บทที่ 39 นิ่งเข้าไว้ 6 (2) [อ่านฟรี]
บทที่ 39 นิ่งเข้าไว้ 6 (2)
องค์ชายรัชทายาททรงเริ่มกล่าวเปิดงานการชุมนุมของเหล่าขุนนางในวันนี้
“ข้าต้องการที่จะรวมตัวกลุ่มคนที่จะเป็นผู้นำพาให้อาณาจักรแห่งนี้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปในอนาคตและร่วมรับประทานอาหารในมื้อนี้ร่วมกัน...ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้และหวังว่าทุกท่านจะเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารที่แสนวิเศษไปพร้อมๆกัน”
ทันทีที่สิ้นสุดคำกล่าวขององค์ชายรัชทายาทเหล่าข้ารับใช้ก็นำจานอาหารต่างๆมาวางไว้บนโต๊ะของเหล่าขุนนางโดยทันทีพร้อมๆกับวงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงจากทางด้านหลังของห้องโถงเช่นกัน
นี่คือความแตกต่างจากงานเลี้ยงเฉลิมฉลองเพียงอย่างเดียว มันเป็นการผสมผสานระหว่างงานเลี้ยงฉลองและการสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆของเหล่าขุนนางทั้งจากโต๊ะเดียวกันและขุนนางจากต่างโต๊ะได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“นายน้อยคาร์ลอีกสักครู่...เราวางแผนที่จะไปทักทายองค์ชายรัชทายาทสักเล็กน้อย”
คาร์ลพยักหน้าตอบรับกับคำบอกของอามูร์และจดจ่อกับอาหารบนจานของเขาแต่ความคิดในหัวของคาร์ลในตอนนี้กลับซับซ้อนมากกว่านั้น
‘ความตั้งใจที่แท้จริงของเขาคืออะไรกันนะ?’
ไม่มีทางที่องค์ชายรัชทายาทจะเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เขาจะต้องมีเหตุผลที่ซ่อนไว้อย่างแน่นอน คาร์ลพอจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อาจเป็นไปได้เพียงไม่กี่เรื่อง
‘อาจเป็นเพราะสงครามที่เกิดขึ้นทางตอนใต้ของทวีปตะวันตกหรืออาจเป็นเพราะเขาได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมืองที่จะเกิดขึ้นในอาณาจักรวิปเปอร์’
อาณาจักรวิปเปอร์คืออาณาจักรที่องค์หญิงโรสลินจะเดินทางมุ่งหน้าไปเพราะอาณาจักรแห่งนี้เป็นที่ตั้งของหอคอยพลังเวทย์และอีกไม่นานจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในอาณาจักรวิปเปอร์แห่งนี้มันเป็นสงครามระหว่างกลุ่มคนที่เป็นนักเวทย์และกลุ่มคนที่ไม่ใช่นักเวทย์
มีความคิดมากมายที่เกิดขึ้นในหัวของเขาในตอนนี้แต่เขาตัดสินใจที่จะหยุดคิดเกี่ยวกับมัน
‘ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องใส่ใจกับมันเพราะฉันจะอยู่นิ่งๆเท่านั้น’
มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาเสียหน่อย เขาเริ่มเพลิดเพลินไปกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ
~ นี่มันดูน่าอร่อย....นี่ก็ดูน่าอร่อย...ทำไมมนุษย์ที่อ่อนแอเช่นนี้ถึงได้ทำอาหารเก่งกันนักนะ? ~
คาร์ลกำลังเพลิดเพลินไปกับอาหารเหล่านี้ในขณะที่ฟังเสียงที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของมังกรดำไปด้วย อาหารในพระราชวังรสชาติดีจริงๆ มือของคาร์ลยื่นจะไปหยิบแก้วไวน์ที่ข้ารับใช้วางไว้ให้เขาตอนไหนเขาก็ไม่แน่ใจเช่นกันแต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“คาร์ล....เพียงห้านาทีเท่านั้น”
คาร์ลพยักหน้ารับกับคำขอร้องที่แสนจริงใจของอีริคและหันกลับไปสนใจกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง ขุนนางที่เหลือของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมองดูเขาอย่างเงียบๆ ตอนนี้โต๊ะของเหล่าขุนนางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ
โดยมี 10 ตระกูลที่แตกแยกออกเป็นกลุ่มต่างๆและตอนนี้มีตัวละครที่เปรียบเหมือนระเบิดพลังเวทย์เช่นเทย์เลอร์และเคจก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโต๊ะขุนนางกลุ่มนี้เช่นกัน
พวกเขาต่างจ้องมองคาร์ลที่สามารถทานอาหารในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ได้อย่างสบายใจด้วยความสงสัย
คาร์ลได้ยินเสียงของมังกรดำแว่วเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง
~ อีกเรื่องหนึ่ง..มีเครื่องบันทึกพลังเวทย์อยู่ทั่วห้องโถงนี้ด้วย ~
“โอ้!....”
คาร์ลปล่อยให้ตัวเองอุทานออกมาก่อนจะเริ่มยิ้มเต็มใบหน้า ใครก็ตามที่เห็นอาการเช่นนี้ของคาร์ลก็จะเข้าใจว่าเขากำลังกินอาหารที่รสชาติแสนอร่อยอยู่
‘ฉันรู้อย่างน้อยหนึ่งเรื่องแล้ว’
คาร์ลรู้สึกได้ว่านี่คงเป็นหนึ่งในเป้าหมายขององค์ชายรัชทายาท
ก่อนอื่นองค์ชายรัชทายาทกำลังจับตามองเหล่าขุนนางทั้งหมดคาดว่าองค์ชายรองและองค์ชายสามก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งหมายความว่านี่เป็นสิ่งที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ต้องการ
มุมปากของคาร์ลขยับยกขึ้นเล็กน้อย อีริครู้สึกอึดอัดเมื่อมองเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นของคาร์ลก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งของเขาทันที กิลเบิร์ตและอามูร์ก็ทำตามเขาเช่นกัน ในตอนนี้มีเหล่าขุนนางมากมายที่ขึ้นไปทักทายองค์ชายรัชทายาทเป็นการส่วนตัว
คาร์ลลุกขึ้นอย่างช้าๆเมื่อเห็นพวกเขาทั้งสามคนลุกขึ้นพลางสางเส้นผมด้านหลังของตนเบาๆให้เรียบร้อยและเอ่ยขึ้น
“เราจะไปกันแล้วใช่หรือไม่?”
คาร์ลยืนอยู่เบื้องหลังของขุนนางทั้งสามและมุ่งหน้าไปยังพระที่นั่งขององค์ชายรัชทายาทเพื่อทักทายพระองค์เป็นการส่วนตัว
“โอ้!....เหล่าขุนนางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเรานี่เอง”
องค์ชายรัชทายาทต้อนรับทั้งสี่คนด้วยรอยยิ้มสดใสพลางจับมือกับทุกคนที่ขึ้นมาทักทายเขา
‘อัลเบิร์ก คอสแมน’ มีผมสีบลอนด์และดวงตาสีฟ้าทำให้เขาดูเหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย เส้นผมสีบลอนด์สวยเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลคอสแมนซึ่งเป็นเป็นราชวงศ์ของอาณาจักรโรมันแห่งนี้พวกเขาเรียกสิ่งนี้ว่าสัญลักษณ์ที่ได้รับพรจากพระเจ้าแห่งแสงตะวัน
“ถวายบังคมพะย่ะค่ะองค์ชาย...หม่อมฉัน‘อีริค วิลส์แมน’ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าเฝ้าองค์ชายเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาสั้นๆเช่นนี้”
“ใช่...ใช่แล้ว..อีริค..เราไม่ได้มีเรื่องที่จะต้องคุยเกี่ยวกับเรื่องนั้นใช่หรือไม่?”
อีริคตอบกลับไปยังองค์ชายรัชทายาทที่ยกประเด็นการลงทุนในเขตชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นมาด้วยท่าทางสดใส
“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ!หม่อมฉันรอช่วงเวลาที่ดีที่จะได้พูดคุยกับพระองค์ในเรื่องนี้อยู่พะย่ะค่ะ!”
“ข้าก็รอช่วงเวลานั้นเช่นกัน...เจ้าเป็นนายน้อยที่ฉลาดหลักแหลมของตระกูลวิลส์แมนเป็นยิ่งนักอีกทั้งตระกูลวิลส์แมนยังเป็นผู้ดูแลด่านแรกในการเข้าสู่เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือและสามารถทำงานได้ยอดเยี่ยมมาโดยตลอด...ข้าจะผลักไสมันออกไปได้อย่างไรกัน?”
‘เขาเริ่มมันอย่างช้าๆแล้วสินะ’
คาร์ลยืนเงียบๆในขณะที่ดูอีริคซึ่งยกยิ้มเต็มใบหน้าให้แก่องค์ชายรัชทายาทที่กำลังเริ่มใช้งานลิ้นของเขาเพื่อสรรหาคำยกย่องต่างๆออกมาอย่างช้าๆและเขาก็กล่าวชมกิลเบิร์ตและอามูร์เช่นเดียวกัน
‘น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง’
คาร์ลยังเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆจนกระทั่งถึงตาเขา องค์ชายรัชทายาทยื่นมือออกไปให้คาร์ลซึ่งกำลังโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพแก่เขาอยู่
“โอ้!....คาร์ล....จากตระกูลเฮนิตัสที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่เขตชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือของเรา...นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอกับเจ้าแต่ด้วยการทำงานที่ดีของเคานต์เดอรัช....มันทำให้เราไม่ต้องหวาดกลัวป่าแห่งความมืดอีกต่อไป...เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าข้าและคนอื่นๆอุ่นใจในเรื่องนี้มากเพียงใด”
คาร์ลมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวที่มาที่นี่ในวันนี้
“ข้าได้ยินมาว่านายน้อยคาร์ลเป็นผู้ที่รักอิสระเป็นอย่างมาก...ข้าแน่ใจว่าต้องเป็นเพราะจิตวิญญาณจากผลงานประติมากรรมของดินแดนเฮนิตัสทำให้เจ้าตระหนักรู้ในเรื่องนี้ใช่หรือไม่?...ข้ารู้สึกว่าการที่เจ้ารักอิสระเช่นนี้ทำให้จิตวิญญาณของเจ้าบริสุทธิ์เป็นยิ่งนัก”
มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะหาคำชมสำหรับใครบางคนที่ใช้ชีวิตเฉกเช่นขยะไร้ค่าแบบนี้ได้แต่สำหรับองค์ชายรัชทายาทนั้นเขาสามารถทำมันได้นับว่าเขาเป็นบุคคลที่มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะพูดคุยเกี่ยวกับคาร์ลในแง่ดีตราบใดที่คาร์ลไม่ได้ทำตัวไร้ค่าเฉกเช่นขยะให้เกิดขึ้นในการชุมนุมครั้งนี้ เหล่าเชื้อพระวงศ์ต้องการให้เหล่าขุนนางของภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาเช่นกัน นอกจากนี้ยังไม่มีสมาชิกของเชื้อพระวงศ์คนใดที่จะดูถูกใครบางคนเช่นเคานต์เฮนิตัสซึ่งปกครองดินแดนของเขาได้เป็นอย่างดีเช่นนี้ได้
‘นั่นคือสาเหตุที่จะไม่สามารถปล่อยให้อคติส่วนตัวสำหรับบางคนส่งผลกระทบต่อราชวงศ์ได้’
คาร์ลจับมือขององค์ชายรัชทายาทด้วยความจริงใจขณะที่เขาจะเริ่มใช้ลิ้นของเขากล่าววาจาอันคมคายเช่นกัน มันถึงตาของเขาแล้วในตอนนี้
องค์ชายรัชทายาทมีเส้นผมสีบลอนด์และสวมชุดที่เรียบหรูเป็นทางการในขณะที่คาร์ลมีเส้นผมสีแดงและสวมชุดที่เรียบหรูเป็นทางการเช่นกันทั้งคู่ต่างมีท่าทางที่ผ่อนคลาย น้ำเสียงที่สงบราบเรียบของคาร์ลได้ถูกเอ่ยขึ้นปกคุลมไปทั่วอากาศในบริเวณนั้น
“ถวายบังคมพะย่ะค่ะองค์ชาย....หม่อมฉันรู้สึกถึงบางอย่างหลังจากที่ได้พบกับองค์ชายในวันนี้...หม่อมฉันตระหนักได้ว่านอกเหนือจากที่พระองค์จะเป็นดวงตะวันที่ส่องแสงในยามทิวาให้แก่เราแล้ว...พระองค์ยังเป็นผู้ที่ส่องแสงไปทั่วทุกพื้นที่ในยามราตรีเพื่อเฝ้าดูแลเหล่าประชาชนไปตลอดทั้งคืนเช่นเดียวกัน...นับเป็นภาพที่มหัศจรรย์ในสายตาของหม่อมฉันเป็นยิ่งนัก”
น้ำเสียงของคาร์ลดูสงบและผ่อนคลายมากและเขาก็มีความมั่นใจมากเช่นเดียวกัน
“.........เป็นเช่นนั้นหรือ?”
แต่ดูเหมือนว่าองค์ชายรัชทายาทจะเกิดความลังใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ท่าทางการแสดงออกของเขาจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้งและคาร์ลก็ไม่ควรพลาดกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงใจมากกว่าเดิม
“แน่นอนพะย่ะค่ะ...หม่อมฉันอาจจะไม่สามารถนอนหลับให้สนิทในตอนกลางคืนได้ในช่วงนี้เพราะหม่อมฉันได้พบกับพระองค์เป็นการส่วนตัว..ผู้ที่เป็นดั่งดวงดาวในดวงใจของเหล่าประชาชน”
อีริคอ้าปากค้างในขณะที่กิลเบิร์ตและอามูร์ไม่สามารถถอนสายตาที่เหลือเชื่อออกจากคาร์ลได้ คาร์ลมองเห็นองค์ชายรัชทายาทเริ่มครุ่นคิด เขารู้สึกราวกับว่าได้ก้าวไปอีกขั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายของเขาในวันนี้แล้วเป้าหมายที่ว่า ‘สามารถหลุดพ้นจากองค์ชายรัชทายาทได้’
ในขณะนั้นมังกรดำก็พึมพำสิ่งแปลกๆออกมา
~ ทำไมมนุษย์ผู้อ่อนแอที่ถูกเรียกว่าองค์ชายรัชทายาทจึงปกปิดสีผมของเขาด้วยพลังเวทย์ด้วย?มันเป็นพลังเวทย์ที่อยู่ในระดับเดียวกับมังกรที่ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่เช่นข้าเท่านั้นที่จะมองเห็นมันได้...หรือว่าจะมีมังกรตัวอื่นใช้พลังเวทย์ปกปิดสีผมให้เขา?หรือไม่มันก็อาจจะเป็นพลังเวทย์อย่างอื่นหรือเปล่านะ?~
‘ให้ตายเถอะ!’
ในตอนนี้คาร์ลได้ตระหนักว่าเขาได้รับรู้ความลับที่ไร้ประโยชน์อีกครั้งเพราะเขาไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวที่มันผิดแปลกไปแก่คนอื่นได้
‘หรือการประสูติขององค์ชายรัชทายาทถูกปกปิดอะไรบ้างอย่างไว้นะ?’
คาร์ลไม่อยากจะสนใจและรับรู้เรื่องราวเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว