ภาค 1 ตอนที่ 15 พ่อโง่เง่าของบุตรสาวที่หนีหายไปกับชายอื่น
ตอนที่ 15 พ่อโง่เง่าของบุตรสาวที่หนีหายไปกับชายอื่น
หมู่บ้านดอกท้อเผชิญกับวิกฤติทรัพยากร
เป็นเวลาหลังจากไห่อวิ๋นฟานเดินทางออกจากหมู่บ้านดอกท้อได้สองสัปดาห์ และตอนนี้ ผู้ทดสอบจำนวนมากใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว
จะว่านานก็ไม่นาน ก็แค่เพียงพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เข้าที่เข้าทาง ยกเว้นพวกขยะส่วนน้อยเช่นองค์ชายบางประเทศที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า คนอื่นล้วนค่อยๆ สะสมคะแนนความพึงพอใจของชาวบ้านทีละเล็กละน้อย รอคอยเวลาที่จะผ่านด่านภารกิจ
ผ่านไปหนึ่งเดือน ภารกิจของหมู่บ้านดอกท้อถูกผู้ทดสอบสำเร็จไปแล้วเจ็ดแปดส่วน แม้พวกเขาจะไม่ได้เอาแต่ขลุกตัววางแผนกลยุทธ์ในห้องเหมือนหวังลู่ แต่ผู้ทดสอบที่เดินมาถึงจุดนี้ไม่มีใครไม่ใช่คนมีสติปัญญาและความสามารถ พวกเขาค่อยๆ เก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ไปทีละเล็กละน้อย
จากการคำนวณของบรรดาผู้ทดสอบ ชาวบ้านในหมู่บ้านดอกท้อมีทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบคน ซึ่งหมายความว่าเป็นจำนวนที่เพียงพอกับผู้ทดสอบยี่สิบกว่าคนแน่นอน
วิธีที่คนส่วนใหญ่ใช้คือ ตั้งใจสร้างความพึงพอใจให้กับชาวบ้านทีละหนึ่งคนอย่างเต็มความสามารถจนถึงจุดที่กำหนดไว้ก็จะได้รับภารกิจพิเศษ จากนั้นจัดการทำภารกิจให้จบแล้วจึงจะออกจากหมู่บ้านดอกท้อได้ ทว่าเมื่อภารกิจพิเศษถูกทำไปแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ภารกิจนั้นๆ จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกครั้ง เช่น ผู้นำหมู่บ้าน ท่านป้าหลิว และเสี่ยวฟาง สาวบ้านนอกขนดกผู้กินหมั่นโถสิบลูกในแต่ละมื้อ นางไม่มีทางชายตามองผู้ทดสอบคนอื่นๆ แล้วให้ภารกิจพิเศษอีก
ภารกิจพิเศษก็เหมือนบัตรอนุญาตเข้าเมือง เมื่อทำสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นภารกิจระดับหนึ่งหรือภารกิจสามก็ล้วนแล้วแต่สามารถออกจากหมู่บ้านดอกท้อได้ แต่ระดับความสำเร็จของภารกิจนั้นก็ไม่อาจเทียบกันได้
ทว่าภารกิจระดับหนึ่งหลายภารกิจถ้าไม่ถูกทำจนใกล้สำเร็จ ก็ถูกพวกขยะบางคนทำเละไม่มีชิ้นดี จนไม่มีใครสามารถทำภารกิจนั้นได้อีกต่อไป นอกจากนี้ภารกิจระดับสองก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน มีเพียงระดับสามและสี่เท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ดาษดื่น
สำหรับผู้ทดสอบที่เดินออกมาจากแผนที่คลื่นเมฆาทีหลัง การยื้อแย่งภารกิจระดับสูงๆ ได้นั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่าตอนกลางวัน ทว่าสวรรค์ย่อมมีทางออกให้คนเสมอ เมื่อคุณภาพไม่พอก็เอาปริมาณเข้าสู้ ภารกิจระดับสามสิบภารกิจอย่างไรก็น่าจะเอาชนะระดับสองหนึ่งภารกิจได้กระมัง? และหากเป็นยี่สิบสามสิบภารกิจล่ะ บางทีภารกิจระดับหนึ่งก็อาจจะสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ส่วนพวกที่มีภารกิจระดับหนึ่งอยู่ในมือย่อมคิดว่ามีมากดีกว่า ไม่ยอมทิ้งแม้แต่อย่างเดียว
ดังนั้น แม้ในหมู่บ้านดอกท้อจะมีภารกิจถึงร้อยยี่สิบภารกิจ ทว่าภายใต้การแย่งชิงของคนยี่สิบกว่าคนก็ส่งผลให้ทรัพยากรร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว และที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ สงครามครั้งนี้ไม่เพียงไม่มีการเฉลี่ยทรัพยากรให้กันอย่างทั่วถึง แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำยังขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ คนที่ออกจากแผนที่คลื่นเมฆาได้ก่อน ย่อมมีโอกาสได้ภารกิจระดับหนึ่งก่อน นอกจากนี้ ในสงครามการแย่งชิงภารกิจระดับล่าง พวกเขายังได้รับภารกิจมากกว่าสิบภารกิจ ในขณะที่คนโชคร้ายบางคนแม้กระทั่งภารกิจเดียวก็ยังหาไม่ได้ ดูแล้วคงต้องถูกขังอยู่ในหมู่บ้านดอกท้อแห่งนี้ไปจนตาย!
ด้วยวิกฤติทรัพยากรดังกล่าว ปัญหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เวลานี้ทุกคนอดนึกถึงคนคนหนึ่งมิได้
คนลึกลับที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเก็บตัวอยู่แต่ในสวนหลังบ้านของผู้นำหมู่บ้าน ไม่ยอมลงมือ และไม่เคยลองทำภารกิจใดๆ เลยสักครั้ง.... ผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว เขากำลังรออะไรกันแน่?
————
“แปลกเหลือเกิน เด็กคนนี้กำลังรออะไรกันแน่?”
เหนือกลุ่มเมฆขึ้นไปนั้น หลิวเสี่ยนที่เฝ้ามองสถานการณ์เบื้องล่างผ่านชั้นเมฆนานเกือบเดือนอย่างหมดอาลัยตายอยาก หาวหวอดออกมายาวๆ
เนื่องจากเล่นพนัน ผู้อาวุโสที่ได้รับความเคารพนับถือประจำสำนักก็ถูกลงโทษด้วยการเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นี่ ยี่สิบกว่าวันมานี้แทบไม่ได้เคลื่อนไหว นอกจากนั่งทำสมาธิ และทำทู่น่าหมุนเวียนพลังวิญญาณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายแล้ว ความบันเทิงที่ทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงเฝ้าสังเกตหมู่บ้านดอกท้อเท่านั้น โชคดีที่เรื่องราวของหมู่บ้านแห่งนี้น่าสนใจ ดูแล้วไม่ได้รู้สึกเบื่อ โดยเฉพาะเรื่องขององค์ชายและเสี่ยวฟาง ที่ทำให้คนที่กำลังทำทู่น่าหมุนเวียนพลังวิญญาณอย่างเขาหัวเราะจนลมปราณหวิดจะแตกซ่านเลยทีเดียว
แต่ในฐานะผู้ชม หลิวเสี่ยนก็รู้สึกไม่พอใจอยู่สักหน่อย... เด็กหนุ่มหลังเขาที่เหล่าเจ้าสำนักกำชับให้เขาจับตามองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่? ผลงานของเขาในแผนที่คลื่นเมฆายอดเยี่ยมจนคนทึ่งแท้ๆ ไฉนพอถึงหมู่บ้านดอกท้อจึงแผ่วลง
ยอมแพ้แล้วอย่างนั้นหรือ?
การสังเกตจากชั้นเมฆไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ ทว่ากลับเห็นได้ชัดเจนในเรื่องที่หวังลู่ไม่ออกจากห้องเป็นเดือน กระทั่งเด็กรับใช้ข้างกายคนนั้นเองก็ยังทำภารกิจเสร็จสิ้นไปตั้งนานแล้ว สถานะความสำเร็จของเขาตอนนี้อยู่ในสามอันดับแรก ถูกบรรดาลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงยกย่องให้เป็นดาราใหญ่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ฐานะสูงกว่า
เจ้านายผู้ไม่คิดมุ่งแสวงหาความก้าวหน้าของเขาหลายขุม
หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ผลลัพธ์ก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กหวังลู่คนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
“อรุณสวัสดิ์ศิษย์พี่~”
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของหญิงสาวที่ชวนให้หงุดหงิดจนตบะขั้นกำเนิดใหม่แทบจะแตกสลายก็ดังขึ้นข้างหู
โชคดีอย่างมากที่จิตแห่งเต่าของหลิวเสี่ยนเพิ่งได้รับการเพาะพลังวิญญาณมาหมาดๆ ดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของนาง เขาจึงกดเพลิงโทสะในใจให้มอดลงไปได้
“โอ้ ศิษย์น้องห้า มีอะไรจะชี้แนะข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่มีอะไรชี้แนะ เพียงแต่อยากมาเที่ยวเล่นที่นี่เท่านั้น”
หญิงสาวอาภรณ์ขาวพูดพลางเดินไปที่ข้างกายหลิวเสี่ยนด้วยฝีเท้าแผ่วเบา “ยี่สิบวันหรือ ศิษย์พี่รู้สึกประทับใจการออกแบบอันแสนอัจฉริยะของข้าหรือไม่?”
หลิวเสี่ยนถามใจตัวเอง อันที่จริงค่อนข้างตกใจทีเดียวเมื่อพบว่าในหมู่บ้านนี้ไม่มีมนุษย์จริงๆ แม้แต่คนเดียว ชาวบ้านทุกคนล้วนเป็นหุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาจากค่ายกลลวงตาอันแยบยล ทว่าหากดูจากผลงานที่ออกมา
ประสิทธิภาพของมันล้ำกว่าหุ่นธรรมดาทั่วไปอย่างมาก อย่างผู้นำหมู่บ้านก็แสดงได้ใกล้เคียงกับมนุษย์จริงอย่างมาก...แน่นอนว่านี่มิใช่ผลงานที่ยอดเยี่ยมอะไร ค่ายกลประตูขึ้นเขาของสำนักกระบี่วิญญาณแข็งแกร่งและซับซ้อนกว่าสิ่งนี้หมื่นเท่า ทว่าเมื่อพิจารณาถึงระดับตบะของศิษย์น้องห้า ไปจนถึงขอบเขตความเชี่ยวชาญนาง ค่ายกลดังกล่าวก็ยิ่งชวนให้ตกตะลึงเป็นพิเศษ
แต่ก็แค่ตะลึง หากพูดถึงความประทับใจ เขาประทับใจไม่ลงจริงๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าสร้างความวุ่นวายให้กับทุกคนแค่ไหน? งานชุมนุมคัดเลือกเซียนถูกเจ้ายำจนเละเทะหมดแล้ว!”
“ไม่นะ ข้าคิดว่างานชุมนุมคัดเลือกเซียนก้าวหน้าขึ้นอีกระดับหนึ่งก็เพราะฝีมือข้าล้วนๆ”
“ไม่มีใครต้องการความก้าวหน้าเช่นนี้!”
“ศิษย์พี่ท่านนี่ดื้อด้านเอาแต่ใจอีกแล้วนะ ปากบอกว่าไม่เอา แต่ศิษย์ที่การออกแบบของข้าเลือกออกมามิได้ทำให้ท่านชื่นชอบจนไม่อาจปล่อยมือหรอกหรือ ท่านกล้ายอมรับหรือไม่ว่า เด็กเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคนนั้นไม่โดนใจท่าน?”
“เอ่อ...”
พูดถึงเด็กเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลิวเสี่ยนไม่สามารถเมินเฉยไม่สนใจได้ ภาวะจิตใจอยู่ในระดับหนึ่ง สติปัญญาระดับหนึ่ง และความฉลาดทางอารมณ์ระดับหนึ่ง แม้ระดับรากวิญญาณจะน้อยไปหน่อย ทว่าสำหรับสำนักกระบี่วิญญาณแล้ว เมื่อเทียบกับคุณสมบัติด้านอื่นๆ อันยอดเยี่ยมแล้ว รากวิญญาณแทบจะไม่สำคัญอะไรเลย
ศิษย์ประเภทนี้หากถูกสอนอย่างถูกต้อง ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าปิศาจชั่วร้ายหลายคนในสำนักเลย หลายปีมาแล้วที่ยอดเขาเร้นลับไม่ได้ผลิตศิษย์ปิศาจออกมา คิดถึงตรงนี้หลิวเสี่ยนอดใจเต้นไม่ได้...
“แต่นี่เกี่ยวอะไรกับหมู่บ้านดอกท้อ? ผลงานของไห่อวิ๋นฟานโดดเด่นมากมาตั้งแต่แผนที่คลื่นเมฆาแล้ว!”
“โอ๊ะ...อย่างน้อยก็ช่วยท่านกำจัดผลผลิตที่ไร้มาตรฐานและมีตำหนิจากตระกูลชั้นสูงเหล่านั้นออกไป”
“เฮอะ” หลิวเสี่ยนแค่นเสียงทว่าไม่ได้ปฏิเสธ เขารังเกียจเจ้าเด็กหนุ่มเซี่ยกันหลงและสหายสองคนจากตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนนั่นจริงๆ แต่หากพิจารณาตามมาตรฐานที่โลกบำเพ็ญเซียนยอมรับแล้ว สามคนนั้นถือได้ว่าเป็นหยกชั้นดี แม้จะเย็นชาไร้ความปรานีไปบ้าง ทว่าสิ่งนี้ล้วนไม่เป็นปัญหาสำหรับโลกบำเพ็ญเซียน... ยังดีที่ถูกกำจัดไปแล้วตั้งแต่ด่านหมู่บ้านดอกท้อ มิเช่นนั้นหากรับเข้าสำนักมาต้องมีเรื่องปวดหัวแน่ๆ
แต่ถ้าจะให้หลิวเสี่ยนยอมรับว่าหมู่บ้านดอกท้อมีประโยชน์ มิสู้ทำลายปราณขั้นกำเนิดใหม่ของเขาทิ้งยังจะง่ายเสียกว่า ดังนั้นผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเร้นลับจึงเปลี่ยนหัวข้ออย่างชาญฉลาด “หมู่บ้านดอกท้อของเจ้ามีบทลงโทษให้กับพวกเกียจคร้านอู้งานอย่างไรบ้าง?”
“เกียจคร้านอู้งาน?” ศิษย์น้องห้าเบิกตาโพลง กวาดสายตาไปบนชั้นเมฆครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็จับอยู่ที่ร่างของคนผู้หนึ่ง สีหน้าก็พลันเปลี่ยนสี
“ศิษย์พี่ ครั้งนี้ท่านมองผิดแล้ว เจ้าเด็กนี่มิได้อู้งานหรอกนะ”
จะว่าไป ได้ยินเสี่ยวหลิงเอ๋อร์บอกว่ามีคนทำภารกิจปลดโซ่ของสำนักกระบี่วิญญาณสำเร็จ หรือจะเป็นเขา? จิ๊ คนใช้แรงงานช่างมีความสามารถสูงอะไรเยี่ยงนี้ ชาวนาหลังเขาคนหนึ่งสามารถทะลายภารกิจปลดโซ่ของข้าได้... แต่อยากผ่านด่านนี้มิได้ง่ายขนาดนั้น เฮ้อ... ยังไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เด็กรับใช้ของเจ้าคนนั้นใกล้จะก่อกบฏแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าจะทำอย่างไร?
——
ในขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้ารอการเคลื่อนไหวของหวังลู่นั้น หวังลู่ก็พบกับเรื่องน่าประหลาดใจเสียก่อน
“คุณชาย ข้าคิดว่า...ภารกิจของข้าใกล้จะสำเร็จแล้ว”
ภายในห้องพัก เด็กรับใช้มีสีหน้ายุ่งยากลำบากใจ คล้ายเด็กวัยรุ่นยากจนพาคนรักที่พลาดตั้งท้องมาพบพ่อ บอกว่าจะเลือกคู่ครองเองแล้วอยู่กันไปจนวันตาย
หวังลู่ยังคงมีท่าทีสงบเยือกเย็นไม่ต่างจากหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาพลิกตำราลับของผู้นำหมู่บ้านไปพลางถามไปพลาง “ภารกิจไหน?”
เด็กรับใช้นิ่งไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ทั้งแปดภารกิจล้วนใกล้เสร็จสิ้นแล้ว... หากเป็นไปตามที่คุณชายบอก ข้าได้ลองกระจายความพยายามให้แต่ละภารกิจอย่างเท่าเทียมเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของภารกิจ ทำเช่นนี้มีประสิทธิภาพกว่าและทำให้ภารกิจคืบหน้ามากขึ้น ข้าได้แบ่งเฉลี่ยภารกิจไว้ ภารกิจเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างคนในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังง่ายต่อการก้าวหน้า...”
“ดี จากนั้นล่ะ?”
เด็กรับใช้ชะงัก นิ่งคิดไปพักใหญ่ เขาตัดสินใจพูดสิ่งที่เตรียมมาทั้งหมด ทว่าคำพูดทั้งหมดกลับติดอยู่ในลำคอ
หวังลู่มองไปที่เขา “ไหนๆ ภารกิจก็ใกล้สำเร็จแล้ว ก็รีบไปทำให้เสร็จแล้วไสหัวออกไปเสียสิ เจ้าอยู่ที่นี่กับข้าจะมีความหมายอะไร?”
เด็กรับใช้ตกใจ “คุณชาย ข้า...”
นิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อว่า “คุณชาย... แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจว่าท่านกำลังรออะไรอยู่ แต่ข้าเป็นเด็กรับใช้ของท่าน ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งคุณชายแล้วเดินไปข้างหน้าคนเดียว”
หวังลู่แค่นเสียงหัวเราะเยาะ “ตอนที่พูดคำนี้ออกมา ตัวเจ้าเองเชื่อเช่นนั้นจริงหรือ?”
เด็กรับใช้กระโดดพรวดดีดตัวขึ้นสูงสามฉือ “ข้าพูดจากใจจริงนะ!”
“อย่ากระโดดๆ คนโกหกต้องถูกฟ้าผ่า เจ้ากระโดดสูงเพียงนี้ อยากให้เทพอัสนีทำงานง่ายขึ้นหรือ?”
“ข้า...” เด็กรับใช้นิ่งอึ้งอีกครั้งจากคำพูดของหวังลู่ ครู่หนึ่งจึงถอนหายใจ “คุณชาย...ถ้าเป็นสองอาทิตย์ก่อน ตีให้ตายอย่างไรข้าก็คงคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีวันนี้ จากเด็กรับใช้ชนบทไม่มีอะไร กลับโชคดีได้รับวาสนาเซียน มีโอกาสเป็นศิษย์ชั้นในของสำนักอันดับต้นๆ ข้ารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพราะคุณชายประทานให้ หากมิได้คุณชาย ข้าคงไม่สามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้แน่นอน บุญคุณอันใหญ่หลวงของคุณชายข้า...”
“อย่า...อย่ามาบุญคุณใหญ่หลวงอะไรนั่น โบราณว่าไว้ หากเจ้าให้การช่วยเหลือเล็กน้อยกับคนที่ลำบาก เขาจะขอบคุณ แต่หากช่วยเหลือมากไป เมื่อใดก็ตามที่หยุด เขาก็จะเกลียดชังเจ้าทันที ดังนั้นหากถึงขั้นเป็นบุญคุณใหญ่หลวง ข้ากับเจ้ามิต้องเกลียดกันจนไม่ยอมอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันรึ?” หวังลู่หัวเราะขันแล้วกล่าวต่อไป “อันที่จริงเจ้าน่าจะพูดออกมาตรงๆ ตลอดหนึ่งเดือนที่เจ้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ได้พูดคุยกับผู้ทดสอบคนอื่นไม่น้อย น่าจะรู้ว่าที่ตัวเองเดินข้ามสะพานทองคำได้เพราะอะไร วาสนาเซียนก็คือวาสนาเซียน ไม่ใช่สิ่งที่ข้ามอบให้ และก็ไม่ใช่สิ่งที่ลมหอบมา วาสนาเซียนติดตัวเจ้ามาตั้งแต่เกิด แม้จะไม่มีสำนักกระบี่วิญญาณ สุดท้ายก็ต้องมีสักสำนักที่ค้นหาเจ้าเจอ เส้นทางบรรลุเซียนสำหรับเจ้าเป็นที่สิ่งแน่นอนอยู่แล้ว”
เด็กรับใช้ไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะก่อนที่จะตัดสินใจหงายไพ่กับคุณชาย เขาพูดเช่นนี้กับตัวเองจริงๆ
“ดังนั้นเจ้าสามารถเดินออกจากหมู่บ้านดอกท้อด้วยคะแนนอันโดดเด่นคนตะลึง เป็นไปได้อย่างแน่นอนว่าจะผ่านด่านต่อไปจนไปถึงยอดเขาเร้นลับได้ เหตุใดจึงต้องเสียเวลารอข้า? เส้นทางบรรลุเซียนนั้นหากยังยืดเยื้อประวิงเวลา ยิ่งนานอุปสรรคก็ยิ่งมาก ไม่เคยมีอะไรแน่นอน... อีกอย่างเจ้าน่าจะนัดแนะเดินทางไปพร้อมคนอื่นแล้วมิใช่รึ?”
หัวใจของเด็กรับใช้เต้นรัว คุณชายไม่ออกไปไหนแต่กลับรู้เรื่องราวทั้งหมดในใต้หล้าอย่างที่คิด หวังลู่ไม่ก้าวเท้าออกจากห้องเลย ทว่ากลับรู้เรื่องราวซุบซิบน้อยใหญ่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน!
เด็กรับใช้ทำข้อตกลงนัดแนะกับผู้ทดสอบคนหนึ่งจริง ฝ่ายนั้นคือองค์ชายฐานะสูงส่งที่มีความสามารถน่าทึ่ง เขาเล็งเห็นศักยภาพและความวิริยะพากเพียรของเด็กรับใช้ ไม่นานเขาก็โน้มน้าวหวังจงสำเร็จได้
สาเหตุที่หวังจงจากไปนั้นง่ายมาก หนึ่งคือ นอกจากไห่อวิ๋นฟานแล้วตอนนั้นยังไม่มีใครสามารถออกจากหมู่บ้านได้ หากพวกเขาเดินทางตอนนี้ก็ยังนับได้ว่าเป็นกลุ่มแรก สองคือ แม้หวังลู่จะสติปัญญาล้ำเลิศและความสามารถไม่อาจคาดเดาได้ ทว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมากลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ดูแล้วน่าจะเป็นเจียงหลางหมดสิ้นปัญญา ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของเขาก็เป็นความสามารถของเขาเอง มิใช่ของเด็กรับใช้
“อยากเป็นเด็กรับใช้ไปตลอดชีวิต หรือจะเป็นหวังจง ข้าคิดว่า...เจ้าควรไตร่ตรองดูดีๆ”
และบทสรุปของการไตร่ตรอง ก็คือฉากตรงหน้านี้ ตรงข้ามกับความกังวลของเด็กรับใช้ คุณชายไม่แม้แต่จะสนใจเขา ดูเหมือนว่าเขาล่วงรู้ว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นตั้งนานแล้ว
“ท่าทางเสแสร้งและสับสนของเจ้าตอนนี้น่าเกลียดมาก บอกตามตรงข้าไม่สนใจแม้แต่นิดว่าเจ้าจะอยู่หรือไป ฉะนั้นเชิญปลดภาระในใจของเจ้าแล้วไสหัวไปซะ”
ใบหน้าของหวังจงพลันแดงก่ำ แต่กลับมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เพียงคุกเข่าบนพื้นแล้วคำนับหวังลู่สามครั้งเงียบๆ จากนั้นยืดตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป
หลังจากที่หวังจงจากไป หวังลู่ก็อดหัวเราะไม่ได้
“คำนับสองสามทีแล้วกลายเป็นคนกล้าหาญและชอบธรรมขึ้นมาทันที ...ไห่น้อย เจ้าพูดไว้ไม่ผิด เด็กคนนี้ไม่มีดีอะไรเลยจริงๆ”
รอยยิ้มของหวังลู่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหัวเราะเยาะกับตัวเอง “ส่วนข้าคนนี้... ยังช่วยเขาออกแบบวางแผนภารกิจอะไรนั่น!”
ขณะที่พูด หวังลู่ก็กวาดมือปัดกระดาษกว่าร้อยแผ่นที่เต็มไปด้วยรอยหมึกบนโต๊ะปลิวว่อนกลางอากาศ กระดาษเหล่านั้นกระจัดกระจายไปทั่วห้อง ไม่มีใครรู้ว่า ราคาที่แท้จริงของกระดาษแต่ละแผ่นนั้นมากกว่าทองคำด้วยซ้ำ
“ติดตามข้ามาเจ็ดปี กระทั่งรัศมีตัวเอกยังมองผิด... มารดามันเถอะข้าสอนลูกสาวผิดทางจริงๆ! เฮ้อ... เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของพ่อโง่เง่าที่ลูกหนีหายไปกับชายอื่น
ช่างเถอะ ไปห่วงอะไรเขาเยอะแยะ ไหนๆ แผนของข้าก็เสร็จแล้ว...ตอนนี้ได้เวลาลงมือแล้ว”
พูดจบหวังลู่ก็เดินลงจากเตียง กระชากผ้าคลุมกำแพงออก
หากเวลานี้หวังจงยังอยู่ เขาต้องตกใจจนฉี่ราดกางเกงแน่นอน
บนกำแพงมีกระดาษคุณภาพดีติดอยู่กว่าร้อยแผ่น ทุกแผ่นล้วนแล้วแต่บันทึกแผนการพิชิตภารกิจของคนในหมู่บ้านทุกคน มีทั้งข้อความและภาพประกอบ เนื้อหาครบถ้วน พิถีพิถันละเอียดกว่าคู่มือกลยุทธ์ที่ผู้ทดสอบคนอื่นรวมกลุ่มกันทำขึ้นหลายร้อยเท่า!
ไม่ออกจากบ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือนมิใช่เรื่องโกหก ทว่าหนึ่งเดือนมานี้ก็มิได้เสียเปล่าแม้แต่วันเดียว ในฐานะผู้ทดสอบที่ทำผลงานออกมาได้ยอดเยี่ยมที่สุดบนแผนที่คลื่นเมฆา รางวัลที่หวังลู่ได้รับนั้นมากกว่าที่เด็กรับใช้เห็น
และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้นำหมู่บ้านก็ไม่ได้ธรรมดาที่มีฐานะเป็นเพียงเจ้าของบ้านและผู้อาศัยเท่านั้น
.........................................