ตอนที่แล้วภาค 1 ตอนที่ 5  การเอาคืนของศิษย์น้อง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 1 ตอนที่ 7 ศิษย์เช่นนี้ข้าไม่ต้องการ

ภาค 1 ตอนที่ 6 ไห่น้อย


 

สะพานทองคำนั้นกว้างใหญ่ แม้จะมีกลุ่มคนนับหมื่นนับพันเดินอยู่แต่กลับดูบางเบาอย่างชัดเจน หวังลู่เดินรั้งท้ายอย่างเอ้อระเหยพลางพูดคุยกับเด็กรับใช้อย่างสนุกสนาน ต่างจากคนอื่นที่ตกอยู่ในอาการคร่ำเครียดอย่างสิ้นเชิง

คุณภาพเฉลี่ยของกลุ่มคนหลายหมื่นนี้ค่อนข้างสูงทีเดียว ส่วนใหญ่มาจากตระกูลดังที่มีชื่อเสียง ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้เขากระบี่วิญญาณแล้ว ทุกคนต่างก็เก็บเนื้อเก็บตัวเงียบเชียบด้วยความเกรงกลัว

เส้นทางบรรลุเซียนนั้นมีแต่ความน่ากลัวจนแข้งขาสั่น การจะรักษาความสงบนิ่งไม่ให้รู้สึกหวั่นเกรงใดๆ เป็นเรื่องยากยิ่ง และการผ่านไปได้อย่างสบายอารมณ์ก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่ายาก อย่างไรก็ตาม ผลงานอันยอดเยี่ยมน่าอัศจรรย์ใจของหวังลู่เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย

และในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังลังเลว่าจะเข้าหาอย่างไรอยู่นั้น กลับมีคนผู้หนึ่งพุ่งออกไปอย่างสง่าผ่าเผย เด็กหนุ่มคนนั้นทักทายอย่างเป็นกันเอง น้ำเสียงฟังดูราวกับว่าพวกเขารู้จักกันมาเป็นเวลานาน

“จะว่าไป หลายวันมานี้ไม่ได้เจอเจ้าเลย”

หวังลู่ที่กำลังพูดคุยอย่างออกรสสนุกสนานอยู่กับเด็กรับใช้นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งที่จู่ๆ ก็มีคนขัด เหลียวศีรษะไปถามว่า “เจ้าติดเงินข้าหรือ?”

คนผู้นั้นก็นิ่งอึ้งไม่ต่างกัน “แน่นอนว่าไม่เคย”

“เช่นนั้นแล้ว ข้าจำเป็นต้องเจอเจ้าหรือ?”

“…ดูเหมือนว่าจะไม่ต้อง”

“แล้วเจ้ามาคุยกับข้าทำไม? อยากหาคำมาเริ่มบทสนทนารึ?”

“…”

“ว่าแต่ เจ้าคือใคร?”

คนผู้นั้นตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แหม คนมีชื่อเสียงมักความจำสั้นจริงๆ สินะ…” ว่าแล้วก็ผสานมือขึ้นเหนืออก “ตัวข้านามว่า ไห่อวิ๋นฟาน มาจากอาณาจักรสายหมอก มีวาสนาได้เจอกันที่ห้องโถงโรงเตี๊ยมตระกูลหรูเมื่อเจ็ดวันก่อน”

หวังลู่มุ่นคิ้ว พยายามทบทวนความทรงจำ “อ้อ เจ้าคือเด็กหนุ่มที่ไล่จี้ถามข้าเรื่องแผนการของภารกิจนั้น... มีอะไรอยากชี้แนะอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่บังอาจชี้แนะ เพียงแค่สงสัยเท่านั้นว่า บนเส้นทางบรรลุเซียนที่ทุกคนล้วนหวั่นวิตกกังวล แต่มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ยังนิ่งเฉยไม่แสดงอาการ ซ้ำยังมั่นอกมั่นใจ จึงใคร่อยากขอคำแนะนำและเคล็ดลับแก่ข้าบ้าง”

หวังลู่หัวเราะ “เจ้ามาถามวิธีอีกแล้ว? นิสัยแบบนี้ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย นักผจญภัยที่มีคุณสมบัติเหมาะสมควรแสวงหาคำตอบด้วยตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี เคี้ยวซากอ้อยที่คนอื่นกินเหลือจะไปมีรสชาติอะไร?”

ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของไห่อวิ๋นฟานก็สว่างวาบ “หมายความว่าเจ้ารู้เคล็ดลับในการเดินบนเส้นทางบรรลุเซียนจริงๆ?”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร? ข้าไม่เคยเห็นคู่มือกลยุทธ์สักหน่อย”

“เช่นนั้นแล้ว...”

หวังลู่หัวเราะเสียงทุ้มพลางกล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นพละกำลัง หากแข็งแกร่งมากพอ เหตุใดจึงต้องไปสนใจเคล็ดลับอะไรนั่น? สำหรับข้าแล้ว เส้นทางบรรลุเซียนนั้นราบรื่นปราศจากอุปสรรคขวากหนาม”

คำพูดอันทรงพลังของหวังลู่ทำให้ใบหน้าของไห่อวิ๋นฟานซีดเผือด อดแหงนมองไปยังท้องฟ้าไม่ได้

หวังลู่แหงนศีรษะขึ้นเช่นเดียวกัน ท้องฟ้าปลอดโปร่งเย็นสบาย เมฆลอยตัวกระจัดกระจาย แม้กระทั่งนกสักตัวก็ยังไม่มีให้เห็น นั่นทำให้หวังลู่สงสัยว่าไห่อวิ๋นฟานกำลังจ้องมองอะไร?

ไห่อวิ๋นฟานถอนหายใจ “ข้ากำลังดูว่าจะมีพายุหรือไม่ การก้าวลงปากสมุทรก่อนถึงสำนักกระบี่วิญญาณ ต่อให้มีสายฟ้าฟาดกระหน่ำลงมาข้าก็ไม่รู้สึกแปลกใจเลย”

หวังลู่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงหัวเราะดังลั่น “เจ้าชื่อไห่อวิ๋นฟาน? ดี ข้าจะจำเอาไว้ เมื่อไปถึงสำนักแล้วข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

“ดีใจที่ได้ยินเช่นนี้” ไห่อวิ๋นฟานผสานมือเหนืออกอีกครั้ง ขยับขึ้นไปเดินข้างหวังลู่ทันที โดยที่เด็กรับใช้ลดจังหวะถอยลงไปอยู่ด้านหลังอย่างรู้หน้าที่

หวังลู่มิได้ใส่ใจ เขาเดินไปพลางถามไปพลางว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นทายาทรุ่นที่สองของขุนนาง”

“หืม?”

“แสดงว่าตำแหน่งของพ่อเจ้าใหญ่มาก”

“ก็ดีอยู่ เขาคือจักรพรรดิของประเทศอวิ๋นไท่”

“โอ้โห! เช่นนั้นเจ้าก็มีแม่เลี้ยงถึงสามพันคนรึ?”

“…”

“เอ่อ... สรุปแล้วก็คือ เหตุใดเจ้าจึงทิ้งตำแหน่งองค์ชายที่มีอนาคตมาที่นี่?”

ไห่อวิ๋นฟานตอบด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเทียบกับความมหัศจรรย์ของโลกเซียนแล้ว การมีอำนาจในแดนมนุษย์จะไปมีรสชาติอะไร? สำหรับการบำเพ็ญเซียน ด้วยอำนาจของจักรพรรดิอวิ๋นไท่แล้ว การจะส่งข้าไปสำนักทั่วไปนั้นหาใช่เรื่องยากไม่ ในอาณาเขตของอวิ๋นไท่ สำนักมังกรขาวและสำนักเมฆาการุณย์ล้วนเป็นสำนักระดับสี่ของพันธมิตรหมื่นเซียนทั้งสิ้น...” ระหว่างที่พูด รอยยิ้มก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเยาะเย้ย “แต่เมื่อเทียบกับสุดยอดห้าสำนักชั้นนำของพันธมิตรหมื่นเซียนแล้ว รสชาติของสำนักระดับสี่เล็กๆ ก็เหมือนเคี้ยวขี้ผึ้ง ยิ่งไปกว่านั้น...”

อวิ๋นไห่ฟานมองขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ “ทุกวันนี้นอกจากสุดยอดห้าสำนักแล้ว แทบจะไม่มีสำนักใดสามารถแตะต้องสัมผัสเส้นทางเซียนอย่างแท้จริง ในพันธมิตรหมื่นเซียนมีสำนักน้อยใหญ่กว่าหมื่นสำนัก แต่มีเพียงห้าสำนักนี้เท่านั้นที่สามารถเป็นเซียนได้จริง นับตั้งแต่ที่ข้าตัดสินใจว่าจะบำเพ็ญเต๋า แน่นอนว่าต้องเป็นเซียนจริงๆ เท่านั้น มิเช่นนั้นคงไม่ต่างจากการเป็นจักรพรรดิที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย”

หวังลู่กล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้ารู้ไม่น้อยเหมือนกันนะเนี่ย?”

“ในเมื่อข้าเลือกเดินทางสายนี้ ย่อมต้องหาข้อมูลมากเป็นธรรมดา... อีกอย่างข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรเสียหน่อย และผู้ที่มาแสวงหาวาสนาแห่งเซียนที่เขากระบี่วิญญาณ มีใครบ้างที่ไม่เตรียมตัว? มีใครบ้างที่ไม่แข้งขาสั่นด้วยความหวาดกลัว?”

หวังลู่ยิ้มพลางยักไหล่ เขาคิดกับตัวเองในใจว่า ข้าคนหนึ่งล่ะที่ไม่ใช่ ชีวิตอันกล้าหาญที่แม้กระทั่งไปสอบก็ยังไม่เตรียมตัวอย่างเขา เตรียมตัวกับผีสิ

ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ สะพานทองคำลาดชันขึ้น สูงชันยิ่งนัก ทว่ากลับไม่มีใครรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทั้งสองค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าจากด้านหลัง

มองไปยังเด็กหนุ่มสาวที่พวกเขาเดินผ่านมา ไห่อวิ๋นฟานเอ่ยขึ้น “จะว่าไป ก่อนงานชุมนุมคัดเลือกเซียนของเขากระบี่วิญญาณครั้งนี้ ร้อยปีมานี้ทั้งห้าสำนักล้วนไม่เคยเปิดประตูให้กับคนจำนวนมากมายมหาศาลเพียงนี้ และแม้ว่าจะมีงานชุมนุมคัดเลือกเซียน แต่ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย ดังนั้นครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง”

หวังลู่เหลียวมองไปรอบสี่ทิศกล่าวว่า “มีแต่ทายาทขุนนางและองค์ชายจริงๆ ด้วย มากพอจะจัดงานเลี้ยงไห่เทียนเลย”

ไห่อวิ๋นฟานกล่าว “เหอะๆ คนพวกนี้มิได้มีชนชั้นที่สูงและฐานะร่ำรวยเท่านั้น อย่างน้อยที่ข้ารู้ก็คือ มากกว่าแปดส่วนต่างก็มีรากวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกเขามีโอกาสบำเพ็ญเซียน”

“อะไรนะ!?”

เด็กรับใช้หวังจงที่ตามหลังอยู่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ท่านรู้ได้อย่างไร?”

ไห่อวิ๋นฟานเหลียวมองแวบหนึ่งแล้วยิ้มตอบกลับไปว่า “อย่าดูถูกโอรสแห่งจักรพรรดิอวิ๋นไท่อย่างข้าจนเกินไป ข้าสามารถเรียกชื่อคนส่วนใหญ่ในที่นี้ได้... อีกประการ หากไม่มีปัญญาความสามารถเลยสักนิด ใครจะกล้ามาเขากระบี่วิญญาณกัน? ในสุดยอดห้าสำนัก สำนักกระบี่วิญญาณและสำนักเซียนคุนหลุนถือเป็นสำนักเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุด นอกจากนี้สำนักกระบี่วิญญาณยังมีทิฐิดื้อดึงยิ่งกว่าสำนักเซียนคุนหลุน ดังนั้นจนทุกวันนี้ จึงยังไม่เคยมีรากวิญญาณเทียมในสำนักเลย คนธรรมดาเลือกปีนป่ายขึ้นเขามิใช่ความอัปยศน่าอับอายที่ตนเองสร้างขึ้นรึ?”

ในระหว่างที่ไห่อวิ๋นฟานพูดอยู่นั้น หวังลู่ไม่ได้มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าเมื่อนึกถึงรากวิญญาณเทียมและสิ่งต่างๆ ในห่อสัมภาระที่ตนแบกอยู่ สีหน้าของเด็กรับใช้กลับดูย่ำแย่เหลือคณา

รอยยิ้มของไห่อวิ๋นฟานค่อยๆ จางหาย “แต่ว่าไปแล้ว งานชุมนุมคัดเลือกเซียนครั้งนี้ สำนักกระบี่วิญญาณต้องการคนที่มีอายุไม่เกินสิบสองปีเท่านั้น แต่กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องรากวิญญาณเลย หรือว่าความคิดของพวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว? หรือสองส่วนที่เหลือในหนึ่งพันคนเหล่านั้นต้องมาเสี่ยงดวงกันเอง....” เขานิ่งครู่หนึ่ง “ข้าคิดว่าไม่มีหวังแน่นอน”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ทั้งสามก็เดินอยู่บนสะพานทองคำเป็นเวลานานมากแล้ว หมอกรอบตัวหนาทึบขึ้น เมืองธาราวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังคล้ายถูกย่อส่วนลงกลายเป็นกล่องกระดาษขนาดน้อยใหญ่ เด็กรับใช้รีบเดินจ้ำอ้าวตามหลังทั้งสองอย่างกระชั้นชิด ไม่กล้าหันกลับไปมองเบื้องหลัง

แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่อาจมองเห็นปลายทางของสะพานทองคำได้ เบื้องหน้าถูกปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆรำไร รอบกายมีเด็กหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยที่ใบหน้าปรากฏแววอิดโรยหยุดพักระหว่างทางเป็นระยะ กว่าจะรู้ตัวพวกเขาก็เดินนำอยู่หน้าขบวนแล้ว

หวังลู่จิ๊ปากติดต่อกันหลายครั้ง เอ่ยอย่างดูหมิ่น “องค์ชายอย่างพวกเจ้าช่างไม่มีความอดทนเสียจริง เพิ่งเดินได้แค่นี้ก็หมดแรงเสียแล้ว อายุยังน้อยแต่ร่างกายคงหมดไปกับสุราและผู้หญิงสินะ”

แม้ว่าจะเป็นคำพูดตลกที่พูดกันเป็นปกติ ทว่าเมื่อได้ฟังแล้วไห่อวิ๋นฟานก็ตะลึงลาน อ้าปากพะงาบแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

หากแต่เด็กรับใช้หวังจงบ่นมาจากด้านหลัง “คุณชาย ทางเส้นนี้เดินแล้วรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ ข้าเริ่มไม่ไหวแล้ว”

หวังลู่คิ้วขมวด “ข้าวที่เจ้ากินก็มาก เนื้อและปลาไม่เคยขาด เหตุใดจึงทำตัวไม่ได้เรื่องเหมือนขยะไร้ประโยชน์? กะ

อีแค่ให้เจ้าแบกกล่องข้าวเพิ่มกล่องเดียว ต้องบ่นถึงเพียงนี้รึ?”

หวังจงรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง “มิใช่เช่นนั้น ข้ารู้สึกว่าถนนเส้นนี้แปลกเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เดินไกลขนาดนั้น แต่กลับรู้สึกเหนื่อยจนแทบหายใจไม่ออก...”

“เช่นนั้นก็หายใจทางผิวหนังซะสิ... ช่างเถอะ ส่งสัมภาระมาให้ข้า เจ้าเดินตัวเปล่าไปเลย”

หวังลู่ถอนหายใจก่อนรับกล่องข้าวและสัมภาระต่างๆ บนหลังของหวังจงขึ้นมาแบกโดยไม่ได้รู้สึกลำบากยากเย็นเลยสักนิด

“แปลกจริง ไฉนข้าจึงรู้สึกสบายกว่าเดินบนพื้นเรียบเสียอีก?”

“คุณชาย ท่านมหัศจรรย์ที่สุดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...”

ขณะที่สองนายบ่าวกำลังเดินไปด้วยพูดคุยกันไปด้วยอยู่นั้น พวกเขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่าสีหน้าของไห่อวิ๋นฟานเต็มไปด้วยความเลื่อมใส

เมื่อไม่มีสัมภาระ หวังจงรู้สึกตัวเบาขึ้นมากโข เดินตามฝีเท้าของคุณชายได้ทันอีกครั้ง เดินไปนานเท่าใดมิทราบได้ ขณะนี้รอบทิศเต็มไปด้วยม่านทะเลหมอก กระทั่งประกายรัศมีเรืองรองของสะพานทองก็ยังถูกบดบังไปหลายส่วน ทั้งๆ ที่ทั้งสามเดินอยู่กลางสะพาน แต่กลับไม่แม้แต่มองเห็นขอบของสะพานทองคำได้ ผู้คนจำนวนมากถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังเดินอยู่ด้านหน้า แต่ดูแล้วก็เหมือนจะเหนื่อยหอบไม่ต่างกัน

ในเวลานั้นเอง แม้แต่หวังลู่ก็ยังรู้สึกว่าเริ่มมีปัญหา “หรือแท้ที่จริงนี่เป็นถนนดูดน้ำวิสุทธิ์? คนที่เสียบริสุทธิ์แล้ว ยิ่งเดินก็จะยิ่งรู้สึกเหนื่อย? จะว่าไปหวังจงเจ้าเสียบริสุทธิ์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ข้าเปล่านะ!”

“แล้วทำไมเหงื่อจึงแตกพลั่กขนาดนี้”

“ข้า...”

“เสียไปแล้วจริงๆ สินะ หวังจงเจ้านี่ใช้ได้จริงๆ”

เด็กรับใช้แทบจะทรุดเข่า “คุณชายได้โปรดอย่าพูดอีกเลย...”

ไห่อวิ๋นฟานมองไปยังทั้งสองด้วยความขบขันแล้วกล่าวกับหวังลู่ว่า “เจ้าและเด็กรับใช้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย เดินมากระทั่งถึงตอนนี้”

“เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าไม่ธรรมดา? คนชนบทถ้าแม้แต่เขายังขึ้นไม่ไหว ก็ไม่ต่างจากคนโง่เง่า อีกอย่างเจ้าคนนี้เป็นเด็กรับใช้ แต่สัมภาระกลับต้องให้คุณชายแบก สรุปแล้วใครคือคุณชาย?”

ไห่อวิ๋นฟานสั่นศีรษะ “มาตรฐานของเจ้าสูงเกินไปแล้ว... เอาเถอะ ข้าดีใจมากที่ได้เดินทางร่วมกับพวกเจ้า แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ดังนั้นพวกเราแยกกันตรงนี้เถอะ”

“เอ๋! เกิดอะไรขึ้น?”

หวังลู่เบิกตากว้าง รู้สึกผิดหวัง ตั้งแต่ได้พูดคุยสนทนามาตลอดทาง คนที่สนุกสนานไม่ได้มีเพียงแค่ไห่อวิ๋นฟานคนเดียวเท่านั้น หวังลู่เองอาศัยอยู่ในหมู่บ้านตระกูลหวังกว่าสิบกว่าปี ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้เจอเพื่อนรู้ใจ! ก่อนหน้าที่บอกว่าหลังขึ้นเขาแล้วจะปกป้องเขา ครึ่งหนึ่งคือพูดเล่น แต่อีกครึ่งนั้นพูดจากใจจริง

แม้เขาจะเป็นคนบ้านนอก แต่หวังลู่ไม่เคยวางโอรสจักรพรรดิอย่างไห่อวิ๋นฟานให้เป็นคนนอก

ไห่อวิ๋นฟานโคลงศีรษะให้กับความหวังดีของหวังลู่ แล้วอธิบายว่า “ไม่มีอะไร ข้าเพียงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องขึ้นไปอย่างเข้มแข็งกล้าหาญ ถึงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

หวังลู่ยังคงไม่เข้าใจ

“เอาเถอะไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ สรุปแล้วข้าเจอที่ที่เหมาะสำหรับตัวเองแล้ว ถัดจากนี้...”

ไห่อวิ๋นฟานเดินไปข้างหวังลู่ เอ่ยแผ่วเบา “ระวังเด็กรับใช้ของเจ้าให้ดี แม้ว่าชื่อของเขาจะหมายถึง ‘จงรักภักดี’ แต่ก็ไม่ได้ซื่อสัตย์อย่างที่เจ้าคิด”

ขณะนั้นเองก็มีลมแรงกรรโชกพัดผ่าน หวังลู่ถามขณะที่ยังหลับตาอยู่ว่า “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

แต่เมื่อหันกลับไป ก็ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของไห่อวิ๋นฟาน เมื่อถามหวังจง หวังจงก็แสดงท่าทางประหลาดใจเช่นกัน      สายหมอกทั้งสี่ทิศหนาทึบขึ้น รอบกายเริ่มเลือนรางมองไม่เห็น หวังลู่ลูบคางพลางเอ่ยว่า “หรือว่าจะจากไปพร้อมสายลม หรือว่าเขาบรรลุเซียนแล้ว?”

“หา?”

“เอาล่ะ เดินกันต่อเถอะ… ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปถึงจุดสิ้นสุดเมื่อใด”

——

ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เดินไกลมากนัก

ยังไปไม่ถึงจุดสิ้นสุด แต่ไม่ใช่เพราะร่างกายของหวังลู่หมดแรงไร้กำลัง แต่เป็นเด็กรับใช้ที่เดินต่อไปไม่ไหวต่างหาก

แม้สัมภาระทุกอย่างจะอยู่บนหลังของหวังลู่ ทว่าการเดินอย่างไม่หยุดพักนั้นก็ส่งผลให้กำลังของเด็กรับใช้ลดลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ล้มลงไปกองกับพื้นแทบจะลุกไม่ขึ้น

“ข้าว่า เจ้า...”

เด็กรับใช้ไม่รอให้หวังลู่เปิดปาก ก็รีบพูดขึ้นทันที “คุณชาย ท่านเดินไปเองได้หรือไม่? หวังจงไร้ความสามารถ ส่งท่านได้เพียงเท่านี้”

“ข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าตามมา ตอนนี้มาทำหน้าตาน่าสงสาร...” หวังลู่มองไปยังหวังจงที่แทบจะเป็นอัมพาตอย่างเบื่อหน่าย สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา “ช่างเถอะ อย่างไรก็ไม่สามารถทิ้งเจ้าไว้ตรงนี้คนเดียว ข้าพักเป็นเพื่อนเจ้าสักประเดี๋ยวก็ได้ เฮ้อ ดูแล้วด้านหน้าเหลืออีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น... แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าได้ที่หนึ่งแล้วจะมีข้อดีอะไร แต่อย่างน้อยก็คือความสำเร็จล่ะนะ”

หวังจงยิ่งรู้สึกละอายใจ ก้มหน้าไม่กล่าวอะไร

หวังลู่ไม่พูดมาก วางสัมภาระลงบนพื้นแล้วนั่งลง ทันทีที่นั่งลงหมอกทั้งรอบทิศก็ค่อยๆ อันตรธานหายไป ประกายแสงสีทองระยับค่อยๆ ลดแสง ภูเขาเขียวชอุ่มปรากฏขึ้นรอบตัวสองนายบ่าว

หวังลู่อ้าปากค้าง จ้องมองไปยังการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนั้น

“นะ…นี่คือการข้ามมิติหรือ?”

..........................................

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด