ตอนที่ 23 : ขาหักใช้การไม่ได้และใบหน้าเสียโฉม
ตามที่คาดไว้ มีใครบางคนพร้อมต่อสู้ นางนึกถึงสิ่งที่แม่นมซันบอกทางระหว่างทางกลับเมืองหลวง ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เฟิงจินหยวนให้ความสำคัญกับยามหลายคน ยามทั้งหมดไม่มีบิดา มารดา ภรรยา หรือบุตร พวกเขาเชื่อฟังเฟิงจินหยวนเพียงคนเดียว นั่นหมายความว่ายามคุ้มกันเฟิงจินหยวนคนเดียว ไม่ใช่คุ้มกันทุกคนในคฤหาสน์
นางไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่ามียามอยู่ในเรือนไผ่หยกนี้มีจำนวนทั้งหมดกี่คน และนางก็ไม่สามารถอยู่ในเรือนไผ่หยกนี้ได้โดยไม่เคลื่อนไหว ภายในห้องการศึกษาสามารถมองเห็นเงาเดินไปมา นั่นหมายความว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นและทำลายแผนการเดิมของเฟิงจินหยวน ไม่เพียงเท่านั้นยังก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในใจจนทำให้เขาผุดลุกผุดนั่งอยู่ไม่เป็นสุขได้
เฟิงหยูเฮงยังรู้สึกว่ายากที่จะอยู่นิ่ง ๆ นางยกมือแตะไปที่ปานรูปหงส์เพลิงและ และเอื้อมมือไปที่ร้านขายยา
ภายในตู้เสื้อผ้าในห้องมีกล้องส่องทางไกลสำหรับทหาร มันมีความยาวครึ่งแขนของนาง มันเป็นสิ่งที่นางแอบเอาออกมาจากหน่วยนาวิกโยธิน ตอนนี้นางมีโอกาสที่จะใช้มัน
เฟิงหยูเฮงดึงกล้องส่องทางไกลออกมา นางแอบอยู่ระหว่างหินหลบซ่อนตัวเองได้ดี แต่แล้วนางก็นำกล้องส่องทางไกลขึ้นมาแนบไปที่ดวงตาของนาง
1 คนในตำแหน่ง 8 นาฬิกา, 1 คน ในตำแหน่ง 10 นาฬิกา, 12 นาฬิกา, 2 นาฬิกา, 4 นาฬิกา ...
เวรยามที่เรือนไผ่หยกเป็นระเบียบมาก บางส่วนของเรือนไผ่หยกมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แต่ไม่มียามที่ประตู! คนที่ฉลาดมักจะไม่อนุญาตให้พื้นที่สำคัญมีช่องโหว่ แต่มักจะมีทางเข้าหรือทางออกเพื่อหลอกล่อแขกไม่ได้รับเชิญโดยเจตนา แต่น่าเสียดายที่เฟิงหยูเฮงเป็นคนสังเกตการณ์ ไม่เพียงแต่นางจะฉลาดเท่านั้น นางยังมีทักษะและมีมิติส่วนตัวซึ่งเหมือนกันการโกง
นางเก็บกล้องส่องทางไกลและกลับเข้าไปในร้านขายยาของนาง และจดบันทึกระยะทางไว้อย่างรอบคอบ นางเดินตามบันไดไปตามแนวขอบด้านนอกของต้นไซเปรส มุ่งหน้าไปทางด้านหลังของห้องการศึกษา ทุกครั้งที่นางเข้าไปในเรือนไผ่หยก เมื่อยามเดินตรวจ นางจะซ่อนตัวอยู่ภายในมิติของนาง
การใช้ประโยชน์จากมิตินี้ได้ถูกคิดออกมาแล้ว เส้นทางกลับมายังเมืองหลวง ไม่จำกัดเฉพาะการใช้จิตสำนึกของนางในการดึงของออกมา แต่นางก็สามารถใช้กับร่างกายได้เช่นกัน แค่นางเอื้อมมือแตะปานรูปนกหงส์เพลิงและตั้งจิตของนาง นางก็จะเข้าสู่มิติในพริบตา
นอกจากนี้เมื่ออยู่ภายในมิติมันก็ไม่คงที่ นางได้ทดลองแล้ว และพบว่าทุกครั้งที่นางเข้ามา นางจะอยู่ที่ประตูหลักที่ชั้นหนึ่ง ไม่ว่านางจะเดินไปทางไหนไม่ว่าจะเป็นซ้ายหรือขวา พื้นที่ด้านในก็เหมือนกับด้านนอก
กล่าวอีกนัยหนึ่งถ้านางเดินไปทางซ้ายในมิติของนาง นางจะอยู่ทางซ้ายตามจำนวนก้าวที่นางเดินไปเมื่อนางกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
แต่หากนางเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง นางก็จะกลับมาที่ชั้นหนึ่ง โดยนางอาจโผล่ออกมากลางอากาศและตกลงมากระแทกพื้นได้
เฟิงหยูเฮงระมัดระวังระหว่างที่นางเดินผ่านยาม ด้านในนางขยับซ้ายสุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้วเดินออกมา นางอยู่ในจุดที่ยามเข้าไม่ถึง นางทำแบบนี้อีก 5 ครั้งก่อนที่จะถึงหน้าต่างด้านหลังของห้องการศึกษา
นางไม่มีเจตนาที่จะเจาะรูบนกระดาษที่หน้าต่าง เพราะนางไม่เคยเชื่อเลยว่าคนที่อยู่ข้างในจะสังเกตไม่เห็นรูบนกระดาษที่หน้าต่าง
นางเดินตรงไปที่ชั้นสอง นางพบว่าตัวเองอยู่บนหลังคาของห้องการศึกษา นางหมอบอยู่บนหลังคา นางค่อย ๆ เลื่อนแผ่นไม้มุงหลังคาออกมาเป็นช่องเล็ก ๆ เพื่อแอบดูความเป็นไปในห้องการศึกษา
เฟิงจินหยวนเดินไปรอบ ๆ ห้องไม่หยุด ข้าง ๆ เขามีชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ ที่เอวของเขามีดาบ เขาดูท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ดังนั้นเขาจึงน่าจะเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัว
เฟิงหยูเฮงสูดหายใจและแนบหูไว้ที่ช่องว่างที่นางทำขึ้น นางต้องการได้ยินเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกัน แต่เพียงระยะเวลาหนึ่งของก้านธูป ภายในมีเสียงฝีเท้าเดินตามในระยะเวลาที่เงียบ
นางรู้สึกเบื่อเล็กน้อย นางหันศีรษะมองไปรอบ ๆ ในขณะนั้นเฟิงจินหยวนหยุดเดินและพูดคุยกับผู้คุ้มกันส่วนตัว "ค่อยมาคุยกันต่อทีหลัง"
ผู้คุ้มกันตอบกลับทันที "ขอรับ" เขาเปิดประตูและหายตัวไป
เฟิงหยูเฮงสงสัย ทำไมพวกเขาถึงจะพูดคุยกันในภายหลัง? แล้วนางต้องรอพวกเขาหรือ?
แน่นอนว่านางไม่สามารถเสี่ยงหมอบรออยู่บนหลังคาเช่นนี้ได้ ดังนั้นนางจึคงวางแผ่นกระเบื้องกลับที่เดิมและเข้าไปในร้านขายยาของนาง นางชงชาดอกเก็กฮวยเพื่อดื่มและนั่งพักประมาณ 1 ชั่วยามก่อนที่จะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
ปรากฏตัวในตำแหน่งเดิมที่นางอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่นานหลังจากนั้นผู้คุ้มกันกลับเข้ามาในห้อง
ผู้คุ้มกันกล่าวว่า "นายท่าน ข้าได้รับการยืนยันข่าวแล้ว องค์ชายเก้าได้รับบาดเจ็บสาหัสในสงครามครั้งสุดท้ายที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ขาทั้งสองขาของพระองค์หักจนใช้การไม่ได้และใบหน้าเสียโฉม ยิ่งไปกว่านั้นในระหว่างที่พระองค์ไปหาหมอหลวงช่วงบ่ายวันอาทิตย์นี้ มีคนบอกว่าพระองค์จะไม่สามารถมีทายาทสืบสกุลได้อีก "
กริ๊ก !
เฟิงหยูเฮงที่อยู่บนหลังคาตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน เผลอทำเสียงดังขึ้น เมื่อผู้คุ้มกันได้ยินเสียง นางรู้สึกถึงลมที่พัดอยู่ข้างหลัง ทำให้นางสามารถวางแผ่นไม้มุงหลังคากลับที่เดิมได้อย่างรวดเร็ว นางรีบแตะที่ปานรูปนกหงส์เพลิงของนางเพื่อเข้าไปในมิติของนาง
ผู้คุ้มกันกระโดดขึ้นมาบนหลังคามองไปรอบ ๆ แล้วไม่เจอใคร
เขาได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เป็นเวลาหลายปี เขาปกปิดความสามารถพิเศษ เขาสังเกตเห็นมีใครบางคนในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็รู้สึกได้ถึงตัวตนของคน ๆ นั้น แต่ตรงหน้าเขาไม่มีอะไร ไม่มีแม้แต่เส้นผม
เขาขมวดคิ้ว เขาได้ยินเสียงของเฟิงหยูเฮงดังมาจากด้านล่าง
"ลงมาได้แล้ว อาหยาง" เฟิงจิงหยวนกล่าว
ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เขากลับเข้ามาในห้องการศึกษา หลังจากนั้นเทียนก็ถูกนำออกไป เฟิงจินหยวนเอามือไพร่ไว้ข้างหลัง อาหยางหลบซ่อนอยู่ในมุม
เฟิงหยูเฮงรีบออกจากลานไผ่หยก นางปรากฏตัวขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง นางอยู่ข้าง ๆ ลานไผ่หยก
อารมณ์ในการเดินเล่นที่บ้านของนางแตกต่างอย่างมากจากตอนที่นางไปที่ห้องการศึกษา ตอนที่ผู้คุ้มกันกล่าวถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว ภาพของชายที่มีดอกบัวสีม่วงปรากฏขึ้นในหัวของนาง นางพบกับเขาตอนที่ขาทั้งสองของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในเทือกเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ
เฟิงหยูเฮงจำได้อย่างชัดเจนในคืนนั้น นางกับหมอชรา พวกเขาทั้งสองได้ทำการรักษาขาของเขา นางได้เฝ้าดูทักษะของหมอชราเมื่อทำการประสานกระดูก มันน่าเชื่อถืออย่างแน่นอน ความจริงที่ว่านางได้ช่วยให้ขาของเขาหายได้ แต่ต้องรักษานาน 3-4 เดือน ยกเว้นแต่ว่าจะมีภาวะแทรกซ้อนเข้ามา ไม่ว่าอย่างไรเขาไม่สามารถเดินได้ภายใน 1 เดือน แต่ก็ไม่ควรที่จะได้รับการวินิจฉัยว่า "พิการ" โดยหมอหลวง
นางรู้ว่าหมายถึงองค์ชายเก้าจะยืนไม่ได้ มันอาจไม่เป็นแบบนั้น หรืออาจเป็นไปได้
นางขมวดคิ้ว เหงื่อไหลและหายใจเร็ว เมื่อนึกถึงคำพูดของอาหยาง "ใบหน้าเสียโฉม" นั่นหมายความว่าในคืนนั้นหลังจากที่นางจากไป องค์ชายเก้าถูกซุ่มโจมตีและได้รับบาดเจ็บสาหัส
พวกเขามีเพียง 2 คนเท่านั้น เป่ยจื่อต้องนำนายน้อยของเขาไปไม่ได้ ถ้าเขาพบกับการซุ่มโจมตี เขาก็ไม่สามารถใช้พลังเต็มที่ได้ นั่นเพราะขาทั้งสองข้างขององค์ชายได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถยืนได้ และได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าอย่างรุนแรง
เฟิงหยูเฮงค่อย ๆ จับมือทั้งสองข้างลงมา
ชายหนุ่มที่มีดอกบัวสีม่วงที่หน้าผากเป็นคนแรกที่พูดคุยกับนาง หลังจากที่นางออกมาแล้ว พวกเขาคุยตกลงกัน ตอนแรกนางคิดว่านางเป็นคนเดียวที่ออกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริการที่ดีเยี่ยม แต่ใครจะคิดว่าคนที่นางรักษาจะได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรง
คลื่นแห่งความเกลียดชังทะลุออกมา ขณะที่นางเข้าใจเหตุผลที่ทำให้เฟิงจินหยวนเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
องค์ชายเก้าเป็นรัชทายาทที่ไม่อาจมีทายาทสืบสกุลได้อีกต่อไป แล้วแบบนี้ตระกูลเฟิงจะยอมให้เฟิงเฉินหยูแต่งงานกับองค์ชายเก้าได้อย่างไร? แต่ถ้าหากยังดำเนินการตามแผนเดิมโดยให้เฟิงหยูเฮงแต่งงานกับองค์ชายเก้า พวกเขาปฏิบัติตามแผนที่ได้วางไว้ในการยกย่องเฟิงเฉินหยูให้กลายเป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดในเมืองหลวง พวกเขารอโอกาสดี ๆ จากคนที่หมั้นหมายไว้ซึ่งวันหนึ่งจะกลายเป็นมังกรในหมู่มวลมนุษย์
ด้วยความคิดนับไม่ถ้วนสะท้อนในหัวของนาง ในที่สุดก็ไม่มีผลต่อนิสัยของนางในการรักษาความปลอดภัย เสียงลมลอยมาจากทางด้านขวา ผสมกับเสียงของคน
นางหยุดเดินและเริ่มมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียง ตามที่คาดไว้ นางเห็นชายและหญิงอยู่ในศาลาที่ลาน
เสื้อผ้าสีเขียวของเด็กสาวถูกโยนไปทั่ว รองเท้าของนางอยู่ไม่ไกลจากที่นางยืน
เฟิงหยูเฮงปฏิบัติตามความเคยชินและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว นางหยิบรองเท้าขึ้นมาและหมุนตัวเพื่อจากไป
ขณะที่นางกำลังจะเดินออกมา นางได้ยินเสียงผู้ชายดังขึ้นมาว่า "จินเฉิน เจ้าดูแลฮูหยินใหญ่มาหลายปีแล้ว ทำไมฮูหยินใหญ่ไม่มอบรางวัลให้แก่เจ้าบ้าง?"
เฟิงหยูเฮงตัวแข็งทื่อ นางหันกลับไปมองจินเฉิน? นั่นเป็นหนึ่งในสาวใช้ประจำตัวของเฉินซื่อ
เสียงของเด็กสาว ‘จินเฉิน’ ตอบอย่างรวดเร็วด้วยคำเตือน "ลีจู เจ้าอย่าพูดแบบนี้ นี่เป็นความผิดที่หากมีใครได้ยิน เจ้าอาจถูกลงโทษถึงตาย !"
"ไม่ใช่ว่าข้าพูดแบบนี้กับคนอื่น หรือเจ้าไม่ได้บอกข้า?" ลีจูกล่าว
จินเฉินเงียบ "ใครจะไปรู้ บางวันถ้าเจ้าทำให้ข้าไม่มีความสุข ข้าอาจจะเอ่ยมันออกมา"
"โอ้ ที่! ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุข แม้ว่าเจ้าต้องการชีวิตข้า ข้าก็ยินดีที่จะมอบให้!" หลี่เฉินเอ่ยคำหวานออกมาเอาใจจินเฉิน
"เจ้าช่างปากหวานเสียจริง" เสียงของจินเฉินพร่า ทำให้คนฟังรู้สึกเสียวซ่าน "ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครในคฤหาสน์นี้ไม่ทราบฮูหยินใหญ่เป็นเหมือนหีบสมบัติเคลื่อนที่ แต่หากต้องการขโมยของบางอย่างจากนาง มันยากยิ่งกว่าการปีนป่ายขึ้นสวรรค์เสียอีก"
ลีจูรีบเอ่ยขัดขึ้นมาว่า "ถึงแม้คนอื่นจะทำได้ไม่ได้ แต่พวกเจ้าทั้งสี่คน..."
"พวกเราสี่คนน่ะหรือ?" จินเฉินหัวเราะ "ลีจู พวกเราสี่คนเป็นสาวใช้ประจำตัวของนาง และสามารถยืนอยู่ต่อหน้าท่านแม่ของเจ้าได้ แต่เราต้องก้มหน้าก้มตารับใช้ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบอก ท่านแม่ของเจ้าเคยได้รับรางวัลสักกี่ครั้งกันเชียว? ข้าดีต่อเจ้า เจ้าไม่ตอบแทนบ้างหรือ?"
ถ้านางไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ก็คงไม่เป็นไร เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ลีจูโกรธอย่างมาก "ยายแก่คนนั้นคิดว่าทรัพย์สมบัติของนางสำคัญมากกว่าชีวิตของตัวเอง ข้าจะขออะไรได้บ้าง? หืม ข้าคิดว่าการที่ได้ทำงานกับนายจ้างที่ร่ำรวยจะนำไปสู่รางวัลบางอย่าง ใครรู้ว่านางเป็นคนขี้เหนียวเช่นนี้"
เฟิงหยูเฮงไม่มีเจตนาที่จะฟังทั้งสองคนพร่ำคำหวานใส่กัน นางเก็บรองเท้าของจินเฉินไปด้วย พร้อมกลับเดินกลับเรือนขจี
จากการวิเคราะห์สิ่งทั้งสองกล่าว นางคิดว่าลีจูต้องเป็นบุตรของแม่นมลี ภายใต้ฮูหยินใหญ่ คนหนึ่งที่มีแนวโน้มว่าจะพูดอะไรบางอย่างก็คือแม่นมของนาง ถ้ามีคำพูดหลุดออกมาว่าบุตรแม่นมนั้นว่าลอบมีความสัมพันธ์กับสาวใช้ประจำตัวของนาง แล้วสิ่งต่าง ๆ จะไม่น่าสนุกหรือ !
แต่น่าเสียดายที่นางไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากรู้เรื่องนี้ มิฉะนั้นนางจะทำให้แน่ใจว่าจะกระตุ้นคู่รักยวนยางคู่นี้
เมื่อถึงเวลาที่นางกลับไปที่เรือนขจีมันก็ตอนเช้าแล้ว
เฟิงหยูเฮงไม่หวังว่าจะได้นอนหลับเต็มอิ่มในคืนแรกที่คฤหาสน์ตระกูลเฟิง แต่นางก็ไม่คิดว่าคนที่นอนไม่หลับมากกว่านาง จะเป็นชายผู้นั้น