ตอนที่แล้วภาค 1 ตอนที่ 4  หัวไชเท้าของเถ้าแก่เนี้ย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 1 ตอนที่ 6 ไห่น้อย

ภาค 1 ตอนที่ 5  การเอาคืนของศิษย์น้อง


ชั่วพริบตาเดียวหกวันก็ผ่านพ้นไป งานชุมนุมคัดเลือกเซียนใกล้เข้ามาแล้ว

ช่วงเวลาหกวันที่ผ่านมา หมู่บ้านธาราวิญญาณมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน เรื่องราวแปลกประหลาดของเด็กหนุ่มชนบทบางคนที่ประสบพบเจอในโรงเตี๊ยมแพร่กระจายไปทั่วเมือง หัวไชเท้าทองคำของเถ้าแก่เนี้ยกระฉ่อนขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มสาวผู้มีพรสวรรค์ที่มาจากทุกสารทิศดินแดนต่างก็เริ่มแสวงหาวาสนาแห่งเซียนภายในหมู่บ้านอย่างพร้อมเพียงมิได้นัดหมาย และเมื่อวันเวลาผ่านไปหกวัน จะมีกี่คนที่พบวาสนาแห่งเซียน ที่สุดแล้วก็มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้

สำหรับคนแรกที่ริเริ่มกระทำเรื่องราวเลวร้ายผู้นั้น หกวันนั้นเขาก็พักอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลหรูอย่างสบายใจ โดยที่ไม่แม้แต่จะเปิดประตูออกจากห้อง

การปลดโซ่ภารกิจตรงประตูเมืองได้สำเร็จล้วนเกิดจากความสนใจอยากรู้อยากเห็นของเขา และหวังลู่ก็ไม่ได้วางความหวังของตัวเองไว้กับชะตาวาสนาอะไรนั่นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ในเมื่อมีรากวิญญาณสวรรค์ เหตุใดจึงยังต้องการโชคชะตาวาสนา?

แต่ถ้าพูดในอีกมุมหนึ่ง หลังจากที่นำเงินติดตัวทั้งหมดแลกกับสุราอาหารกล่องหนึ่งแล้ว หวังลู่ผู้มีเงินติดตัวเพียงหนึ่งอีแปะก็ไม่มีทางเลือกอะไรอีก นอกเสียจากว่าเขาจะยอมไปล้างจานให้เถ้าแก่เนี้ย

เช้าวันรุ่งขึ้น หวังลู่ถูกปลุกจากเสียงเอะอะโวยวายด้านนอก

“งานชุมนุมคัดเลือกเซียนเริ่มต้นขึ้นแล้ว!”

“สะพานทองกำลังทอดตัวลงมาแล้ว!”

ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ตะโกนแหกปากร้อง เสียงนั้นค่อยๆ เคลื่อนไปยังนอกเมืองช้าๆ

หวังลู่ลืมตาขึ้น แสงตะวันจากนอกหน้าต่างสาดส่องแยงตา เขาถอนหายใจแล้วปลุกเด็กรับใช้ ก่อนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกเดินทาง

เมื่อไปถึงหน้าโต๊ะจ่ายเงิน ไม่รู้เพราะสาเหตุอันใด เถ้าแก่เนี้ยจึงหัวเราะไม่หยุด จนกระทั่งเมื่อหวังลู่คืนกล่องข้าวให้นาง เถ้าแก่เนี้ยก็โบกมือแล้วกล่าวอย่างใจกว้างว่า “มันไม่มีค่าอะไร ข้ามอบให้เจ้าก็แล้วกัน”

หวังลู่อยากถามเหลือเกิน ในเมื่อใจกว้างถึงเพียงนี้แล้ว คืนเงินสามพันห้าร้อยตำลึงให้แก่ข้าได้หรือไม่?

แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้ หวังลู่กำเหรียญทองแดงเก่าๆ เหรียญนั้นในมือ แล้วเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับรอยยิ้มสุกใสเป็นประกายและกล่องข้าวอันหนักอึ้งเบ้อเริ่มเทิ่ม มุ่งบ่ายหน้าตามทุกคนไปยังประตูนอกเมืองที่กำลังเปิดอ้ารออยู่

นอกเมืองธาราวิญญาณ ยอดเขาสูงตระหง่านฟ้าถูกเคลือบทับด้วยสีทองอ่อนๆ จากแสงอาทิตย์  สะพานสีทองอร่ามค่อยๆ ทอดตัวลงมาจากบนฟ้าผ่านกลุ่มเมฆหมอกที่จับก้อนรวมตัวกันอยู่ตลอดทั้งปี ส่วนปลายสะพานอีกฝั่งทอดยาวลึกเข้าไปจนถึงเขากระบี่วิญญาณ ม่านหมอกปกคลุมจนคล้ายว่าสะพานทองคำถูกหั่นออกเหลือเพียงครึ่ง แยกโลกมนุษย์ออกจากดินแดนเทพเซียน

พื้นที่ที่ไม่ได้ใหญ่โตกว้างขวาง บัดนี้เบียดเสียดยัดเยียดไปด้วยผู้คนนับพันนับหมื่น จนคนที่มาทีหลังก็ไม่มีที่ยืน

หวังลู่ที่ตื่นสายติดแหงกอยู่บริเวณถนนที่จะออกจากประตูเมืองไม่สามารถขยับไปไหนได้ ทำได้เพียงเขย่งปลายเท้ามองจากระยะไกลเท่านั้น

โชคดีตรงที่เด็กหนุ่มผู้นี้สายตาดีเยี่ยม จึงสามารถมองเห็นสะพานทองที่กำลังทอดตัวจากกลางนภาลงสู่พื้นดินจากระยะไกลได้อย่างชัดเจน ด้านข้างปรากฏผู้บำเพ็ญหนุ่มในชุดคลุมสีขาวดำสองคน สองเท้าเหยียบบนกระบี่บิน ยืนขนาบสะพานทองคำทั้งสองข้าง

เมื่อมองจากไกลๆ ผู้บำเพ็ญก็มิได้มีสามหัวหกแขน ชายหนุ่มทั้งสองก็เหมือนปุถุชนธรรมดาบนโลกมนุษย์ ไม่มีแสงฉัพพรรณรังสีแผ่ฉายออกมาจากรอบกาย และไม่มีเทพวิหคปักษาสวรรค์เคียงกาย แต่ทว่าคลื่นพลังกลับดูทรงอำนาจยิ่งกว่าจักรพรรดิแห่งดินแดนมนุษย์

เมื่อสะพานทองคำกระทบพื้นดังทุ้มกังวาน ผู้คนนับหมื่นที่เบียดเสียดกันอยู่ก็เงียบสงบลงทันที สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังจุดเดียวกัน ไม่เพียงบรรดาคุณชาย ขณะนี้แม้กระทั่งลูกหลานของตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนก็ยังตกตะลึงพรึงเพริดพูดอะไรไม่ออกกันทั้งสิ้น

ในความเงียบ ผู้บำเพ็ญตนของสำนักกระบี่วิญญาณเอ่ยด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงไพเราะดุจลมแทรกเข้าสู่โสตประสาทของทุกคน “ก่อนอื่น ข้าและศิษย์น้องเป็นตัวแทนท่านอาจารย์ขอต้อนรับผู้เข้าร่วมงานชุมนุมคัดเลือกเซียนของสำนักกระบี่วิญญาณทุกคน”

จากนั้นทั้งสองก็ปรบมือขึ้นเองอย่างสงบเยือกเย็น น่าเสียดายที่คลื่นพลังของผู้บำเพ็ญเซียนเข้มข้นเกินไป ในสภาวะอันกริ่งเกรงนี้จึงไม่มีใครกล้าร่วมปรบมือตาม และบรรยากาศก็เย็นยะเยือกลงทันที

ศิษย์พี่มีท่าทีอึดอัดเล็กน้อย กระแอมเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “ข้าจะไม่พูดมาก เกี่ยวกับเรื่องราวของสำนักกระบี่วิญญาณ ข้าเชื่อว่าก่อนที่ทุกคนจะเดินทางมาหรือกระทั่งช่วงระยะเวลาที่พักอยู่ในเมืองนี้คงได้ยินได้ฟังมามากพอแล้ว ซึ่งข้าจะไม่พูดซ้ำอีก ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่มากกว่านี้ เมื่อถึงจุดที่เหมาะสมพวกเจ้าก็จะรู้เอง และข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะสามารถค้นพบชะตาวาสนาของตัวเองบนเส้นทางบรรลุเซียนเส้นนี้”

ขณะนั้นเอง ในที่สุดก็มีคนเปิดปากถามว่า “งานชุมนุมคัดเลือกเซียนครั้งนี้ แค่ไต่ไปตามทางขึ้นให้ถึงจุดปลายสุดก็ถือว่าสำเร็จแล้วใช่หรือไม่?”

ศิษย์พี่ตอบด้วยรอยยิ้ม “สำหรับข้อนี้ข้าพูดได้เพียงแค่ว่า ขอให้ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่ในการเดินทาง สำหรับปลายทางนั้น ไม่ต้องกังวล”

“เช่นนั้นแล้วต้องไต่ถึงจุดไหนจึงจะหมายความว่าผ่านเกณฑ์ ท่านควรระบุให้ชัดเจนสิ?”

ศิษย์พี่ตอบ “เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง”

“เมื่อถึงเวลา? ตอบเช่นนี้ไม่ดูไร้ความรับผิดชอบไปหน่อยหรือ?”

ศิษย์พี่ยิ้มทว่าไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ทว่าศิษย์น้องกลับตอบอย่างเย็นชา “หากไม่อยากมาก็ไสหัวกลับไปซะ มีใครขอร้องให้เจ้าอยู่?”

ใบหน้าของคนที่สงสัยเมื่อครู่แดงก่ำ แต่ไม่กล้าโต้แย้งอีก

ศิษย์พี่จึงกล่าวอีกครั้ง “ถัดจากนี้ ขอให้ทุกคนเดินขึ้นเขาไปตามสะพานทองคำ โดยปกติแล้วเส้นทางสู่การเป็นเซียนเส้นนี้ไม่มีอันตรายแน่นอน แต่หากเกิดอุบัติเหตุ หรือถูกขังอยู่ที่ใดที่หนึ่งแล้วไปต่อไม่ไหว สามารถขอความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ ศิษย์ร่วมสำนักของพวกเราจะเข้าไปช่วยทันที”

ศิษย์น้องกล่าวเสริมอีกว่า “แต่หากมีคนอยากตายจริงๆ พวกเราก็ยินดีช่วยให้บรรลุสมปรารถนาเช่นกัน”

ศิษย์พี่เอ่ยต่อ “ต้องขออภัยด้วย หลายวันมานี้ศิษย์น้องของข้าอารมณ์ไม่ดี...”

“อารมณ์ข้าดีมาก”

“เจ้าหุบปากก่อน”

“เจ้านั่นแหละที่ควรหุบปาก แค่จับฉลากยังจับได้ใบที่ย่ำแย่ ข้าต้องเหนื่อยวิ่งมาทำเรื่องไร้สาระพรรค์นี้ เจ้ายังมีหน้ามาบอกให้ข้าหุบปาก...”

เมื่อเห็นสายตานับหมื่นคู่จับจ้องมา ศิษย์พี่จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ข้าขอประกาศว่า งานชุมนุมคัดเลือกเซียนได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้!”

กล่าวจบ ศิษย์พี่น้องทั้งสองก็เปิดทางเข้าสะพานทองคำ ทะยานเหาะขึ้นฟ้าทันที

อึดใจต่อมา คลื่นฝูงชนก็เริ่มขยับพลุกพล่านจอแจ บรรดาคุณชายและเด็กรับใช้จากดินแดนต่างๆ เบียดเสียดยัดเยียดกันขึ้นไปบนสะพาน แม้สะพานทองคำจะกว้างนัก ทว่าก็ไม่อาจรองรับผู้คนจำนวนมหาศาลพร้อมกันทีเดียวได้ ทันใดก็มีเสียงแหกปากร้องไห้และโกรธคำรามระเบิดขึ้น ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ คนที่อยู่บนสะพานจำนวนไม่น้อยกรีดร้องอย่างอเนจอนาถเมื่อกระเด็นตกลงมาจากสะพานหลังจากก้าวขึ้นไปได้เพียงสองเก้า ล้มกองระเนระนาดบนพื้น

ศิษย์พี่น้องแห่งหุบเขากระบี่วิญญาณก็ตะลึงลานเช่นเดียวกัน ทั้งสองรีบเหาะลงมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ใช้อาคมประสานมือแหวกฝูงชน ทว่าคนบาดเจ็บที่นอนกลิ้งครวญครางอยู่บนพื้นบัดนี้มีไม่ต่ำกว่าร้อยคน

ศิษย์พี่น้องได้แต่มองหน้ากันไปมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะศิษย์พี่ที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วน “ขออภัยทุกคน เมื่อครู่ข้าลืมบอกไปว่า เมื่องานชุมนุมเริ่มขึ้นแล้ว นอกจากผู้ที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ คนอื่นๆ จะไม่สามารถขึ้นสะพานได้ ดังนั้นขอเชิญผู้ติดตามทุกคนกลับไปก่อน”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าไฉนเหล่าเด็กรับใช้ทั้งหลายจึงกระเด็นกระดอนตกลงมา และที่บันเทิงกว่านั้นคือ นอกจากบรรดาเด็กรับใช้แล้ว คุณชายจำนวนไม่น้อยก็กลิ้งตกลงมาจากสะพานเช่นเดียวกัน

ขณะนั้นเอง ศิษย์น้องก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าขอย้ำอีกครั้งว่า คนที่อายุต่ำกว่าสิบสองปี และไม่เคยบำเพ็ญเซียนมาก่อนให้ขึ้นสะพานได้ ส่วนใครที่ฉวยโอกาสปะปนเข้าไปในกลุ่ม เอากรวดมาหลอกเป็นมุกแท้จงไสหัวไปให้หมด”

ทันใดนั้นเหล่าคุณชายที่กลิ้งตกลงมารู้สึกอึดอัดและอับอายอย่างที่สุด หลายคนในนั้นมีอายุสิบสามสิบสี่ปี หากแต่พยายามหลอกโกงอายุเพื่อจะให้ผ่านด่าน และบัดนี้ความจริงก็ถูกเปิดเผย แม้ว่าจะมีใจอยากอธิบาย แต่เมื่อเห็นหน้าตาบูดเบี้ยวของผู้บำเพ็ญจากสำนักกระบี่วิญญาณแล้ว คนปกติที่ไหนจะกล้าส่งเสียงดัง? และถึงศิษย์พี่น้องทั้งสองจะไม่ได้อธิบายใดๆ ก่อน คนที่สร้างความโกลาหลวุ่นวายอย่างพวกเขาก็ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อีกต่อไป

ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์มีมากกว่าหมื่น ดังนั้นต้องมีคนที่ไม่ปกติอยู่แน่นอน หลังฟังจบก็ตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ปีนี้ข้าเพิ่งสิบเอ็ดปีเท่านั้น เหตุใดจึงขึ้นสะพานไม่ได้?”

ศิษย์น้องชักสีหน้าทันที “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองอายุสิบเอ็ด? ตอนเจ้าคลอดออกมาแล้วก็สามารถจำวันเวลาได้เลยอย่างนั้นหรือ?”

เด็กคนนั้นชะงักแล้วกล่าวอย่างวางอำนาจว่า “แน่นอนว่านั่นเพราะคนที่บ้านเป็นคนบอกข้า”

“นั่นเพราะแม่เจ้าจำวันผิดแล้ว”

เด็กหนุ่มคนนั้นโกรธจนแทบกระอักเลือด

ศิษย์พี่กลอกตา “เจ้าคือ?”

“ข้าคือ หลิวหานหลง จากตระกูลหลิวแห่งแคว้นโยว เดือนที่แล้วเพิ่งครบสิบเอ็ด แม่ข้า เฟยอวิ๋นจง ได้เชิญสิบเจ็ดตระกูลน้อยใหญ่จากเขาเหลียนอวิ๋นในแคว้นโยวมาร่วมงานวันเกิดข้า เรื่องนี้คนบนเขาเหลียนอวิ๋นต่างรู้ดี!”

ศิษย์สองพี่น้องมองหน้ากันไปมา “เฟยอวิ๋นจง?”

“เขาเหลียนอวิ๋น?”

นิ่งไปครู่หนึ่ง ใบหน้าศิษย์พี่ก็เต็มไปด้วยคลางแคลง ล้วงแผนที่ออกมาจากชายแขนเสื้อ คลี่กางออกแล้วกวาดสายตาค้นหาพร้อมศิษย์น้อง

หลังจากที่หาอยู่พักใหญ่ สีหน้าของศิษย์น้องก็เย็นยะเยือกยิ่งขึ้น “ข้าไม่แม้แต่จะเห็นครอบครัวที่ไม่ควรค่าต่อการเอ่ยถึงของเจ้าบนแผนที่? ครอบครัวน้อยใหญ่ทั้งสิบเจ็ดตระกูลฉลองวันเกิดครบรอบสิบเอ็ดปีแก่เจ้าผู้ไม่รู้กระทั่งวันเกิดวันตายของตัวเอง? ไหนจะกล้าเรียกครอบครัวตกต่ำเสื่อมโทรมว่าเป็นตระกูลอันสูงส่งอีก!?”

เมื่อเห็นศิษย์น้องอารมณ์ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์พี่จึงรีบกล่าวขัดทันทีว่า “สะพานทองคำบรรลุเซียนเป็นสิ่งที่พวกเราศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณช่วยกันสร้างขึ้นด้วยสองมือ หากใครมีข้อกังขาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสะพานทองคำ สามารถติดต่อสอบถามโดยตรงกับเจ้าสำนัก”

ศิษย์น้องยิ้มเยาะ “ข้าคิดว่าคนแก่อย่างเขาต้องสนทนาพูดคุยกับเจ้าอย่างยาวนานด้วยความอ่อนโยนและมีไมตรีจิตแน่นอน”

สนทนาพูดคุยอย่างยาวนานกับเจ้า? ส่งเจ้าเข้านอนชั่วนิจนิรันดร์น่ะสิไม่ว่า! เมื่อป้ายชื่อของเจ้าสำนักกระบี่วิญญาณถูกขว้างมากระแทกแสกหน้า ใบหน้าของคุณชายตระกูลหลิวก็คล้ายถูกทุบจนยับ จากนั้นก็ค่อยๆ หายเข้าไปในฝูงชนอย่างไร้เสียงพร้อมกับเด็กรับใช้

จากนั้น พื้นที่ที่จุคนนับหมื่นในขณะนี้ก็ไร้ซึ่งเสียงถามอีกต่อไป เมื่อศิษย์พี่น้องทั้งสองเห็นว่ากฎถูกปฏิบัติตามอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ก็พยักหน้าให้กันก่อนเหาะหายขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยต่างๆ ตรงทางเข้าสะพานทองคำอีกต่อไป ส่วนคนอื่นที่เหลืออยู่นั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังเบื้องหน้าอย่างสงบเงียบ

แน่นอนว่าระหว่างที่เดินอยู่นั้นย่อมต้องแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างอดไม่ได้ เด็กรับใช้บางคนที่แบกสัมภาระอันหนักอึ้งบนหลังถอนใจพลางกล่าวอย่างเลื่อมใสว่า “ผู้บำเพ็ญเซียนแท้จริงไม่ต่างอะไรกับมนุษย์โลก กระทั่งเด็กเฝ้าประตูยังวางมาดเย่อหยิ่งเพียงนี้”

คุณชายที่อยู่ด้านข้างอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เด็กเฝ้าประตู? เจ้าตาบอดหรืออย่างไร? หากสองคนนั้นได้ยินคำนี้เข้า วันนี้ของปีหน้าข้าน่าจะต้องไปเยี่ยมและจุดธูปตรงหน้าป้ายหลุมศพของเจ้าแล้ว... เจ้าไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดหรืออย่างไรว่าจับฉลากได้ใบย่ำแย่จึงถูกเนรเทศให้มาเป็นคนเฝ้าประตู เมื่อครู่ทั้งสองขี่กระบี่บิน และสามารถแหวกผู้คนนับหมื่นที่เบียดเสียดแออัดออกไปด้วยฝ่ามืออย่างง่ายดาย เด็กเฝ้าประตูบ้านเจ้ามีพลังอานุภาพขนาดนี้เชียว?”

เด็กรับใช้ตะลึงงันแล้วพึมพำ “ถึงว่าสามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ได้ แต่ข้ารู้สึกว่าสำนักกระบี่วิญญาณไม่เป็นมิตรกับพวกเราคนธรรมดาเลย”

“ตอนเด็กที่เจ้าเทน้ำร้อนลงไปในรังมด ข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะเป็นมิตรกับพวกมันแม้แต่นิด วิถีแห่งเซียนนั้นแตกต่างจากมนุษย์ ในสายตาของเซียน มนุษย์ก็คือมด อันที่จริงเขาอารมณ์ย่ำแย่ขนาดนี้แต่กลับไว้ชีวิตและไม่ได้ลงมือประหารเข่นฆ่าถือว่ามีเมตตาและใจกว้างมากพอแล้ว  เจ้ารู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเมื่อครู่นี้พวกเรากำลังไปเฝ้าประตูผีมาแล้วหนึ่งรอบ?”

เด็กรับใช้หน้าซีดขาวราวกระดาษ “จริงหรือ?”

“แน่นอนว่าไม่จริง แค่นี้เจ้าก็เชื่อ? ไม่ใช่สำนักชั่วร้ายหรือเผ่ามารเสียหน่อย ถึงจะสามารถเข่นฆ่าคนได้อย่างไร้มลทิน?”

“…”

“ทว่าสำนักกระบี่วิญญาณก็น่าสนใจจริงๆ แตกต่างจากสำนักเก่าแก่อื่นที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบแบบแผนเข้าตามตรอกออกตามประตู แม้จะเป็นสำนักเก่าแก่ แต่กลับมีบางอย่างที่ลึกลับไม่อาจอธิบายได้ มีเอกลักษณ์! ข้าชอบ!”

เด็กรับใช้ทอดถอนหายใจโศกศัลย์ เดินตามคุณชายอย่างเงียบๆ สะพานทองคำของสำนักกระบี่วิญญาณจำกัดเพียงอายุ ซึ่งเขากับคุณชายมีอายุเท่ากัน และเพิ่งฉลองวันเกิดครบสิบสองปีไปหมาดๆ ผ่านเงื่อนไขนี้อย่างเหมาะเจาะพอดี ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้เขาจะต้องช่วยคุณชายแบกสัมภาระไปจนสุดทางอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เวลานี้ เขาแทบไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อก้าวขึ้นสะพานทองคำแล้วก็หมายถึงการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนอมตะ

เส้นทางนี้ยอมรับเพียงคนที่มีชะตาวาสนาเซียน มิได้แบ่งฐานะคุณชายหรือเด็กรับใช้

เส้นทางบำเพ็ญเซียน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

...............................

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด