ภาค 1 ตอนที่ 8 ศิษย์น้องเป็นเจ้าที่เข้าใจข้าที่สุด
“ทางเส้นนี้... มารดามันสิทำไมถึงได้ยาวเพียงนี้”
สองนายบ่าวหอบหายใจเหนื่อยอ่อนบนทางเดินแคบยาวในหุบเขา
หวังลู่เช็ดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้าผากก่อนว่า “เฮ้อ ไม่รู้สึกว่ามีพลังหนุนกำลังของสะพานทองคำแบบเมื่อครู่แล้ว... ดูเหมือนสัมภาระจะหนักขึ้นอย่างไรอย่างนั้น”
เด็กรับใช้ถอนหายใจ “พลังหนุนกำลังอะไรของท่านกัน ท่านเลอะเลือนใหญ่แล้วคุณชาย...”
“ใช่ ข้าเหนื่อยจนเลอะเลือน อย่างนั้นเจ้าก็มาแบกสัมภาระเสียทีสิ”
“เอ่อ...”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น หวังลู่ก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีขึ้นมาทันที ชี้ไปยังเบื้องหน้าด้วยความดีใจ “ดูนั่น! หมอกรอบตัวเริ่มก่อตัวหนาขึ้นแล้ว นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราเข้าสู่แผนที่ใหม่แล้ว!”
เด็กรับใช้ยังคงคลำหาสมองไม่เจอ ถามอย่างมึนงงว่า “เข้าสู่แผนที่ใหม่อะไรนะ?”
หวังลู่อธิบาย “เจ้าไม่รู้สึกเลยหรืออย่างไรว่าเส้นทางบรรลุเซียนนี้เป็นทางเส้นตรงง่ายๆ เพียงเส้นเดียว? ระหว่างทางต้องมีการออกแบบด่านมากมายเอาไว้ทดสอบคุณสมบัติแต่ละด้านของคนคนหนึ่งอย่างแน่นอน หากสิ่งที่ต้องการทดสอบคือทักษะความสามารถที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดและสติปัญญา สิ่งที่ใช้ทดสอบก็มีเพียงสะพานทองคำและกระดาษอีกแผ่นเท่านั้น แต่หากเป็นทดสอบจิตใจและวาสนาเซียนล่ะ? สอบอัตนัย? กาปรนัย? หรือทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ? หากสำนักกระบี่วิญญาณต้องการทดสอบสมรรถภาพของศิษย์ใหม่ ก็ต้องออกแบบฉากสถานการณ์ที่ซับซ้อนให้กับเส้นทางบรรลุเซียน ฉากพวกนี้อาจเป็นฉากปกติธรรมดา หรืออาจเป็นจักรวาลที่ออกแบบมาเฉพาะไม่เหมือนใครก็เป็นได้ และหมอกรอบตัวเรา ก็น่าจะเป็นกันชนลดแรงปะทะจากการเคลื่อนย้ายสับเปลี่ยนแผนที่”
“คุณชาย ข้าไม่เห็นเข้าใจสิ่งที่ท่านกำลังพูด...”
ทว่าหวังลู่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจว่าเด็กรับใช้จะเข้าใจหรือไม่ ก้มหน้าก้มตาอธิบายต่อ “สำนักกระบี่วิญญาณเป็นสำนักเก่าแก่มีชื่อเสียง ดังนั้นการคัดเลือกศิษย์จึงเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง บวกกับจำนวนศิษย์ที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ปกติผู้อาวุโสของสำนักจะลงเขาตามหาศิษย์ด้วยตนเอง สำนักไม่เหมาะจะจัดงานชุมนุมคัดเลือกเซียนใหญ่โตเช่นนี้แม้แต่นิด ดังนั้นการเปิดอ้าประตูสำนักครั้งนี้จึงดึงดูดผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ แต่สำนักเก่าแก่ก็ยังคงเป็นสำนักเก่าแก่วันยังค่ำ ต่อให้เปิดรับคนมากแค่ไหนก็ไม่มีทางลดระดับความเข้มงวดลง ขั้นตอนที่ควรมีแน่นอนว่าต้องมี เผลอๆ อาจจะซับซ้อนเกินกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้ด้วยซ้ำ...”
ฟังถึงตรงนี้เด็กรับใช้ก็ทนไม่ไหว “คุณชายท่านรู้เรื่องของสำนักกระบี่วิญญาณได้อย่างไร?”
อันที่จริงคุณชายมาถึงเมืองธาราวิญญาณก่อนเขาเพียงวันเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็อยู่แต่ในห้องพัก เขาไปเอาข่าวพวกนี้มาจากไหน? หรือคุณชายจะรู้มาตั้งแต่เกิด เขาเป็นเทพดาราเหวินชวีซิง[1]จุติลงมาหรืออย่างไร?
“แน่นอนว่าต้องเป็นตอนที่ทำภารกิจปลดโซ่น่ะสิ... เจ้าคิดว่าวันนั้นข้าเสียเวลาวิ่งไปทั่วเมืองทั้งวันก็เพื่อภารกิจนี้อย่างนั้นหรือ?
คำอธิบายภารกิจทุกด่านข้าล้วนฟังอย่างตั้งใจ ทุกวันนี้มีแต่ผู้เล่นที่ใจร้อนอยากทำภารกิจให้สำเร็จ จนไม่มีใครสนใจรายละเอียดอื่นๆ นอกจากเป้าหมายและของรางวัล โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งมีค่าแท้จริงอยู่ตรงคำอธิบายของภารกิจ!
เช่น ตอนที่ข้ากำลังทำภารกิจสุดท้าย ตาเฒ่าที่อยู่ตรงประตูจะพูดว่า ร้อยปีมานี้ถือเป็นครั้งแรกที่สำนักกระบี่วิญญาณจัดงานชุมนุมคัดเลือกเซียน ไร้ประสบการณ์ และเพราะไร้ประสบการณ์ทำให้ต้องใช้กำลังทั้งกายและใจอย่างมาก แม้แต่ตาแก่ที่ปลดเกษียณมาแล้วหลายปีอย่างเขายังถูกสั่งให้มาเฝ้าประตูเมือง... ข้อมูลตรงนี้ชัดเจนจนน่าตกใจ แต่คนปกติที่ไหนจะฟังรู้เรื่อง? แม้ว่าบรรดาคุณชายองค์ชายเหล่านั้นได้เข้าไปทักทายพูดคุยแต่กลับไม่มีคนยอมทำภารกิจ ใครเขาจะอยากบอกข้อมูลเจ้า? เพราะเจ้ามีเงินรึ? ในหมู่บ้านที่กระทั่งหัวไชเท้าหัวหนึ่งก็ยังมิอาจซื้อได้ด้วยเงินห้าร้อยตำลึง เงินแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย...”
เด็กรับใช้ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่คุณชายกำลังพูด ทว่าน้ำเสียงที่ไม่ยี่หระคนอื่นกลับปรากฏความเก่งกาจอย่างที่สุด
ความเชื่อมั่นในตัวเองเช่นนี้เขาได้ประจักษ์มาแล้วตั้งแต่อยู่ในหมู่บ้านตระกูลหวัง นึกไม่ถึงว่าเมื่อเดินอยู่บนเส้นทางบรรลุเซียน ความมั่นใจของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง!
คุณชายก็คือคุณชาย ช่างน่านับถือยิ่งนัก
ตามที่หวังลู่ว่าไว้ หากหมอกทะมึนสองฝั่งเขาเป็นกันชนลดแรงปะทะขณะสับเปลี่ยนแผนที่ หลังม่านหมอกคงจะเป็นบททดสอบใหม่ บททดสอบที่ตัดสินว่าสามารถเข้าสำนักชั้นในอย่างยอดเขาเร้นลับของสำนักกระบี่วิญญาณได้หรือไม่ แม้ว่าเด็กรับใช้จะยังคงไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างยอดเขาเสรีและยอดเขาเร้นลับอย่างถ่องแท้ แต่ดูเหมือนว่าคุณชายจะให้ความสำคัญอย่างมาก... แสดงว่าต้องสำคัญจริงๆ
————
ขอบเขตของหมอกทะมึนแผ่ขยายกว้างกว่าเดิมหลายเท่า
เดิมทีคิดว่าจะเป็นการกันปะทะเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ทว่าไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ขณะที่ทั้งสองคลำทางในดงหมอกหนาทึบก็ยังไม่สามารถหาทางออกเจอ หวังลู่เองก็เริ่มลังเลขึ้นมา
“คุณชาย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราเดินผิดทาง?”
“เพ้อเจ้อ ตั้งแต่หัวจรดท้ายก็เห็นอยู่ว่ามีเพียงทางเดียวเท่านั้น ไหนเจ้าลองบอกข้าสิว่าเราเริ่มเดินผิดทางจากจุดไหน?”
“เอ่อ...”
เด็กรับใช้ใช้ฝ่ามือปาดเหงื่อที่เปียกชุ่มบนศีรษะ ไปต่อไม่ถูก
หวังลู่ยังคงแบกห่อสัมภาระ ถึงเขาจะฝึกฝนร่างกายอยู่เสมอ ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกมีแต่ยิ่งเดินยิ่งเหนื่อย ดังนั้นแม้ความมั่นใจของตัวเองจะไม่ได้ลดน้อยถอยลง แต่ก็ชะลอฝีเท้าลง แล้วเริ่มสังเกตสิ่งแวดล้อมโดยรอบอย่างละเอียดตั้งใจ
ในดงหมอกหนาทึบ สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในระยะไม่ไกลเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่อาจเห็นอะไรได้เลย หวังลู่จำได้แค่ว่าก่อนจะเดินมาถึงดงหมอกทะมึน เขากำลังเดินอยู่บนถนนที่กว้างไม่เท่าไหร่ ถัดจากนั้นก็เป็นทางลาดยาวตลอดทาง...
“หวังจง เราเลี้ยวขวาเถอะ”
“หา? ทางนั้นเป็นหน้าผานะ”
“ไม่แน่เสมอไป”
เด็กรับใช้อึ้งไปชั่วครู่ แล้วเลี้ยวตามหวังลู่ไปทางด้านขวา คิดว่าเดินไปอีกไม่กี่ก้าวต้องตกเขาเป็นแน่...
“เอ๋? ทำไม...แปลกอย่างนี้ ข้าจำได้ว่าก่อนที่จะเข้ามาในดงหมอก หุบเขาทั้งสองฝั่งทอดตัวยาวมาก ไฉนตอนนี้... ”
“เราไม่ได้อยู่บนหุบเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว การเปลี่ยนแปลงของแผนที่จะเกิดขึ้นขณะที่เราไม่รู้ตัว... แรกเริ่มเดิมทีข้านึกว่าหมอกหนาทึบนั้นจะเป็นกันชน แต่ดูแล้วนี่คงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของแผนที่เช่นกัน”
หวังลู่พูดพลางก้มตัวลงใช้นิ้วกดบนพื้น
“คุณชาย ดินนี่มีปัญหาอะไรหรือ?”
“ใครจะไปรู้? ข้าไม่ใช่นักธรณีเสียหน่อย” หวังลู่กล่าวพลางปัดฝุ่นที่ติดอยู่บนฝ่ามือ “แค่คิดว่าน่าจะพบร่องรอยอะไรจากบนดิน แต่ดูแล้วคงไม่มีอะไร”
หวังจงวิตกกังวลขึ้นมาทันที “คุณชาย คงไม่มีอันตรายอะไรใช่หรือไม่?”
ในขณะที่หวังลู่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว หวังจงก็พลันรู้สึกถึงหมอกหนารอบกายที่น่าสะพรึงกลัว ราวกับว่าจะกลืนกินเขาเข้าไปได้ทุกเมื่อ ที่สุดแล้วเส้นทางบรรลุเซียนสายนี้ มิใช่สิ่งที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เด็กรับใช้จากหมู่บ้านตระกูลหวังอย่างแท้จริง
“ไม่มีอันตราย... แต่ก็ไม่มีร่องรอยอะไรเหมือนกัน”
“หา!? อย่าบอกนะว่าเรากำลังจะถูกขังตายที่นี่”
“ไม่มีทางแน่นอน การไม่มีร่องรอยก็คือร่องรอยที่ใหญ่ที่สุด อีกอย่างข้าเคยบอกแล้ว เส้นทางบรรลุเซียนจะทดสอบคุณสมบัติโดยรวมทั้งหมดของคน แต่วาสนาแห่งเซียนก็สำคัญไม่ต่างกัน ตอนที่ข้าทำภารกิจปลดโซ่ก็รับรู้ได้ว่า คนบำเพ็ญเซียนให้ความสำคัญกับชะตาวาสนาอย่างยิ่ง”
“เอ่อ... หมายความว่า...”
หวังลู่ตอบยิ้มๆ “ก็หมายความว่า เส้นทางนี้แท้จริงแล้วไม่มีเส้นไหนผิด ทุกทิศล้วนแต่เป็นป้ายบอกชะตาวาสนาของแต่ละคน... พูดง่ายๆ ก็คือ แค่เดินไปตามทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างแน่วแน่มั่นคง จนเมื่อเดินไปถึงระดับที่แน่นอนก็จะมีแผนที่ใหม่ปรากฏขึ้น”
“คุณชาย เหตุใดท่านจึงมั่นใจเพียงนี้?”
“ยังจำที่ศิษย์ชุดน้ำเงินขาวสองคนนั้นกล่าวได้หรือไม่ หญ้าและต้นไม้ทุกต้นล้วนเป็นชะตาวาสนา ซึ่งหมายความว่าจะเดินไปทางไหนก็ได้มิใช่รึ? แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ หากข้าเป็นคนออกแบบ ก็ว่าจะทำแบบเดียวกันนี่ล่ะ... ตอนที่อยู่ในเมืองธาราวิญญาณ ข้ารู้สึกว่าผู้ออกแบบงานชุมนุมคัดเลือกเซียนค่อนข้างเชี่ยวชาญชำนาญการใช้ได้ ไม่น่าทำให้ผิดหวัง”
หวังลู่พูดพลางเงยหน้าขึ้น แววตาจ้องมองทะลุม่านหมอกหนาทึบไปยังยอดเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่บนกลุ่มก้อนเมฆ
สำนักกระบี่วิญญาณ...รอข้าได้เลย~
——
ในเวลาเดียวกันนั้น บนยอดเขาเหนือกลุ่มเมฆอันห่างไกล ยอดเขาเร้นลับกำลังชุลมุนวุ่นวาย
“ฉิบหายแล้ว ไฉนผู้อาวุโสฝ่ายวินัยจึงโผล่มาที่นี่?”
“รีบแจ้งท่านอาจารย์และอาจารย์อาโจวหมิงให้เก็บโต๊ะให้เรียบร้อย”
“ชุดขาวดำที่อยู่ตรงนั้นน่ะ เจ้ารีบไปถ่วงเวลาผู้อาวุโสฝ่ายวินัย!”
“หา!? ศิษย์พี่ท่านเป็นศิษย์ผู้สืบทอด ดังนั้นท่านควรไปมากกว่าสิ!”
“น้อยๆ หน่อย ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยเข้มงวดกับศิษย์ผู้สืบทอดยิ่งกว่า! หากข้าไปมีหวังคงต้องถูกกักตัวบำเพ็ญจนถึงขั้นกำเนิดใหม่แน่!”
“ยินดีกับศิษย์พี่ด้วยที่อีกไม่กี่วันก็จะอวตารไปอยู่ในขั้นกำเนิดใหม่!”
“ยินดีทวดเจ้าสิ! กระทั่งขั้นพิสุทธิ์บิดาเจ้าก็ยังไม่มี ถูกกักตัวรอบนี้อย่างน้อยก็ต้องร้อยสองร้อยปี! อย่าพูดมาก เจ้ารีบไปถ่วงเวลาท่านอาวุโสฝ่ายวินัยเร็ว!”
“ใครจะถ่วงเวลาข้า?”
“ว้ากกกก!”
——
“...ศิษย์พี่หลิวเสี่ยน ศิษย์น้องโจวหมิง พวกเจ้ากำลังทำอะไร!”
“ว้ากกก! ใคร! ใครแอบอ้างศิษย์น้องฟางเฮ่อ! ช่างอาจหาญนัก ถึงขนาดกล้าแอบอ้างผู้อาวุโสฝ่ายวินัย ข้าจะรายงานเจ้าสำนักให้ลงโทษเจ้า! เก่งนักก็อยู่นี่ห้ามหนีไปไหน!”
“…ศิษย์พี่หลิวเสี่ยน ท่านโวยวายพอแล้วหรือยัง? ส่วนศิษย์น้องโจวหมิง อย่าคิดหนีด้วยการใช้กระบี่แสงเงา ก่อนมาข้าได้คลุมม่านประกายดาราไว้แล้ว เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!”
“…ศิษย์พี่ฟางเฮ่อ คัมภีร์กระบี่ดาราที่สำนักมอบให้ท่าน มิได้ให้ท่านนำมาจัดการศิษย์สำนักเดียวกันนะ!”
“ข้าคือผู้อาวุโสฝ่ายวินัย กฎอาญาไม่ใช้กับศิษย์สำนักเดียวกันแล้วจะให้เอาไปใช้กับประชาชนเมืองธาราวิญญาณหรือ? พวกเจ้า...เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่สวรรค์ ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบดูแลงานชุมนุมคัดเลือกเซียนอันเป็นงานสำคัญของสำนักกระบี่วิญญาณวันนี้ กลับละเลยหน้าที่ ไม่เคารพกฎระเบียบของสำนัก จับกลุ่มเล่นการพนัน พวกเจ้า… ตามกฎสำนัก ร้อยปีก็อย่าหวังว่าจะได้ออกจากเขา”
“บัดซบ! ไม่จริงใช่หรือไม่!? นี่คือกฎฉบับไหน?”
บนยอดเขาเร้นลับ ผู้อาวุโสของสำนักเริ่มเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทันใดนั้น แสงของกระบี่ลำหนึ่งก็พุ่งทะลุชั้นเมฆ กลายเป็นร่างของศิษย์สองพี่น้องชุดขาวดำ
ศิษย์ทั้งสองมีสีหน้าเคร่งขรึม คล้ายมองไม่เห็นโต๊ะไพ่นกกระจอกที่พลิกคว่ำบนพื้น และผู้อาวุโสสำนักที่กำลังทะเลาะกันจนหน้าแดงก่ำ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รายงานท่านอาวุโส มีคนเดินออกมาจากแผนที่คลื่นเมฆาแล้ว”
“อะไรนะ? เร็วขนาดนี้เชียว!?”
ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเร้นลับที่กำลังโต้เถียงอยู่กับผู้อาวุโสฝ่ายวินัยอย่างหน้าดำหน้าแดงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ทิ้งอีกฝ่ายก่อนจะสาวเท้าก้าวฉับไปยังหน้าผา จับจ้องไปยังชั้นเมฆที่กำลังเคลื่อนตัวเปลี่ยนแปลงเบื้องล่าง สีหน้าฉายแววประหลาดใจ
“เป็นสองคนนี้จริงๆ…”
ผู้อาวุโสโจวหมิงแห่งยอดเขากระจ่าง ปรับสีหน้าก่อนพุ่งตามไปติดๆ “สองคนนี้ทำไม? เจ้ารู้จักรึ? ผลงานไม่เลวนี่ เพิ่งจะแค่สองชั่วยามก็สามารถออกมาจากแผนที่คลื่นเมฆาได้...เดี๋ยวก่อน สองชั่วยาม[2]!?”
ยามนี้ กระทั่งผู้อาวุโสฝ่ายวินัยผู้เคร่งขรึมยังอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “สองชั่วยาม? หมายความว่าพวกเขาไม่มีความสับสนงุนงงใดๆ เลย? คนที่อยู่บนแผนที่คลื่นเมฆาไม่เพียงถูกปิดสัมผัสทั้งห้าเท่านี้ กระทั่งความกลัวจากก้นบึ้งหัวใจก็จะถูกขยายใหญ่ขึ้นอีกเป็นหลายเท่า นอกจากจะมีความมั่นใจที่แน่วแน่ มิเช่นนั้นต้องหลงอยู่ในนั้นเป็นเวลานานมาก เวลาสองชั่วยาม... แทบจะเป็นเส้นทางที่มีแต่เส้นตรงไม่หักเลี้ยวใดๆ เลย เป็นคุณภาพจิตใจที่ยอดเยี่ยมมาก!”
หลิวเสี่ยนตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาว่า “ครั้งล่าสุดที่พบคนที่ทำเวลาได้รวดเร็วเพียงนี้คือเมื่อไหร่?”
โจวหมิงส่ายศีรษะ “ที่แน่ๆ ข้าไม่เคยพบแน่นอน”
ฟางเฮ่อเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “ไม่เคย? ศิษย์น้องหมิงโจวความจำของเจ้านับวันจะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ พวกเราล้วนเคยพบมาแล้ว คนที่ใช้เวลาสองชั่วยามในการเดินออกมาจากแผนที่คลื่นเมฆาคนก่อน...”
“เคยพบ? ในความทรงจำของข้าคนที่แสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมที่สุดน่าจะเป็นศิษย์พี่เจ้าสำนัก แต่ก็ยังใช้เวลากว่าสี่ชั่วยาม คนที่ทำเวลาได้ดีกว่า...” โจวหมิงกล่าวอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด พลันสะดุ้งตกใจ “ศิษย์พี่ฟางเฮ่อ ท่านคงมิได้หมายถึง…”
“...ยังมีคนอื่นได้อีกหรือ?”
เงาของคนผู้หนึ่งแล่นปราดเข้ามาในสมองของทุกคน จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
ชั่วอึดใจใหญ่ หลิวเสี่ยนจึงกล่าวต่อไปว่า “นับว่าศิษย์พี่เจ้าสำนักตาถึงมองเห็นเพชรเม็ดงาม แม้ระดับทักษะความสามารถจะอยู่ระหว่างสามถึงสี่ แต่คุณภาพจิตใจของเขากลับอยู่ในมาตรฐานชั้นยอด”
ฟางเฮ่อส่ายศีรษะ “ยังไม่สามารถฟันธงอะไรได้ แผนที่คลื่นเมฆาเป็นเพียงบททดสอบขั้นแรกเท่านั้น สิ่งที่เป็นบทสรุปทั้งหมดไม่ได้มีเพียงจิตใจเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงชะตาวาสนา รอดูด่านต่อไปว่าพวกเขาจะไปตกอยู่ตรงสถานที่ไหนก่อน... เอ๋ ศิษย์พี่ ยอดเขาเร้นลับของท่านออกแบบด่านนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ขณะนั้นเอง เมฆหมอกเคลื่อนตัวเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง นอกจากจะฉายภาพสองนายบ่าวแล้ว ยังปรากฏภาพอาคารหลายสิบหลังผุดขึ้นมา เป็นแบบจำลองหมู่บ้านเล็กๆ ที่เพิ่งสร้างขึ้น
ฟางเฮ่อถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “หลังจากแผนที่คลื่นเมฆา... บททดสอบต่อไปน่าจะเป็นสันเขาผาชาด ขุนเขาวายุน้ำแข็ง ช่องเขาเมฆาคราม และแดนอเวจี หากสามารถเดินไปจนถึงด่านสุดท้าย ก็มีคุณสมบัติเข้าเป็นศิษย์ยอดเขาเร้นลับ แต่ข้าจำไม่ได้ว่ามีด่านนี้อยู่ด้วย หรือว่าศิษย์พี่... ท่านแก้บททดสอบของงานชุมนุมคัดเลือกเซียน?”
หลิวเสี่ยนเองก็เริ่มแปลกใจ “ศิษย์น้อง เจ้านี่เข้าใจข้าจริงๆ ใช่ไหม ข้าจะไปแก้ไขกฎของสำนักตามอำเภอใจได้อย่างไร?”
ฟางเฮ่อปรายตามองโต๊ะไพ่นกกระจอกที่พลิกคว่ำอยู่โดยไม่ได้กล่าวอะไร แม้ศิษย์พี่จะไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีนัก แต่ก็ไม่มีทางตัดสินใจเรื่องสำคัญโดยไม่ได้รับการอนุญาตอย่างแน่นอน แสดงว่า...
“ศิษย์น้องห้า เจ้าเล่นอะไรอีกกันแน่?”
.............................................
[1] เป็นเทพแห่งการศึกษา อักษรศาสตร์ การประพันธ์ เอกสาร ศิลปะ และการสอบ
[2] การนับเวลาแบบจีนโบราณ 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง