ภาค 1 ตอนที่ 7 ศิษย์เช่นนี้ข้าไม่ต้องการ
“ยินดีกับทั้งสอง...”
“เวร!? เจ้าคือปีศาจจากไหน!?”
เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังอย่างฉับพลันทำให้หวังลู่สะดุ้งโหยงตกใจสั่นไปทั้งตัว ดีดตัวลุกขึ้นหันกลับไปมอง ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีน้ำเงินขาวสองคนยืนอยู่ด้านหลังตนตั้งแต่เมื่อไหร่ อายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหก แม้จะสวมชุดคลุมต่างสี ทว่ารูปแบบอาภรณ์กลับเหมือนกับศิษย์พี่น้องทั้งสองตรงสะพานทองคำ น่าจะเป็นศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณ
สีหน้าของศิษย์ทั้งสองเย็นชา หนึ่งในนั้นที่ดูเหมือนจะมีอายุมากกว่าผสานตรงอกแล้วโค้งตัวเล็กน้อยให้กับหวังลู่และเด็กรับใช้ “ข้าคือจางอิง ส่วนนี่คือ หลี่ว์หมิง พวกเราเป็นศิษย์แห่งยอดเขาเสรีของสำนักกระบี่วิญญาณ”
หวังลู่อุทานเสียง ‘อ้อ’
“ขอแสดงความยินดีกับทั้งสองที่เดินข้ามสะพานมาจนถึงจุดนี้ ตามกฎสำนักแล้ว ตอนนี้เจ้าสามารถขึ้นไปบนเขากับพวกเราสองคน และเข้าไปบำเพ็ญที่ยอดเขาเสรี”
“…” หวังลู่ขมวดคิ้ว ไม่ได้กล่าวอะไร
จางอิงก็มิได้เร่งเร้า รอการตอบรับของหวังลู่อย่างเงียบๆ
อึดใจต่อมา หวังลู่ยังคงนิ่งขรึม ทว่าเด็กรับใช้กลับเอ่ยเสียงเบาว่า “เซียนท่านนี้ ท่านหมายความว่า... พวกเรา ดะ...ได้รับการยอมรับจากสำนักแล้วหรือ?”
จางอิงโคลงศีรษะ “ใช่ ถูกต้องแล้ว”
หลี่ว์หมิงเสริมว่า “สะพานทองคำแห่งการบรรลุเซียนเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักสร้างขึ้นมาด้วยสองมือของตัวเองเพื่อใช้พิจารณาคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญเซียน และคุณสมบัติดีเท่าไหร่ก็จะเดินบนสะพานได้ไกลเท่านั้น ดังนั้นการที่สามารถเดินมาไกลถึงตรงนี้ นั่นก็หมายถึงเจ้าทั้งสองมีคุณสมบัติที่จะเข้าสำนักได้”
เด็กรับใช้อึ้งไปครู่หนึ่ง ถามด้วยความตื่นเต้นดีใจ “นะ... นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?”
“จริงแท้แน่นอน”
“คุณชาย! ท่านได้ยินหรือไม่? พวกเราทำสำเร็จแล้ว! สำนักกระบี่วิญญาณรับเราเป็นศิษย์แล้ว!”
ทว่าหวังลู่กลับส่ายศีรษะ “ขออนุญาตถาม แล้วสองท่านก่อนหน้าที่อยู่ตรงสะพานทองคำคือ...?”
สีหน้าของจางอิงปรากฏแววไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย “พวกเขารึ? พวกนั้นเป็นศิษย์จากยอดเขาเร้นลับ”
“ยอดเขาเร้นลับ? ยอดเขาเสรี? ต่างกันอย่างไร?”
สีหน้าของจางอิงเคร่งขรึมลง “เจ้าจะถามมากมายขนาดนี้เพื่ออะไร?”
ทว่าหลี่ว์หมิงกลับพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ศิษย์พี่ นี่มิใช่เรื่องน่าอับอายที่ยากจะยอมรับเสียหน่อย... เมื่อมองจากภายนอก เขากระบี่วิญญาณก็เป็นเพียงภูเขาที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวลูกหนึ่งเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วในนั้นกลับมียอดเขาอีกหลายลูก หนึ่งในนั้นคือยอดเขาเสรี ซึ่งอันที่จริงก็คือสำนักชั้นนอกของสำนักกระบี่วิญญาณ ส่วนยอดเขาเร้นลับเป็นสำนักชั้นใน พวกเราศิษย์พี่น้องทั้งสองไม่อาจเทียบกับศิษย์สองคนนั้นได้”
หวังลู่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าว่าแล้ว สองคนที่สวมชุดขาวดำนั่นดูวางมาดเย่อหยิ่งกว่าพวกท่านที่สวมชุดน้ำเงินขาวมากนัก” แล้วเริ่มสงสัยเล็กน้อย “ทว่า เขากระบี่วิญญาณรับศิษย์ใหม่ แต่อาศัยเพียงสะพานทองคำสะพานนั้นเท่านั้นหรือ? เดินมาถึงตรงนี้ก็สามารถเข้าสำนักชั้นนอกได้ แล้วหลังจากนั้นล่ะ? หากแข็งใจเดินต่อไปจนถึงปลายทางแล้ว จะสามารถอยู่สำนักชั้นในอย่างนั้นหรือ?”
หลี่ว์หมิงตอบกลับว่า “แน่นอนว่าไม่มีทาง การคัดเลือกศิษย์ชั้นในของสำนักกระบี่วิญญาณนั้นเข้มงวดยิ่งยวด ทักษะความสามารถ จิตใจ และวาสนาเซียนต้องอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หากหวังพึ่งเพียงทักษะความสามารถ ต่อให้เป็นรากวิญญาณสวรรค์ก็ไม่อาจเข้าตาผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเร้นลับได้
หวังลู่พึมพำ “เวร”
“หา?”
หวังลู่ยิ้ม “ไม่มีอะไร เช่นนั้น สำหรับผู้มาใหม่อย่างพวกเราแล้ว หากอยากเป็นศิษย์ชั้นในควรทำอย่างไร?”
จางอิงแค่นเสียง “อยากอยู่ยอดเขาเร้นลับรึ? ง่ายมาก โน่น จากตรงนี้เดินตรงไปทางหน้าเรื่อยๆ นั่นแหละยอดเขาเร้นลับ หากเจ้าสามารถเดินจนถึงตรงนั้น ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาต้องรับเจ้าเป็นศิษย์อย่างแน่นอน”
หวังลู่มองไปตามนิ้วของจางอิง บนเส้นทางแคบยาวของเขาเบื้องหน้า ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกตลอดเส้นทาง
“ยังอีกไกลแค่ไหน?”
หลี่ว์หมิงยิ้มกล่าว “นั่นก็ขึ้นอยู่กับวาสนาแล้ว อาจจะไกลมาก หรืออาจจะใกล้เพียงระยะสายตา เส้นทางบรรลุเซียนนั้นไม่มีอะไรแน่นอน”
จางอิงถาม “พวกเจ้าจะเลือกอะไร? จะไปยอดเขาเสรีกับพวกเรา? หรือเดินต่อไป? ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่า หลังจากผ่านหมู่บ้านนี้ไป จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
หวังลู่กล่าว “หมายความว่า หากเลือกเดินต่อไป แสดงว่าเดินแค่ทางเส้นนี้ก็สามารถถึงยอดเขาเร้นลับได้?”
จางอิงยิ้มเยาะ “ถูกต้อง ถ้าไม่เดินไปจนถึงยอดเขาเร้นลับของสำนักกระบี่วิญญาณ เส้นทางบรรลุเซียนก็จบลงตรงนี้ แล้วเจ้าก็กลับดินแดนโลกีย์ของเจ้า ในเมื่อกล้าดูถูกยอดเขาเสรี หากล้มเหลวขึ้นมาก็อย่าได้หวังว่าพวกเราจะรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ แม้ว่ายอดเขาเสรีจะอยู่ชั้นนอก แต่ก็ไม่เคี้ยวซากอ้อยของผู้อื่น”
“เหตุใดต้องกล่าววาจารุนแรงถึงเพียงนี้? ข้ามิได้คิดว่าพวกท่านเป็นขยะปลายแถวจอมเรื่องมากของสำนักกระบี่วิญญาณเสียหน่อย”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!?”
หวังลู่ยักไหล่ “เอาล่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว มิหนำซ้ำยังได้กระจ่างแจ้งว่าเส้นทางบรรลุเซียนนั้นไม่มีจุดสิ้นสุด ดังนั้น แน่นอนว่าต้องฮึดเดินไปให้ถึงจนสุดทาง”
“เฮอะ! อย่ามานึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน... และอย่าคิดว่าการที่ยอดเขาเสรีเป็นสำนักชั้นนอกแล้วจะด้อยกว่าผู้อื่น หากเทียบกันแล้วศิษย์พี่ใหญ่แห่งยอดเขาเสรีอย่างข้าก็ไม่ต่างจากศิษย์ผู้สืบทอดแม้แต่น้อย พวกเจ้าในหนึ่งพันคนตรงนี้
สามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ทะนุถนอมชะตาวาสนาของตัวเองให้ดีก็แล้วกัน”
ขณะนั้นเอง เด็กรับใช้ก็พยักหน้าเห็นด้วย “คุณชายเรา...ไปที่ยอดเขาเสรีเสียเลยดีหรือไม่?”
“เจ้าอยากก็ไปเอง เหตุใดต้องวิงวอนร้องถามความเห็นข้า”
“อา...” ใบหน้าของเด็กรับใช้พลันทุกข์ระทม “คุณชาย ข้าได้รับมอบหมายจากนายท่านให้มาดูแลท่าน จะทิ้งท่านไว้คนเดียวได้อย่างไร...”
หวังลู่หัวเราะ จ้องมองไปยังใบหน้ายับยู่ยี่ของเด็กรับใช้ อ้าปากจะเอ่ย แต่สุดท้ายก็ทำเพียงส่ายศีรษะ “สรุปแล้วข้าจะเดินต่อ อยากตามก็ตาม”
จางอิงเหลือบมองทั้งสองแวบหนึ่ง
“พวกเจ้าทั้งสองอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน ข้าขอเตือนไว้ก่อน ระยะทางอีกครึ่งหนึ่งของเส้นทางบรรลุเซียนนั้นยากลำบากเกินกว่าที่เจ้าจินตนาการ กว่าสามร้อยปีมานี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถพิชิตและผ่านด่านไปได้ งานชุมนุมคัดเลือกเซียนที่ผ่านมา ศิษย์ที่เข้ามาก็ล้วนแล้วแต่ยินดีที่จะหยุดอยู่ที่ยอดเขาเสรี วิธีที่สำนักกระบี่วิญญาณใช้คัดเลือกศิษย์ชั้นในนั้น คือผู้อาวุโสแห่งสำนักลงเขาแสวงหาผู้มีชะตาวาสนาเซียน อาจจะเป็นสิบปี หรืออาจจะร้อยปีจึงจะสามารถหายอดอ่อนต้นกล้าที่ดีและเหมาะสมเจอ ทว่าเส้นทางสู่การเป็นเซียนนั้น เดินเท่าไหร่ก็ไม่มีทางจบ”
“แต่นี่ไม่สำคัญ ข้าเองเป็นนักผจญภัยมืออาชีพมาหลายทศวรรษ สมญานามคือผู้บุกเบิกการบรรลุเซียน ข้าสามารถรับมือกับภัยอันตรายและอุปสรรคที่ยากจะจัดการเหล่านี้ได้”
จางอิงส่ายศีรษะกล่าวว่า “...เฮอะ! สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดหมดแล้ว หลังจากนี้ก็แล้วแต่เจ้าแล้วกัน!”
หวังลู่หัวเราะร่า แล้วโบกมือลาหลี่ว์หมิง “เช่นนั้นแล้ว ศิษย์พี่หลี่ว์หมิง ข้าหวังจะได้พบกันอีกครั้งบนเขานะ”
หลี่ว์หมิงก็หัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน “ก่อนหน้านี้พวกเราเจอเด็กใหม่หลายคน แต่กลับไม่มีใครให้ความรู้สึกสนิทสนมเหมือนรู้จักกันมานานทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรกเช่นเจ้า ซึ่งก็ดี ฉะนั้นข้าจะเตือนเจ้าอีกข้อ เส้นทางบรรลุเซียนเส้นนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ต้นไม้ทุกต้นและใบหญ้าทุกใบล้วนมีเหตุและผล และสัมพันธ์กับวาสนาของเจ้า”
“…นี่ท่านกำลังเสียดสีพวกเจ้าชู้หว่านเสน่ห์ไปทั่วหรือ?”
“ฮ่าๆ หมายถึงอะไรนั้นไปหาคำตอบเอาเอง พูดมากกว่านี้ข้าต้องถูกอาจารย์ลงโทษแน่ ขอให้เจ้าโชคดี!”
จางอิงดึงศิษย์น้อง “พอได้แล้ว พูดมากกว่านี้ข้าได้ลำบากแน่... อีกกลุ่มเหมือนจะตามมาแล้ว เตรียมต้อนรับคนเถอะ”
ทั้งสองพูดพลางยื่นมือออกไปแหวกม่านหมอกแล้วเหาะทะยานออกจากเขา ค่อยๆ หายลับไป
ในหุบเขา หวังลู่และหวังจงได้แต่มองหน้ากันไปมา ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร
“คุณชาย ท่านยอมแพ้ไปอย่างนี้มันจะดีจริงๆ หรือ?”
“ไม่ดีแน่นอน ใครบอกว่าข้ายอมแพ้!? ในช่วงสามร้อยปีมานี้ ความยากลำบากของแต่ละด่านหลังจากยอดเขาเสรีทำให้บรรดาผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศในใต้หล้ายอมแพ้มานักต่อนักแล้ว ไม่ไปดูให้เห็นกับตา เจ้าพอใจและสามารถนอนตายตาหลับหรือ?”
ในที่สุดเด็กรับใช้ก็พยักหน้ารับอย่างจำยอม “พอใจ... ย่อมต้องพอใจอยู่แล้ว! คุณชายท่านสามารถเดินมาจนถึงจุดนี้ ข้าไม่เคยนึกฝันมาก่อน เมื่อครั้งที่ท่านบอกว่าจะเข้าร่วมงานชุมนุมคัดเลือกเซียนของสำนักกระบี่วิญญาณ คนในหมู่บ้านต่างคิดว่าท่านเป็นคนเสียสติ ก่อนออกจากบ้านนายท่านยังกำชับข้าว่า หากถูกคัดออก สามารถไปเดินเล่นในเมืองข้างๆ กับคุณชายได้ แต่ใครจะคิดว่าคุณชายจะ...จะเดินมาถึงจุดนี้จริงๆ”
“...จุดไหน? เส้นทางบรรลุเซียนเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”
มองไปยังแววตาไม่เข้าใจของเด็กรับใช้ หวังลู่เริ่มอธิบายแผนการของตนให้แก่เขา
“ประเด็นสำคัญมีอยู่ด้วยกันสามประการ หนึ่งคือสิ่งที่ศิษย์สองพี่น้องชุดสีน้ำเงินขาวกล่าวไว้เมื่อครู่ บททดสอบบนเส้นทางบรรลุเซียนนั้นมีปัจจัยหลายข้อ นั่นคือทักษะความสามารถ จิตใจ และวาสนานเซียน ซึ่งขณะนี้เราผ่านเพียงด่านทักษะความสามารถเท่านั้น ไม่สิ... นี่ยังมิใช่การทดสอบอย่างจริงจังด้วยซ้ำ เป็นเพียงการย่างเข้าสู่ธรณีประตูที่บังคับให้ต้องเข้าเท่านั้น เจ้ายังมีหน้าบอกว่า เดินมาถึงจุดนี้รึ?”
“แต่ว่า...”
“แต่ว่ายอดเขาเสรีเปิดประตูต้อนรับแล้ว? อย่าซื่อบื้อไปหน่อยเลย และข้อที่สอง ศิษย์ชุดน้ำเงินขาวผู้นั้นเพิ่งบอกไปหยกๆ ว่า ศิษย์พี่ของยอดเขาเสรีกับศิษย์ผู้สืบทอดก็มิได้ต่างอะไรกันมากนัก แม้ว่าจะดูโอ้อวดเกินจริงไปหน่อย ทว่าเขาน่าจะเป็นบุคคลที่เก่งกาจพอตัว แต่เหตุใดศิษย์พี่ที่ยอดเยี่ยมเพียงนี้จึงยังอยู่ในยอดเขาเสรี? ไฉนจึงมิใช่ยอดเขาเร้นลับ?”
“พะ...เพราะอะไร...?”
“ก็เหมือนคนพวกนั้นที่คิดว่าตัวเองแน่ที่เดินมาจนถึงที่นี่อย่างไรล่ะ คิดว่าการได้อยู่ที่ยอดเขาเสรีก็ถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดแล้ว... เพราะเพดานความสามารถของพวกเขามีถึงแค่ระดับนี้อย่างไร หากเจ้าเลือกระดับที่ง่าย ก็อย่าบ่นโอดครวญว่าตัวเองไม่สามารถคลายปมของเนื้อเรื่องที่ถูกซ่อนไว้”
“หา?”
“ช่างเถอะ บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ ข้อที่สาม...”
“หวังลู่เงยหน้าขึ้น จ้องมองไปยังม่านหมอกอย่างลึกล้ำยากจะเข้าใจ ทว่าม่านตากลับมีเปลวไฟกำลังลุกโชติช่วง”
“ในฐานะที่เป็นนักวางแผน ข้าต้องมีความคิดขจัดชั้นเมฆเพื่อเปิดฟ้าให้สว่าง และใช้ปัญญาความสามารถพิชิตอุปสรรคและแก้ปัญหาให้ได้ทั้งหมด!”
“หา!?”
“... สรุปแล้วก็คือข้าจะเดินหน้าต่อไป ส่วนจะตามหรือไม่นั้นก็แล้วแต่เจ้า แต่อย่างไรก็ตามศิษย์ชุดน้ำเงินขาวสองคนนั้นก็จากไปแล้ว ดังนั้นอยากกลับก็กลับไม่ได้แล้วล่ะ ฮ่าๆ!”
หวังลู่พูดพลางยกสัมภาระขึ้นแบก ย่างสามขุมไปยังเบื้องหน้า
“อีกประการหนึ่ง...หวังจงเอ๋ย หนทางต่อจากนี้ยาวไกลยิ่งนัก เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”
หวังจงที่เริ่มอ่อนแรงถามขึ้น “ยาวไกลแค่ไหนหรือ?”
“หากใช้หนังสือนิทานเป็นตัวเปรียบเทียบ ก็อาจจะประมาณเจ็ดถึงแปดหมื่นตัวอักษรกระมัง”
“นี่เป็น... การเดินทางที่ยาวนานจริงๆ ด้วย”
——
“หนทางสู่ยอดเขาเร้นลับนั้น มิได้เดินสบายเหมือนสะพานทองคำ”
บนทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ไม่มีจุดสิ้นสุด ชายชราผมขาวผู้หนึ่งลูบไปที่เคราแล้วกล่าวพึมพำ
“งานชุมนุมวันนี้ถูกกำหนดโดยศิษย์พี่เจ้าสำนักเมื่อสิบสองปีก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเด็กหนุ่มสาวผู้ปราดเปรื่องเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นมากมายเพียงนี้ นับว่ายอดเยี่ยมนัก นอกจากนี้ แค่ที่เดินถึงสี่ในห้าส่วนของระยะทางก็ปาเข้าไปเกือบร้อยคน แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะที่จะเข้ามาสู่ยอดเขาเสรีโดยอาศัยเพียงพื้นฐานรากวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น”
ชายหนุ่มผู้สวมชุดคลุมสีดำขาวที่ยืนข้างๆ ถามด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าท่านอาจารย์จะมีคนที่หมายตาไว้แล้ว?”
ชายชราตอบกลับทันที “เหอะ! เดินข้ามสะพานทองคำได้ บอกได้เพียงว่าคุณภาพของรากวิญญาณเหมาะสมหรือไม่เท่านั้น การจะเข้ามาอยู่ที่ยอดเขาเร้นลับมิได้ง่ายดายขนาดนั้น สุดท้ายแล้วในหนึ่งร้อยคนนี้ อาจจะเหลือเพียงไม่ถึงสิบคนที่ทำสำเร็จ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
“โธ่ ไม่เห็นจำเป็นต้องเข้มงวดขนาดนั้นเลย”
บนยอดเมฆ หนึ่งชราและสองหนุ่มต่างสะดุ้งตกใจ ขณะที่กำลังหันศีรษะไปนั้น ความรู้สึกตื่นกลัวก็ยิ่งทวีขึ้น
“ศะ...ศิษย์พี่เจ้าสำนัก!?”
ผู้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหลัง คือผู้มีอำนาจสูงสูดแห่งสำนักกระบี่วิญญาณ...ปรมาจารย์แห่งเต๋า ‘เฟิงอิ๋น’
“โอ๊ะ ไม่ต้องตื่นตกใจขนาดนี้” ปรมาจารย์เฟิงอิ๋น โบกมือไปมาพลางหัวเราะ “ข้าลองมาดูเฉยๆ หลังสะพานทองคำนั่นก็คือยอดเขาเร้นลับของศิษย์น้องหลิวเสี่ยน นั่นเป็นกระดูกสันหลังของสำนักเราเชียวนะ”
สีหน้าของหลิวเสี่ยนเคร่งขรึมลง ก้มหัวลงแล้วตอบกลับไปว่า “ศิษย์พี่วางใจมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ข้ารับผิดชอบ หลิวเสี่ยนมิกล้าปล่อยปละละเลย และไม่อาจทำให้ท่านผิดหวัง”
“หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว พอเห็นความรุ่งเรืองของยอดเขาเร้นลับในวันนี้ ยากนักที่จะจินตนาการถึงสภาพเมื่อหลายปีก่อน... ทว่าอย่างไรก็ตามในเมื่อเราตั้งใจจัดงานชุมนุมครั้งนี้ขึ้นมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องจากผู้มาใหม่มากเกินไป หากมีคนที่เหมาะสม ก็รับเข้ามาเถิด”
หลิวเสี่ยนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ศิษย์พี่ นั่นมันผิดกฎ”
“โธ่ กฎนั้นล้วนตั้งขึ้นมาจากสภาวะและสถานการณ์ทั้งนั้น จำนวนศิษย์ในสำนักกระบี่วิญญาณมีน้อยมานานเกินไป เจ้าไม่รู้สึกอยากให้ที่นี่ครึกครื้นบ้างหรือ?”
“บอกตามตรง ข้าไม่รู้สึกอยากเลยแม้แต่นิด มีศิษย์น้องห้าเพียงคนเดียวก็ครึกครื้นพอแล้ว”
“…อย่าพูดถึงเรื่องของนางเลย ข้าขอร้องให้นางช่วยวางแผนงานชุมนุมคัดเลือกเซียน สุดท้ายนางทำพังยับเยินสร้างความอลหม่านไปหมด หลายวันมานี้หัวข้าแทบจะระเบิดเป็นจุณ... เอ๋? ข้าเหมือนจะคุ้นๆ เด็กคนนี้ ทักษะความสามารถไม่เลว ควรค่าต่อการจับตามอง”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ท่านปรมาจารย์ก็ชี้ไปที่ชั้นเมฆ สองร่างเล็กๆ ที่สร้างมาจากเมฆสองก้อนพลันมีชีวิตขึ้นมา ทั้งสองคือนายบ่าวจากหมู่บ้านตระกูลหวัง
หวังเสี่ยนประหลาดใจยิ่ง “ศิษย์พี่ ท่านประทับใจพวกเขาอย่างนั้นหรือ? อืม... ผลงานของสองคนนี้บนสะพานทองคำไม่เลวจริงๆ”
“หึ สะพานทองคำเป็นของเล่นที่สร้างขึ้นมาเล่นๆ เท่านั้น อย่าจริงจังกับมันมากเกินไป”
“ศิษย์พี่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว สะพานทองคำแห่งการบรรลุเซียนสามารถควบคุมปริมาณปราณจิตวิญญาณประจำตัวที่ติดตัวมาแต่กำเนิดได้อย่างแม่นยำ คุณภาพของรากวิญญาณสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับพลังเสริมจากปราณจิตวิญญาณได้ง่ายดายขึ้นเท่านั้น ทำให้สามารถเดินบนสะพานได้อย่างสบาย แต่ว่ายิ่งเดินไกลแรงต้านก็จะทวีเพิ่มขึ้นเช่นกัน เมื่ออัตราแรงต้านและแรงเสริมเท่ากัน เมื่อนั้นก็จะสามารถเห็นคุณภาพของรากวิญญาณได้... แม้ว่าร่างกายจะถูกใช้งานอย่างหนักจนหมดกำลัง ทว่าก็ยังจะมีเรี่ยวแรงเดินต่อไปได้ แต่หากต้องใช้พละกำลังอย่างหนักเมื่ออยู่บนสะพานทองคำแล้วไซร้ หนทางหลังจากนั้นก็คงไม่จำเป็นต้องเดินต่อไปแล้ว แม้ว่าตามหลักแล้วดูเหมือนจะง่าย แต่การออกแบบกลับแยบยลและฉลาดหลักแหลมยิ่ง เครื่องทดสอบที่ใช้ประเมินคุณสมบัติในด่านแรกดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นเมื่อดูจากผลงานของสองคนนี้แล้ว ถูกแล้วที่ศิษย์พี่จะจับตามองเป็นพิเศษ”
“อ้อ... อันที่จริงมิใช่ข้าหรอก เป็นเสี่ยวหลิงเอ๋อร์สนใจหนึ่งในสองคนนี้ต่างหาก... เห็นว่าสามารถปลดโซ่ภารกิจสุดแสนพิสดารนั่นได้ สำหรับทักษะความสามารถ น่าจะอยู่ในระดับสามหรือสี่ ซึ่งนับว่าไม่เลวทีเดียว”
“ไม่เป็นไร ก็ทำตามกฎของยอดเขาเร้นลับไป จะสามารถเดินไปถึงจุดไหนก็อยู่ที่ปัญญาและความสามารถของเขา...”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ ก็ปรากฏสัญลักษณ์กระบี่เปลวเพลิงที่แทบจะเผาหนวดของเจ้าสำนัก
“เอ๊ะ เอ๊ะ!? ใครกัน? จู่ๆ ก็ส่งยันต์สวรรค์กระบี่วิญญาณมาหาข้า... หนอย ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง! มีอะไร? กลียุคมาเยือน?! เผ่ามารบุกหรือยัง!? อะไรนะ? ค่าทำงานล่วงเวลา? แค่จัดงานชุมนุมคัดเลือกเซียนเจ้ายังจะเอาค่าทำงานล่วงเวลา เจ้ามันไร้ยางอาย! เอาเถอะ มีอะไรเอาไว้ค่อยคุยตอนเจอหน้า! โอย... น่าโมโหจริงๆ แก่นวิญญาณแทบจะระเบิดเป็นจุณ...”
ปรมาจารย์แห่งเต๋าเฟิงอิ๋นใช้เวลาหลายอึดใจในการระงับเพลิงโทสะ จากนั้นหันกลับไปจ้องมองผืนนภาสีครามสดใส เมฆหมอกที่โอบล้อมเขาอยู่ก็ถูกซัดกระจัดกระจายไปทั่วผืนฟ้า!
สีหน้าของเด็กหนุ่มผู้บำเพ็ญตนแห่งกระบี่วิญญาณซีดเผือด ทว่าหลิวเสี่ยนกลับกล่าวอย่างนับถือ “ตบะของเจ้าสำนักนั้นไม่มีใครสามารถเทียบได้ ใช้พลังเพียงน้อยนิดก็สามารถแหวกม่านเมฆหมอกของยอดเขาเร้นลับปลิวกระจัดกระจาย... ศิษย์น้องนับถืออย่างสุดซึ้ง”
“แหวกเพียงชั้นแรกเท่านั้น แต่ตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณ ในแผ่นดินเก้าแคว้นอันไพศาลแทบจะนับเป็นอะไรไม่ได้ เหอะๆ ตอนไปร่วมประชุมที่พันธมิตรหมื่นเซียนเมื่อสิบปีก่อน สมาชิกหลายคนอยู่ในระดับขั้นหลอมรวมแล้วนะ”
“หึ พวกเขาแสดงให้ชมหรือไม่?”
“แสดงห่าอะไร ข้าหลับตั้งแต่เริ่มประชุมจนจบ... ช่างเถอะ ไม่พูดมากแล้ว ข้าต้องไปก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นหากศิษย์น้องหญิงเผายันต์สวรรค์ให้ข้าอีกหลายใบล่ะก็ ข้าต้องล้มละลายแน่... ศิษย์น้อง เรื่องงานชุมนุมคัดเลือกเซียนคงต้องฝากเจ้าดูแล ไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าข้าพูดอะไรไป ทำตามกฎเถอะ”
พูดจบเจ้าสำนักก็ทะยานออกไป หลิวเสี่ยนถอนหายใจ มองทะลุผ่านกลุ่มเมฆหนาทึบไปยังสองนายบ่าวที่กำลังเดินอยู่ในหุบเขา
เจ้าสำนักและเสี่ยวหลิงเอ๋อร์เห็นอะไร...? ถึงเจ้าสำนักจะบอกว่าทั้งหมดให้เป็นไปตามกฎ ทว่าการเฝ้าจับตามองเช่นนี้ก็ละเมิดกฎไปแล้วนี่นา
“อย่างไรก็จับตาดูสองคนนั้นเป็นพิเศษสักหน่อย หวังว่าจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง... ต่อจากนั้นหรือ เราก็เตรียมตัวลุยงานของเราเถอะ!”
ผู้บำเพ็ญหนุ่มชุดขาวดำพยักหน้าแล้วเดินออกไป....
“โอ๊ะ! จริงสิ อย่าลืมบอกบรรดาศิษย์น้องทั้งหลายว่าให้พกก้อนศิลาวิญญาณและคัมภีร์กระบี่ไว้ด้วย... เฮ้อ พกไพ่นกกระจอกด้วยก็ดี ดูเหมือนว่างานชุมนุมคัดเลือกเซียนครั้งนี้คงต้องใช้เวลาพักใหญ่ทีเดียว เพราะฉะนั้น อย่าทำให้เราต้องเบื่อตายเลย...”
“เอ่อ...ท่านอาจารย์?”
“หุๆ อย่าลืมเรียกอาจารย์อาโจวหมิงของเจ้ามาด้วย ครั้งที่แล้วยอดเขากระจ่างชนะพวกเราและได้อาวุธวิเศษไปมากกว่าสิบชิ้น ครั้งนี้อาจารย์ของเจ้าจะชิงกลับมาเอง”
“…อาจารย์?”
.....................................................