตรฐานภารกิจของป้าหวงคนนี้น่าจะอยู่ในระดับสี่ มูลค่าน่าจะอยู่ในอันดับสามนับจากข้างหลัง กระทั่งซี่โครงไก่ก็ยังเทียบไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าหวังลู่ผู้ยิ่งใหญ่จะเลือกเปิดสนามด้วยภารกิจนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีประโยชน์อะไร

หวังลู่ไม่สนใจการจับจ้องของคนรอบข้าง ตั้งหน้าตั้งตาหาบน้ำ แม้รูปร่างและส่วนสูงของเขาจะอยู่ในระดับปานกลาง ทว่าพละกำลังกลับดียิ่ง ไม่นานโอ่งเก็บน้ำของป้าหวงก็เต็ม

“โอ้ เด็กหนุ่ม ขอบ...”

ยังไม่ทันที่ป้าหวงจะพูดจบ หวังลู่ก็แทรกขึ้น “ข้าอยากไปห้องเรียนของลูกชายท่าน”

ป้าหวงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า

จากนั้นหวังลู่ก็มิได้กล่าวอะไรเพิ่มอีก วางไม้หาบลงแล้วเดินดุ่มไปยังห้องถัดไป

ผู้ที่อาศัยอยู่ห้องถัดไปคือ ‘บัณฑิตหวง’ ลูกชายของป้าหวง มูลค่าของภารกิจก็ไม่ได้มีค่ามากไปกว่ามารดาผู้สุดแสนจะธรรมดานั่นเท่าใดนัก เริ่มต้นด้วยภารกิจระดับสี่ แต่หลังจากที่ภารกิจดำเนินไปจนถึงจุดหนึ่งกลับมีโอกาสรู้จักกับปราชญ์อาวุโสที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านผู้หนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นภารกิจระดับหนึ่ง และก็คือภารกิจอันโด่งดังที่เด็กรับใช้หวังจงทำสำเร็จ

ภารกิจของบัณฑิตหวงถูกพิชิตเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เด็กรับใช้จากไปเขาก็ไม่สนใจคนอื่นอีกเลย นอกจากนี้ผู้ทดสอบคนอื่นก็ขี้เกียจเสวนากับบัณฑิตยาจกไร้ราคาผู้นี้ ยามนี้เมื่อเห็นหวังลู่จะก้าวเท้าเข้าห้องเรียน บรรดาผู้ทดสอบก็คาดเดาไปต่างๆ นานาว่าเขาจะเปิดฉากนี้อย่างไร

“หรือบัณฑิตจะยังมีภารกิจลับซ่อนอยู่ในตัว?”

“เป็นไม่ได้หรอก หากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าชาวบ้านคนอื่นยังมีภารกิจซ่อนอยู่เหมือนกันน่ะสิ? หวังลู่เก็บตัวนานขนาดนั้น เพียงเพื่อเปิดภารกิจที่ซ่อนอยู่หรือ?”

หลังจากนั้น ก็เห็นเพียงแค่หวังลู่เดินตรงไปที่ห้องเรียน ก่อนจะปริปากพูดกับบัณฑิตหวง เขาก็ยื่นกระดาษโหลหนึ่งไปยังเบื้องหน้า

“อาจารย์ นี่คือการบ้านของวันนี้”

ขณะนั้นเองคนที่มุงดูอยู่ด้านนอกก็เกิดอาการมึนงง หนึ่ง หวังลู่มิได้คารวะฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ สอง หวังลู่มิได้จ่ายค่าเล่าเรียน ตามหลักแล้วหากเดินเข้าไปในห้องเรียนต้องถูกไล่ตะเพิดออกมาแน่นอน ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่จะเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย ยังบอกว่าจะส่งการบ้าน!? เขาไปทำการบ้านมาตั้งแต่เมื่อไร? แต่ปัจจุบันบัณฑิตหวงสอนแค่บทกวีเท่านั้น จึงคิดว่าสิ่งที่เขียนลงบนกระดาษก็น่าจะเป็นพวกกลอนหรือกวี

บัณฑิตหวงรับกระดาษมาอย่างไม่แยแสนัก แต่เมื่อจ้องไปยังหน้ากระดาษ ก็ตกตะลึงจ้องค้าง “เจ้าเขียนกวีบทนี้ขึ้นมาเองจริงๆ รึ!?”

“มิเช่นนั้นแล้วใครจะเป็นคนเขียนล่ะ?” หวังลู่ถามกลับด้วยรอยยิ้ม “ท่านมิได้เห็นน้ำจากฟากฟ้าที่ไหลรินสู่ฮวงโห ไหลลงสู่ทะเลไม่หวนกลับ... ท่านเคยอ่านกวีลักษณะนี้มาก่อนหรือ?”

“กวีหลายแผ่นนี้เขียนขึ้นด้วยความรู้สึกจริงใจเร้าอารมณ์อย่างลึกซึ้ง เหตุใดเด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองอย่างเจ้าจึงมีความรู้สึกเช่นนี้ได้?”

“ข้ามีพรสวรรค์ และเป็นเทพดาราเหวินชีว์จุติมาเกิด”

หวังลู่กล่าวพลางหัวเราะหึๆ เขามองบัณฑิตหวงคล้ายมองสุนัขในหมู่บ้าน เหตุผลกระเจี๊ยวเป็ดเช่นนี้กระทั่งเด็กเจ็ดแปดขวบก็ไม่มีทางหลงเชื่อ ทว่าบัณฑิตหวงกลับนิ่งคิดไปชั่วขณะ ในที่สุดก็ส่ายศีรษะถอนหายใจ

“เสียดายข้ารับศิษย์ก้นกุฏิไปแล้ว มิเช่นนั้นต้องรับเจ้าเป็นศิษย์อย่างแน่นอน”

หวังลู่ยังคงหัวเราะหึๆ ไม่สนใจอาการคร่ำครวญของบัณฑิตแม้แต่น้อย “รบกวนท่านเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

บัณฑิตหวงตอบอย่างเคร่งขรึม “ขอได้ทุกเรื่อง”

“ข้าอยากได้ผ้าซับเหงื่อผืนนี้ของท่าน” หวังลู่เอ่ยพลางชี้ไปยังผ้าที่ใช้ซับเหงื่อของบัณฑิตที่วางอยู่บนโต๊ะ

บัณฑิตอึ้งไปครู่หนึ่ง “เจ้าต้องการสิ่งนี้?”

“อืม” พูดจบหวังลู่ก็ไม่รีรอ ยื่นมือออกไปหยิบ หยิบแล้วก็เดินออกไป ส่วนบัณฑิตหวังก็เป็นคนประหลาด นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งพอสลัดเรื่องของหวังลู่ออกจากสมอง ก็เริ่มอ่านกวีให้ศิษย์ในชั้นเรียนต่อด้วยเสียงอันดังก้องอย่างนั้นหรือ ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

บรรดาผู้ทดสอบที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่นอกห้องรู้สึกเหมือนเห็นของแปลก ชาวบ้านในหมู่บ้านดอกท้อส่วนใหญ่ล้วนเป็นแบบนี้ นอกจากตอนที่แจกจ่ายภารกิจแล้ว สถานการณ์ส่วนใหญ่ก็โง่เหมือนสัตว์

แปลกใจก็ตรงหวังลู่ ถือผ้าเช็ดเหงื่อของบัณฑิตเดินวางก้ามออกมาจากห้อง คิดจะทำอะไรกันแน่?

บัณฑิตหวงก็มิใช่สาวพรหมจรรย์เสียหน่อย ผ้าซับเหงื่อของเขาทั้งสกปรกทั้งเหม็นเปรี้ยว มีอะไรน่าสนุก?

สุดท้ายผู้ชมก็มองหวังลู่ที่เดินไปยังบ้านของคนที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่ง เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู ผู้สังเกตการณ์หลายคนก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ

“เสี่ยวฟาง! นี่คือบ้านของเสี่ยวฟาง!”

คนอื่นๆ จ้องหน้ากันไปมา ป้าบ้านนอกเสี่ยวฟางคนนั้นก็คือบุคคลในตำนานของหมู่บ้านดอกท้อที่เหมือนตัวละครอื่นๆ นางมีเคราบนใบหน้าทรงสี่เหลี่ยม ส่วนสูงแปดเชียะรอบเอวก็มีขนาดแปดเชียะ สามารถกินหมั่นโถวยี่สิบลูกและเนื้อวัวสิบจานในหนึ่งมื้อ ตรงนอกบ้านมีหินยกน้ำหนักสิบชั่ง[2]วางอยู่สองก้อน ซึ่งนางเอาไว้โยนเล่นฆ่าเวลาในขณะที่รอเวลาอาหาร

คนแข็งแรงเช่นนี้ อยู่ที่ไหนก็เป็นวีรบุรุษของที่นั่น แต่กลับต้องกลายเป็นป้าบ้านนอกเสี่ยวฟางในหมู่บ้านดอกท้อ ซ้ำยังเป็นเสี่ยวฟางผู้วิ่งตามหารักแท้ ภารกิจในครั้งนี้ก็คือภารกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก วิธีเดียวที่จะเดินเข้าสู่ภารกิจนี้ได้ก็คือต้องซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนางเท่านั้น ผู้ทดสอบจำนวนมากยกให้เป็นภารกิจระดับหนึ่งในตำนาน องค์ชายบางประเทศเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อภารกิจนี้ แต่กลับผิดหวังล้มเหลวไม่เป็นท่าและสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง คิดไม่ถึงว่าหวังลู่กลับเดินไปยังประตูบ้านของนางอย่างกล้าหาญมั่นใจ....

น่าเสียดาย หากก่อนหน้านี้องค์ชายคนนั้นไม่ได้ทำภารกิจนี้ ด้วยความสามารถของหวังลู่อาจทำภารกิจนี้สำเร็จก็ได้... แม้ว่าคิดๆ ไปแล้วจะรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนมีเกลียวคลื่นในกระเพาะ แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หวังลู่น่าจะหมดโอกาสแล้ว

สรุปหวังลู่ก็เคาะประตูจริง เขาเคาะประตูไปด้วยเรียกคนในบ้านไปด้วย “เสี่ยวฟาง ข้ามีผ้าซับเหงื่อของบัณฑิตหวง”

เสียงพูดไม่ทันขาดประตูก็ถูกเปิดออกมา ในมือของป้าบ้านนอกเสี่ยวฟางถือขาหมูมันเยิ้ม ถามด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ “เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

หวังลู่ยิ้มออกมา “ข้าเอาผ้าซับเหงื่อที่บัณฑิตหวงใช้แล้วยังไม่ได้ซักมาแลกกับหมูนึ่งข้าวคั่วประจำตระกูลที่เจ้าทำหนึ่งชาม”

“เจ้าต้องการหมู่นึ่งข้าวคั่ว?... ได้ ! เอาผ้าซับเหงื่อมา”

ระหว่างที่พูดเสี่ยวฟางก็ยื่นมือออกไปรับผ้าซับเหงื่อ เนื้อไขมันตรงท้องแขนโบกสั่นไหวไปมา ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นหรือไขมันหย่อนคล้อยเกินไป

หวังลู่มิได้รั้งห้ามอะไร ให้นางนำผ้าซับเหงื่อนั้นไป หลังจากนั้นเสี่ยวฟางก็กุมผ้าซับเหงื่อแน่นราวกับได้รับสมบัติล้ำค้า แล้วรีบยื่นหน้าเข้าไปสูดดมทันที ภายใต้สายตาอกสั่นขวัญแขวนของคนจำนวนมาก

ขณะนั้นเอง ผู้ทดสอบคนหนึ่งที่ท่าทางดูเหมือนขอทานมีกลิ่นของสุนัขขี้แพ้แผ่ออกมาจากรอบตัวก็โพล่งออกมาด้วยความตกใจ “จริงด้วย เสี่ยวฟางแอบรักบัณฑิตหวง!”

บรรดาผู้ชมหันกลับไปมอง เป็นองค์ชายผู้หนึ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งถูกเสี่ยวฟางทุบจนไตแทบวายเนื่องจากเหยียบเรือสองแคม คำพูดของเขาน่าเชื่อถืออยู่หลายส่วน เห็นวิธีที่ป้าบ้านนอกแสดงออกถึงความรักก็ตรงไปตรงมาอย่างนี้ คนสิบคนก็ยังดูออก นับประสาอะไรกับชายหนุ่มผู้นี้

เสี่ยวฟางคล้ายจะทนไม่ไหวอยากทำอะไรสักอย่างกับผ้าซับเหงื่อผืนนี้ ดวงตาเม็ดถั่วเขียวทั้งสองข้างพราวระยิบระยับ กุมผ้าซับเหงื่อเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องอย่างรีบร้อน กระทั่งขาหมูที่ถืออยู่ในมือก่อนหน้าก็ถูกสลัดทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี

ทว่าสาวบ้านนอกผู้นี้ก็เป็นคนซี่อสัตย์รักษาคำพูด ไม่กี่นาทีถัดมา เสี่ยวฟางก็อุ้มไหใบใหญ่ออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน “สิ่งที่เจ้าให้ข้าคือของจริง ขอบใจมาก!”

หวังลู่รับไหมา แม้ว่าแขนจะมีกำลังแต่ก็ยังหนักเกินไปสำหรับเขาอยู่ดี หมูหมักข้าวคั่วไหนี้ก็เหมือนกับเสี่ยวฟาง นอกจากนี้แม้ไหจะถูกปิดผนึกไว้ ทว่ากลิ่นหอมฉุยที่ปิดไม่อยู่ก็โชยออกมาจากไหชวนเรียกน้ำย่อยให้กระเพาะร้องครวญคราง

หากถามว่าป้าบ้านนอกเสี่ยวฟางมีอะไรดี ก็คงจะเป็นทักษะการปรุงอาหารอันยอดเยี่ยม

“ขอบคุณมาก”

เสี่ยวฟางตบไปที่หน้าอก “เกรงใจอะไรกัน ครั้งหน้ามีของดีเช่นนี้อีก รีบเอามาให้ข้าทันที ข้ายังมีหมูรมควันสูตรลับประจำตระกูล รอเจ้ามาแลก!”

หวังลู่ยิ้มออกมาอีกครั้ง “ได้ ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ แม้แต่ชุดชั้นในของบัณฑิตข้าก็จะเอามาให้เจ้า”

รูจมูกของเสี่ยวฟางบานขึ้น “อ๊าย! หากเจ้านำชุดชั้นในของบัณฑิตมาได้ แม้แต่ร่างกายข้าก็ยอมยกให้เจ้า!”

“ถ้าเป็นคนก็ไม่ล่ะ ขอบคุณ” หวังลู่ปฏิเสธอย่างสุภาพ แล้วใช้กำลังมหาศาลยกไหเนื้อหมูเดินมุ่งไปอีกฝั่ง

รอบนี้ไม่ได้เดินไกลนัก หวังลู่ก็เคาะประตูบ้านของอีกครอบครัวหนึ่ง

เขาทำเช่นนี้ซ้ำๆ อีกครั้งและอีกครั้ง หวังลู่ใช้หมูนึ่งข้าวคั่วแลกผ้าไหมทออย่างประณีตพิถีพิถันผืนหนึ่ง และใช้ผ้าไหมแลกเครื่องประทินกล่องใหญ่ แล้วใช้เครื่องประทินแลกขนมหวาน... การแลกเปลี่ยนเหล่านี้บ้างก็ได้ทุนบ้างก็ขาดทุน แต่หวังลู่หาได้แยแสไม่ เขาทำแบบเดิมซ้ำๆ ราวกับหุ่นเชิด นั่นก็คือ เคาะประตู มอบของในมือ อ้าปากถามถึงของอีกชิ้น

จากนั้นก็เดินไปยังที่ต่อไปด้วยแววตาซาบซึ้ง

ในเวลาเพียงหนึ่งวัน หวังลู่เดินวนไปรอบหมู่บ้านอย่างไม่หยุดพัก เคาะประตูบ้านไปแล้วหนึ่งร้อยยี่สิบหลังคาเรือน มอบความอบอุ่นให้กับคนทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบคน สุดท้ายก็ถืออาหารกล่องหนึ่งจากโรงเตี๊ยมดอกท้อกลับห้องอย่างสบายอารมณ์

ในวันเดียวกันนี้เอง คนจำนวนสิบกว่าคนได้วางภารกิจในมือลง แล้วเดินวนตามหวังลู่อย่างตั้งใจ ถึงช่วงสายก็ยังไม่แคล้วใจ ไม่เข้าใจว่าการเดินเล่นของหวังลู่ลักษณะนี้มีความหมายอะไร รอจนกระทั่งบ่าย ต่อให้เป็นคนที่สมองช้าที่สุดก็ยังมีสีหน้าอึ้ง

ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านดอกท้อมาเดือนหนึ่ง ไม่มีใครไม่รู้ว่าหวังลู่เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิก ‘ระดับความพึงพอใจ’ อะไรนี่ และใจความสำคัญนี้ถูกแพร่กระจายออกไปทั่วหมู่บ้านผ่านไห่อวิ๋นฟาน ชาวบ้านทุกคนมีระดับความพึงพอใจ และระดับความพอใจก็เป็นตัวชี้วัดระดับความสำเร็จของภารกิจ! การที่หวังลู่ใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายไปกับการแลกเปลี่ยนสิ่งของ หากมองในมุมของคนทำการค้าคือขาดทุนย่อยยับแน่นอน ทว่าหากมองในมุมผู้ทดสอบ เขาได้อธิบายคำหนึ่งแก่ทุกคน

นั่นก็คือ อะไรคืออัจฉริยะ

ภารกิจเพียงอย่างเดียวของผู้ทดสอบในหมู่บ้านดอกท้อก็คือการสร้างความความพึงพอใจ และหวังลู่ก็สร้างความพึงพอใจจนถึงระดับสูงสุดแล้ว นอกจากประโยคที่จำเป็นต้องพูด เขาก็มิได้พูดอะไรมากกว่านั้นเลยแม้แต่ครึ่งคำ บ่อยครั้งที่บทสนทนาระหว่างเขาและชาวบ้านมีตรรกะแปลกๆ ทว่าเขากลับผ่านมันไปได้อย่างราบรื่น จบลงด้วยความชื่นมื่น

มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น นั่นคือหวังลู่จับใจความสำคัญของภารกิจนี้ได้ มองเห็นวิธีสร้างความพึงพอใจต่อเจ้าของภารกิจแต่ละคน และใช้วิธีที่ง่ายที่สุดแต่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนความพอใจสูงสุด นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ประทับใจกว่านั้นก็คือ เขาร้อยภารกิจของคนทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบคนให้เป็นเส้นเดียวกัน แล้วเดินจนครบภายในครั้งเดียว

หนึ่งวันกับคนจำนวนร้อยยี่สิบคน ทุกคนล้วนรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณหวังลู่ หากมิใช่เพราะภารกิจเฉพาะของพวกเขาต่างถูกเปิดประเดิมแล้ว จึงไม่มีใครนึกสงสัยและเชื่อว่าหวังลู่จะสามารถทำภารกิจเฉพาะตัวทั้งร้อยยี่สิบภารกิจสำเร็จ หากมองจากมุมของชาวบ้าน คะแนนอาจจะไม่เท่าผู้ทดสอบที่มีความมุ่งมั่นเหล่านั้น ทว่าภารกิจจำนวนร้อยยี่สิบภารกิจ ถือเป็นตัวเลขที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง

ตอนนี้แม้แต่ผู้ทดสอบที่ใจเพชรที่สุด ก็ไม่สามารถทำสิบภารกิจภายในรอบเดียวได้ การรับมือกับชาวบ้านจำนวนมากถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ต้องวุ่นวายจนทำอะไรไม่ถูก

แล้วหวังลู่ล่ะ? ชาวบ้านร้อยยี่สิบคนในรอบเดียวโดยที่ไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว บรรดาผู้เฝ้าสังเกตการณ์สรุปแผนที่เดินทางของเขา พบว่าเขาแทบจะไม่ได้เดินเพิ่มเดินอ้อมแม้แต่เส้นทางเดียว! ที่น่ากลัวกว่านั้นคือวิธีสร้างความพึงพอใจของเขาล้วนแล้วแต่ใช้วิธีซ้ำๆ เดิมๆ ไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีสิ้นสุด เท่ากับว่าสามารถควบคุมเส้นภารกิจทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบเส้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่ถือว่าเป็นโลกที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าถึงได้อย่างแท้จริง

ให้คนเราล้างมือร้อยยี่สิบครั้งภายในวันเดียวคงทำให้เป็นบ้าแน่ๆ แล้วการทำภารกิจตั้งร้อยยี่สิบครั้งล่ะ? คงมีเพียงหวังลู่เท่านั้นที่ทำได้!

“แต่...แล้วมีความหมายอะไรล่ะ?”

ผู้ทดสอบคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้มเยาะปิดบังความอิจฉาภายในใจ

“หากเขาลงมือก่อนสักเดือนหนึ่ง ก็ไม่มีอะไรต้องพูด ทุกคนล้วนต้องถูกเขาเบียดให้ออกจากเส้นทางบรรลุเซียนแน่นอน เพราะไม่ได้ทำแม้แต่ภารกิจเดียว แล้วก็ติดอยู่ในนี้จนตาย แต่ตอนนี้คนที่จะถูกขังตายอยู่ในนี้คือเขาเองนั่นแหละ! ได้รับคะแนนความพึงพอใจของคนทั้งร้อยยี่สิบคนแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เพราะไม่มีใครสามารถมอบภารกิจให้เขาอีกแล้ว!”

คำพูดลักษณะนี้แม้จะดูไม่มีความเกรงใจ ทว่าก็เป็นเสียงที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อย

หวังลู่เก่งกาจจริง แต่เจ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองทำตัวเก่งจนกลายเป็นคนโง่เง่าหรือ?

แน่นอนว่าหวังลู่ไม่รู้สึก

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่หวังลู่เดินออกจากห้องนั้น ก็บังเอิญเจอเข้ากับเด็กหนุ่มหน้าขาวหลายคนที่ไม่พอใจกำลังจะเข้ามาหาเรื่อง

“หวังลู่เอ๋ย เจ้าทำภารกิจสร้างความพึงพอใจยากลำบากเพียงนี้ น่าเสียดาย...”

พูดไม่ทันจบ หวังลู่ก็ขัดจังหวะ

“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร...บอกตามตรง ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะโง่ถึงเพียงนี้ คิดว่าคนร้อยยี่สิบคนนั่นเป็นจำนวนคนทั้งหมดในหมู่บ้านดอกท้อจริงๆ รึ?”

คำพูดนี้ทำให้เด็กหนุ่มหน้าซีดหลายคนนั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง รีบยกนิ้วขึ้นนับจำนวนชาวบ้าน ทวนตั้งแต่ต้นจนจบรอบหนึ่งอย่างไว

“มะ...ไม่น่ามีตกหล่นนะ?”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างลังเล “นอกจากจะนับเด็กที่อยู่ในท้องของท่านป้าจางเข้าไปด้วย มิฉะนั้นคนในหมู่บ้านก็จะมีเพียงร้อยยี่สิบคนเท่านั้น”

มีคนกล่าวเสริมขึ้นมาอีก “หรือว่าสุนัขกับหมูในหมู่บ้านก็มีภารกิจด้วยเหมือนกัน”

ถกเถียงกันได้ครึ่งทางหวังลู่ก็ขัดขึ้น “คนโง่อย่างพวกเจ้าคงเป็นปัญหาผลผลิตจากการการสืบพันธุ์เลือดชิดจริงๆ สินะ?”

แม้ว่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับศัพท์เฉพาะนี้นัก ทว่าบรรดาคุณชายก็ฟังออกว่านี่คือคำพูดดูถูกเหยียดหยามที่เลวร้ายอย่างมาก คำรามขึ้นด้วยความโกรธจัดจนเลือดเดือดขึ้นหน้า “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

ในขณะที่ก่นด่าก็กรูเข้าไปจะรุมกะเอาให้ตายกันไปข้าง

หวังลู่เงยหน้าขึ้นและกอดอก สายตาที่มองคนเหล่านั้นเหมือนกำลังมองสุนัขในหมู่บ้านกำลังผสมพันธุ์กัน

และในขณะที่เหล่าคุณชายกำลังง้างกำปั้นนั้น เงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานลงมาจากฟ้า

“อ๊าตะตะตะตะตะ!”

...................................................

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด