ตอนที่ 11 : อำนาจของตระกูลเฟิง
นางมั่นใจชายหนุ่มที่สวมหน้ากากทองคำในรถม้าเป็นชายหนุ่มคนเดียวที่นางได้พบในภูเขาเมื่อครั้งแรกที่นางมาถึงโลกนี้ นางไม่มีทางลืมเสน่ห์อันน่าหลงใหลของดอกบัวสีม่วงบนหน้าผากหรือใบหน้าที่งดงามของเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือนางไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องสวมหน้ากากนั้น
"คนผู้นั้นคือองค์ชายเก้าหรือ?" เฟิงหยูเฮงถามมารดา
"อาเฮง เจ้าพูดถึงคนที่นั่งอยู่ในรถม้าใช่หรือไม่ ?" เหยาซื่อถาม "นี่เป็นการเฉลิมฉลองต้อนรับการกลับมาขององค์ชายเก้า ก็ต้องเป็นองค์ชายเก้าสิ"
แม่นมซันคุกเข่าลงเหมือนกับชาวเมืองคนอื่น ๆ และยังเงยหน้าขึ้นมองรถม้า
เฟิงหยูเฮงยังคงจ้องมองไปที่รถม้าขณะที่ยืนอยู่ นางรู้สึกว่าตอนที่ม่านเปิดออกมา คนที่อยู่ข้างในก็เหลือบมองมาทางที่นางอยู่เช่นกัน แต่นางไม่เห็นสายตาของเขาว่ามองมาที่นางหรือไม่
เขาอาจจะลืมสัญญาที่ให้ไว้ ด้วยความรู้สึกเยาะเย้ยตัวเอง นางทรุดกายลงนั่ง เนื่องจากเขาเป็นถึงองค์ชายเก้า เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงลำดับต้น ๆ เขาจะจำได้อย่างไรว่านางเป็นเด็กที่เขาเจอบนภูเขา
ยกเว้นว่า... ทำไมถึงแม้จะได้รับชัยชนะในสงครามแล้ว กองทัพของเขาถึงไม่ได้แสดงความยินดีใด ๆ ?
องค์ชายเก้า... จู่ ๆ เฟิงหยูเฮงก็นึกขึ้นได้และพูดโพล่งออกมาว่า "แม่นมซัน ท่านเคยกล่าวไว้ก่อนนี้ว่าตระกูลเฟิงส่งท่านไปหาพวกเรา เพื่อการใด?"
แม่นมซันลุกขึ้นยืน ใบหน้าของนางเผยให้เห็นรอยยิ้ม "คุณหนูต้องแต่งงานกับองค์ชายเก้า!"
สีหน้าของเหยาซื่อดูสดใสขึ้น "อาเฮง ความทุกข์ยากของเจ้าใกล้จะจบสิ้นลงแล้ว ด้วยการชนะศึกในครั้งนี้ทำให้องค์ชายเก้าโดดเด่นกว่าองค์ชายคนอื่น ๆ เจ้ากลายเป็นคนที่โชคดีมาก"
เฟิงหยูเฮงไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา นางรีบพาเหยาซื่อ เฟิงจื่อหรู และแม่นมซันกลับไปที่รถม้า เมื่อกองทัพเคลื่อนเข้ามาในเมืองอย่างช้า ๆ พวกเขาตามหลังขบวนกองทัพเข้าเมือง
มีบางอย่างที่ไม่ชัดเจนในหัวใจของนาง เรื่องบางเรื่องได้นำไปสู่การเปิดเผย แต่นางก็ไม่มีเวลาที่จะไตร่ตรองให้มากกว่านี้
คนขับรถม้ารีบพารถม้าไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฟิง คนที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากทองคำทอดสายตาไปตามรถม้าของนาง มองจนเขาจะเห็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งในรถ ตอนนี้นางดูผอมลงและอ่อนแอ นางดูแย่มากกว่าที่เจอในภูเขา เขาคิดว่านางเดินทางไกลมายังเมืองหลวง นางต้องทนทุกข์ทรมานมาตลอดทาง "ไปตรวจสอบ" เขาเอ่ยขึ้นมา
ด้วยคำพูดเหล่านี้ เป่ยจื่อซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ เข้าใจทันที เขาโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งและตอบว่า "ขอรับ"
...
ในที่สุดเฟิงหยูเฮงยืนอยู่ประตูทางเข้าหลักของตระกูลเฟิง นางมองที่ป้ายด้านหน้า ตัวหนังสือที่ถูกเขียนไว้ว่า "คฤหาสน์เสนาบดีฝ่ายซ้าย" เมื่อเห็นตัวอักษรนี้เฟิงหยูเฮงแอบหัวเราะเยาะในใจ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ละทิ้งฮูหยินใหญ่ของเขาและเลื่อนตำแหน่งให้ฮูหยินรอง เขาปล่อยให้บุตรีของตัวเองอยู่ที่หมู่บ้านบนภูเขา ไม่ห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา นางต้องการเห็นใบหน้าของบิดาเมื่อเห็นพวกนาง เขาจะทำเช่นไร
แม่นมซันถอนหายใจยาว ๆ ขณะพูด "ในที่สุดพวกเราก็มาถึง" นางเคาะประตู
ยามเฝ้าประตูเปิดประตู เมื่อเห็นว่าเป็นแม่นมซัน เขามองด้วยสายตาที่ว่างเปล่า จากนั้นเขาก็ปิดประตู
"เอ้!" แม่นมซันถูกละเลย นางรู้สึกหงุดหงิด แต่นางไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน นางหันหลังและปลอบโยนสามคนที่อยู่ข้างหลังนาง "นายหญิงอย่ากังวล พวกเขาต้องไปรายงานข้างในก่อน"
เฟิงจื่อหรูจับมือเฟิงหยูเฮงไว้แน่นและไม่อยากปล่อยมือพี่สาว สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งเขาไม่คุ้นเคย อาจถือได้ว่าเขาคุ้นเคยเล็กน้อย แต่มันไม่ทำให้เขารู้สึกโหยหามันแต่อย่างใด แต่เขากลับหวาดกลัวมันด้วยซ้ำ
พวกเขารออยู่นอกประตูเป็นเวลานาน เฟิงจื่อหรูถามทั้งสามว่า "ท่านพ่อไม่อยากเจอพวกเราหรือ?" เมื่อเขากำลังจะถามต่อ ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
พ่อบ้านที่ดูสง่างาม เฮ่อจง ตามมาด้วยบ่าวอีก 2 คน พวกเขาฝืนยิ้ม ขณะที่กำลังจะพูด เฟิงหยูเฮงก็พูดแทรกขึ้นมา "ช่างลำบากเหลือเกินกว่าจะได้เข้าไปในตระกูลเฟิง"
เมื่อเฮ่อจงเห็นพวกเขาสี่คนยืนเรียงราย เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว "คุณหนูรองกล่าวเกินไปแล้ว นี่เป็นความผิดของบ่าวรับใช้บางคนที่ไม่รู้จักกฎ คุณหนูรองโปรดตามข้าไปห้องโถงใหญ่ ฮูหยินใหญ่ กับฮูหยินผู้เฒ่ากำลังรอท่านอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ หากช้ากว่านี้จะไม่เป็นการดี ส่วนการลงโทษบ่าวรับใช้ ข้าจะจัดการในภายหลัง" คำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาทำให้ไม่สามารถตำหนิเขาได้
เฟิงหยูเฮงถกเถียงกับพ่อบ้านนานเกินไป ตั้งแต่ที่นางได้เข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลเฟิงแล้ว นางจะได้เห็นว่ามีภูตผีปีศาจหรือวิญญาณชั่วร้ายในคฤหาสน์นี้เป็นแบบไหน
เฮ่อจงพาพวกเขาไปที่ห้องโถงใหญ่ พวกเขาเดินผ่านผนังทางเดินที่คดเคี้ยว มีบ่อปลาคาร์พสีทอง 2 บ่อ และสวนสมุนไพรหลากสี เสียงนกร้องนับไม่ถ้วนฟังดูน่าฟัง
ระหว่างทางคนรับใช้ที่พวกเขาเห็นคือผู้สูงอายุทั้งหมด พวกเขามีอย่างน้อย 80 คน ทุกคนดูไม่แน่ใจและกระซิบกระซาบคุยกัน มีวลีหนึ่งดังไปถึงหูของเฟิงหยูเฮง
"คุณหนูรองกลับมาที่คฤหาสน์ จะเกิดอะไรขึ้นกับการแต่งงานของคุณหนูใหญ่?"
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้นางถอนหายใจ องค์ชายเก้าได้รับชัยชนะในการสงครามครั้งนี้ ถ้าตระกูลเฟิงต้องการที่จะยกฐานะสูงขึ้นก็คงต้องอาศัยเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ พวกเขาส่งคนไปพานางกลับมาที่เมืองหลวง แต่ทำไมพวกเขาถึงส่งคนมาฆ่าพวกนาง เมื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาเห็นว่าอำนาจขององค์ชายเก้ามากขึ้น ในเรื่องการแต่งงานระหว่างบุตรีของฮูหยินใหญ่กับองค์ชายเก้า ถ้าเฟิงหยูเฮงเสียชีวิตแล้วก็คงจะเป็นเฟิงเฉินหยูที่ได้ประโยชน์
เฟิงเฉินหยู... นางค้นหาความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เฟิงเฉินหยูอายุมากกว่าเฟิงหยูเฮง 2 ปี หน้าตานางธรรมดา แต่มารดาของนางรักและตามใจมาก, เฉินซื่อ นางสามารถจัดการภรรยาคนอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮูหยินใหญ่ เฟิงเฉินหยูกลายเป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่ตระกูลเฟิงทันที
พวกเขาเดินไปถึงห้องโถงใหญ่ของตระกูลเฟิงซึ่งตั้งอยู่ในลานโบตั๋น
สาวใช้คนหนึ่งที่ดูสง่างามได้เปิดม่านรอพวกเขาอยู่ อย่างไรก็ตามรอยยิ้มของนางนั้นเสแสร้งเป็นอย่างมาก
เหยาซื่อเดินก้มหน้าตลอดทาง ท่าทางที่อ่อนโยนของนางทำให้เฟิงจื่อหรูรู้สึกกลัว แต่เฟิงหยูเฮงไม่ได้รู้สึกกลัว นางรู้สึกทึ่งกับความมั่งคั่งของตระกูลเฟิง การเผชิญกับความท้าทายในอาชีพทางทหารของนาง ทำให้นางได้เรียนรู้ในการปกปิดอารมณ์ นางซ่อนมันไว้อย่างดี
แม่นมซันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นาง ทุกคนเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ พวกเขาเห็นหญิงชราที่แต่งชุดหรูหรานั่งหลังตรงดูสง่างาม นางอายุ 60 ปี ผมของนางสีขาว การนั่งของนางแสดงสถานะในตระกูลเฟิงได้อย่างชัดเจน นางรักษาท่าทางของนางไว้ในฐานะฮูหยินผู้เฒ่า แม้แต่เครื่องประดับบนศีรษะของนางเน้นความมั่งคั่ง ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ถือไม้เท้าที่ทำด้วยไม้สน มีหยกขนาดใหญ่ฝังอยู่ แต่ไม่ค่อยจะดูดีสักเท่าไหร่ ลักษณะที่ปรากฏจากหญิงชราผู้นี้คือความเย่อหยิ่ง
ชายวัยกลางคนประมาณ 40 ปี ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฮูหยินผู้เฒ่า การแสดงออกของเขาเข้มงวด สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาล แขนเสื้อและชายตะเข็บเย็บด้วยเส้นด้ายสีเงินและสีแดงที่เป็นมงคล มีแส้แขวนประดับบนเอวของเขาซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยาน
เฟิงหยูเฮงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นบิดาของนาง เฟิงจินหยวน ซึ่งมาจากหนึ่งในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาไม่เคยอุ้มหรือจับแก้มนางแม้แต่ครั้งเดียว นางไม่มีความทรงจำดี ๆ กับบิดาของนางเลย
นั่งข้าง ๆ เฟิงจินหยวนเป็นหมีอ้วน นางไม่รู้ว่าจะหาคำพูดใดที่จะใช้ในการอธิบายลักษณะของเฉินซื่อ นางอายุ 40 ปี นางอ้วนมาก คางเป็นชั้น ๆ พุงของนางยื่นออกมามากกว่าหน้าอก นางไม่มีเอว ข้อมือของนางหนากว่าตีนหมี ตรงกันข้ามกับความคาดหวัง นางชอบสวมเสื้อผ้าเข้ารูป จนอดรู้สึกไม่ได้ว่าถ้าหากนางหายใจเข้าแรง ๆ อาจได้ยินเสียงเสื้อผ้าของนางเริ่มปริขาด
เฉินซื่อมาจากครอบครัวพ่อค้า แม้ว่านางจะแต่งงานกับเสนาบดี นางใช้ประโยชน์จากความมั่งคั่งของนาง ซึ่งทำให้นางกลายเป็นคนที่หยิ่งยโสจากความมั่งคั่งของนาง นางชอบที่จะแสดงออกเพราะกลัวว่าผู้คนไม่ทราบถึงความมั่งคั่งของนาง ไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงิน หรือหยกของที่มีค่าทั้งหมดถูกนำมาประโคมใส่บนร่างกายของนาง บนศีรษะเสียบปิ่นปักผมมากมาย ดังนั้นจึงแทบมองไม่เห็นผมของนาง นิ้วมือประดับประดาด้วยแหวน ยังไม่นับรวมสร้อยคอและกำไลข้อมือที่อยู่บนตัวนาง คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินซื่อเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฟิง และปัจจุบันเป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่ เฟิงเฉินหยู อายุ 14 ปี
เฟิงเฉินหยูเป็นชื่อที่มารดาของนางตั้งให้ มือของนางดูอ่อนนุ่ม คิ้วโก่งได้รูป รอยยิ้มที่อ่อนหวานและดวงตาที่สวยงาม นางสวมชุดสีน้ำเงินเข้มที่ยาวมาถึงพื้น มันเน้นให้เห็นถึงรูปลักษณ์ที่งดงามของนาง สร้อยข้อมือหยกที่จับคู่กับผิวอมชมพู เมื่อนางมองไปทางเหยาซื่อ ดวงตาของนางแสดงให้เห็นถึงความเศร้าโศกและความเห็นอกเห็นใจ ด้วยรูปลักษณ์แบบนี้ทำให้ทุกคนรับรู้ถึงความอ่อนโยนของนาง ทุกคนรู้ว่าเฟิงเฉินหยูคือนางฟ้า นางปฏิบัติกับบ่าวรับใช้ในคฤหาสน์ด้วยความเคารพและสุภาพ นางแสดงความเห็นใจต่อความยากลำบากพวกเขาทั้งสามคน
เฟิงจินหยวนเริ่มหงุดหงิดกับบุตรสาวคนโตของเขา
"เฉินหยูอย่ากังวล เจ้าเข้าไปพักผ่อนข้างในเถอะ ไม่ต้องกังวลการต้อนรับพวกเขา "
เฟิงเฉินหยูส่ายหัว "ข้าไม่ได้เจอแม่รอง น้องหยูเฮง และน้องจื่อหรูมาหลายปีแล้ว ท่านพ่อ ขอข้าอยู่ต่ออีกสักหน่อย"
เฟิงจินหยวนไม่ได้พูดอะไรต่อ เฟิงหยูเฮงเดินตามหลังเหยาซื่อ ขณะที่ดึงเฟิงจื่อหรูมาคุกเข่าคารวะ
เหยาซื่อเป็นคนแรกที่พูด "สะใภ้ คารวะต่อท่านแม่เจ้าค่ะ"
เฟิงหยูเฮงและเฟิงจื่อหรูกล่าวพร้อมกัน "หลานทั้งสองคารวะต่อท่านย่าเจ้าค่ะ/ขอรับ"
อย่างไรก็ตามไม่มีใครคารวะต่อเฉินซื่อ
ห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยความเงียบ นอกจากเฉินซื่อแสดงสีหน้าเหยียดหยาม เมื่อมองไปที่เหยาซื่อซึ่งนางยังคงก้มหน้าก้มตา
หลังจากนั้นครู่หนึ่งหญิงชราก็กล่าวขึ้นมา "พวกเจ้ากลับมาแล้ว"