ตอนที่แล้วภาค 1 ตอนที่ 3 รากวิญญาณของข้าใหญ่เท่าหัวไชเท้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 1 ตอนที่ 5  การเอาคืนของศิษย์น้อง

ภาค 1 ตอนที่ 4  หัวไชเท้าของเถ้าแก่เนี้ย


 

“หัวไชเท้า!?”

หวังลู่เบิกตาโพลง มองสิ่งที่อยู่ในชามอย่างเหลือเชื่อ

เขาเป็นถึงทายาทรุ่นที่สองที่ร่ำรวยแห่งหมู่บ้านตระกูลหวัง เป็นเด็กหนุ่มหาญกล้าหาตัวจับยากที่ปลดโซ่ภารกิจ สิบสองด่านของหมู่บ้านธาราวิญญาณ แต่มื้อค่ำของเขากลับมีเพียงหัวไชเท้าต้มน้ำหัวเดียวเท่านั้น!?

เขาจ้องไปยังเด็กรับใช้ ถามอย่างสงสัยคลางแคลง “ต้องประหยัดถึงเพียงนี้เชียว!?”

หวังจงรู้สึกผิดอย่างที่สุด “เรื่องนี้คุณชายโทษข้าไม่ได้นะ หากท่านออกไปดูเองก็จะรู้ ราคาอาหารของโรงเตี๊ยมแห่งนี้บ้าไปแล้ว กับแค่หัวไชเท้าต้มน้ำเปล่าก็ปาไปตั้งสิบตำลึงเงิน!”

หวังลู่ตะลึงไปครู่ “สิบตำลึงก็สิบตำลึงสิ พวกเราเป็นถึงทายาทเศรษฐี ไม่มีวันขาดแคลนเงินทอง จะเท่าไหร่ก็จ่ายไหว”

“ปัญหาอยู่ที่เถ้าแก่เนี้ยยังจำกัดให้ซื้อได้เพียงคนละหัวเท่านั้น!”

“...เจ้าบอกนางหรือไม่ว่าเราคือแขกที่พักห้องพิเศษ”

หวังจงผงกศีรษะอย่างสุดแรงเกิดด้วยความโมโห “ข้าบอก มิเช่นนั้นนางคงคิดให้ในราคาหัวละห้าร้อยตำลึง!”

“นั่นมิเท่ากับว่าเงินที่จ่ายยังหนักกว่าหัวไชเท้าหรือ! ราคาเงินช่วงนี้ดิ่งลงถึงจุดนี้แล้วรึ?”

หวังจงยังคงเคืองโกรธไม่สร่าง “เถ้าแก่เนี้ยคนนั้นก็ดีแต่ดีดลูกคิดรางแก้ว[1] คิดว่าทุกคนเป็นคนโง่! ตอนนี้คนในห้องโถง ต่างขอยอมหิวตายดีกว่าซื้อหัวไชเท้าของนาง อีกอย่างในเมืองนี้ไม่ได้มีแค่ร้านนางที่ขายของกินเสียหน่อย!”

“แล้วเจ้ายังซื้อหัวไชเท้าราคาสิบตำลึงนี้มา? คิดว่าพวกเรารวยจริงอย่างนั้นหรือ?”

หวังจงยังคงบ่นด้วยความคับข้องใจ “อาหารของร้านอื่นในหมู่บ้านถูกขึ้นราคาตั้งนานแล้ว ตอนนี้เงินทองไม่ต่างอะไรจากดินโคลน หัวไชเท้าสิบตำลึงเงินถือเป็นราคาที่ใจดีมีศีลธรรมแล้ว”

หวังลู่หน้านิ่วคิ้วขมวด “ศีลธรรมกินแทนข้าวไม่ได้เสียหน่อย... ข้าเกลียดหัวไชเท้าที่สุด”

หวังจงกล่าวอย่างจนใจ “คุณชายไม่กิน ข้ากินเอง ข้ายังหิวอยู่เลย”

หวังลู่ไม่สนใจเสียงบ่นของเด็กรับใช้ “ข้าอยากกินเนื้อ”

“ขนาดหัวไชเท้ายังห้าร้อยตำลึง เกรงว่าเนื้อจะปาเข้าไปจานละห้าพันตำลึง เงินที่พวกเรามีติดตัวอยู่ตอนนี้คงซื้อได้เพียงครึ่งจาน”

“อย่างนี้นี่เอง...” หวังลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก้มลงมองหัวไชเท้าในชามก็ถามขึ้นทันทีว่า “หัวไชเท้านี้ขายออกจริงหรือ?”

หวังจงยักใหล่ตอบว่า “แน่นอนว่าขายไม่ออก มีแค่คนโง่เท่านั้นที่ซื้อ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มื้อค่ำของพวกเราก็มีทางออกแล้ว...” ดวงตาของหวังลู่สว่างวาบ นิ้วเรียวเคาะโต๊ะไปมาไม่หยุด รู้สึกตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ

“คุณชาย?” หวังจงเอียงศีรษะสงสัย ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจ

“หึๆ คืนนี้เราน่าจะได้กินเนื้อแล้ว”

พูดจบหวังลู่ก็ฉวยห่อสัมภาระ ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง

 

——

ชั้นล่างห้องโถง เถ้าแก่เนี้ยที่นั่งอยู่หลังโต๊ะจ่ายเงินมีสีหน้าไม่สบอารมณ์

หัวไชเท้าร้อยกว่าหัวที่ต้มอยู่ในครัว นอกจากหัวที่ขายในราคาต่ำแค่สิบตำลึงนั่นแล้ว นอกนั้นก็ขายไม่ได้สักหัว แม้ว่าบรรดาองค์ชายชนชั้นสูงในโรงเตี๊ยมจะเป็นขยะไร้ประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้โง่จนถึงสุดขีด ถึงจะมีสมบัติร้อยพันหมื่นล้านก็ไม่มีใครยอมซื้อหัวไชเท้าศีลธรรมของนาง

เมื่อดูจากต้นทุนแล้ว ราคาค่าเสียหายของหัวไชเท้าในครัวหม้อนั้นเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะเอ่ย แต่หน้าตาและชื่อเสียงของเถ้าแก่เนี้ยแห่งโรงเตี๊ยมตระกูลหรูอย่างนางต้องแปดเปื้อน แค่คิดก็เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว ที่สำคัญกว่านั้นคือ นางอาจต้องแพ้เดิมพันคนบางคน

“เฮ้อ...น่าเบื่อจริงๆ!”

เถ้าแก่เนี้ยบิดขี้เกียจ หรี่ตากวาดมองไปรอบห้องโถง

จิ๊ เจ้าเบื๊อกที่มาจากประเทศชางหลานคนนั้นไม่อยู่! ไม่อย่างนั้นอาจจะขายให้เจ้านั่นได้สักสิบหัว...

ขณะที่กำลังพิจารณาว่าจะกระหน่ำโฆษณาขายให้กับบรรดาคุณชายในห้องโถงหรือไม่นั้น ก็มีฝีเสียงเท้าเดินลงมาจากบันได

คนผู้นั้นทำให้ดวงตาเถ้าแก่เนี้ยเป็นประกาย หวังลู่ผู้ปลดโซ่ภารกิจสิบสองด่านมาอีกแล้ว

เมื่อเห็นเขา เถ้าแก่เนี้ยก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อนึกไปถึงใครบางคนที่สาบถสาบานยืนยันอย่างมั่นใจว่าโซ่ภารกิจนี้ไม่มีทางปลดได้อย่างแน่นอนกลับถูกเขาเปิดโปงด้วยมือ คิดถึงตรงนี้เถ้าแก่เนี้ยก็ยิ่งต้องกลั้นขำจนปวดท้อง

เห็นท่าทางของหวังลู่แล้ว การลงมาจากชั้นบนน่าจะมีแผนการอะไรสักอย่างในใจ น่าเสียดายที่ที่นี่ไม่มีภารกิจปลดโซ่อะไรนั่นให้เขาทำ

“เถ้าแก่เนี้ย ข้ามาซื้อหัวไชเท้า”

เถ้าแก่เนี้ยยิ้มพลางกล่าวว่า “ราคาพิเศษมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

“ไม่มีปัญหา ราคาเดิมก็จะซื้ออยู่แล้ว”

ราคาเดิมก็จะซื้อ? รอยยิ้มของเถ้าแก่เนี้ยหุบลงหลายส่วน “จะเอาเท่าไหร่?”

“ขอห้าหัวก่อน แล้วก็ขอหัวใหญ่หน่อย”

“ใหญ่หน่อยก็แพงหน่อย”

“ไม่เป็นไร ข้ามีเงิน”

“ดี! สามพันห้าร้อยตำลึง จ่ายมาก่อน”

หวังลู่ไม่พูดอะไรอีก วางตั๋วเงินของแคว้นธาราวิญญาณแห่งอาณาจักรต้าหมิงทั้งหมดที่มีอยู่จำนวนสิบกว่าใบลงบนโต๊ะ

เถ้าแก่เนี้ยโบกมือให้หวังลู่พลางกล่าวว่า “เชิญขึ้นไปก่อนได้ อีกสักครู่ข้าจะนำไปให้เจ้าบนห้อง”

หวังลู่ไม่อิดออด หมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนห้อง จากนั้นเถ้าแก่เนี้ยถึงโกยตั๋วเงินกองนั้น ค่อยๆ นับอย่างอ้อยอิ่ง

ช่างเป็นคนที่น่าสนใจยิ่ง ไม่แปลกใจเลยว่าสามารถปลดโซ่ภารกิจสิบสองด่านนั้นได้ ความคิดของเขากับพวกขยะชนชั้นสูงในห้องโถงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดใครบางคนบนเขาที่ถูกตราหน้าว่าเป็นขบถนอกรีต ก็ได้เจอคนประเภทเดียวกันแล้ว

เถ้าแก่เนี้ยนับเงินอย่างไม่รีบร้อน แต่ก่อนที่จะนับถึงใบสุดท้าย หน้าโต๊ะจ่ายเงินก็ปรากฏเงาคนสองสามร่าง

ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนรับใช้และผู้คุ้มกันคนสนิทของบรรดาคุณชาย ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

“เถ้าแก่เนี้ย ข้ามาซื้อ...”

“เถ้าแก่เนี้ย หัวไชเท้าของท่าน...”

“คุณชายของข้าอยากจะ...”

เถ้าแก่เนี้ยตอบทันทีโดยไม่เงยหน้า “หัวละพันตำลึง พวกเจ้าจะซื้อเท่าไหร่?”

เหล่าเด็กรับใช้ตกตะลึงลาน “ห้าร้อยตำลึงมิใช่รึ?”

“ขึ้นราคาแล้ว จะซื้อหรือไม่ซื้อ”

บรรดาเด็กรับใช้หันกลับไปถามเจ้านายเซ็งแซ่อย่างลำบากใจ ทว่าล้วนได้รับการยืนยันที่เหมือนกัน

หากนี่คือการต้มตุ๋น เพิ่มเงินอีกหน่อยย่อมเป็นความสิ้นเปลือง แต่ถ้ามันสามารถแลกวาสนาแห่งเซียนมาได้ จะกี่หมื่นพันตำลึงเงินก็คุ้มค่า จะว่าไป ราคาแสนตลกที่โรงเตี๊ยมประหลาดแห่งนี้ตั้งขึ้นน่าจะมีเหตุผลอยู่ ก็เหมือนภารกิจปลดโซ่ที่ไม่มีใครคาดคิดถึงตรงหน้าประตูเมืองนั่นอย่างไร

อะไรก็ขึ้นได้ในหมู่บ้านธาราวิญญาณ เหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ในห้องโถงต่างมองดูอย่างสงสัยอยู่ก่อนแล้ว ยามนี้เมื่อเห็นว่ามีคนนำ ทุกคนก็เหมือนฝูงผึ้งบินลุกฮือตาม

กระทั่งคนป่าเถื่อนไร้สถานะชนชั้นยังสามารถควักเงินจำนวนหลายพันตำลึงออกมาได้ แน่นอนว่าคนอื่นต้องให้ได้มากกว่าแน่นอน

“เช่นนั้น... ซื้อสองหัวก่อน?”

“ข้าขอห้าหัว”

“ของข้าสิบหัว”

“บัดซบ! คุณชายของข้าเหมาทั้งหมด!”

ตั๋วเงินจากประเทศต่างๆ ถูกวางกองรวมกันตรงหน้าโต๊ะจ่ายเงินของเถ้าแก่เนี้ยอย่างรวดเร็ว อย่าพูดถึงหัวไชเท้าร้อยหัวที่ต้มอยู่ในครัวนั่นเลย อีกหลายหม้อที่กำลังจะต้มต่อจากนี้ล้วนถูกสั่งจองจนหมด สิ่งที่บรรดาคุณชายผู้สูงศักดิ์เหล่านี้มีมากที่สุดก็คือเงินทอง มากจนเถ้าแก่เนี้ยดีดลูกคิดจนมือไม้อ่อนแรง

....................

กลางดึก

สายลมเอื่อยๆ พัดโชยอยู่นอกหน้าต่าง เคล้ากับเสียงท้องร้องจ๊อกๆ ที่ดังขึ้นสะดุดหูเป็นพิเศษ

“คุณชาย ท่านหิวหรือ?”

หวังจงที่นอนอยู่อีกฟากของห้องเปิดปากถามขึ้นเบาๆ ส่วนอีกฟาก คุณชายแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่หิว”

“...คุณชาย หัวไชเท้าอีกครึ่งที่เหลือข้ายังไม่ได้แตะ หากท่านหิว...”

“แม้ต้องหิวตาย ข้าก็ไม่มีวันกินหัวไชเท้าเด็ดขาด”

“คุณชาย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง...”

“ในเมื่อเจ้าเป็นห่วงข้าถึงเพียงนี้ ก็ออกไปขุดพืชผักสมุนไพรป่าหรือไม่ก็ล่าหมูป่ามาให้ข้าสักตัวสิ”

“ข้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน!”

“เช่นนั้นก็หุบปากซะ”

ว่าแล้วหวังลู่ก็พลิกตัวไม่พูดอะไรอีก เด็กรับใช้อึกอักอยากพูดแต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่นิ่งเงียบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเช่นเดียวกัน

มีบางเรื่อง ไม่อาจพูดออกมาได้

คุณชายวางเงินที่มีอยู่ทั้งหมดลงบนหัวไชเท้าอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่ดูเหมือนผลที่ออกมาจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ อย่าพูดถึงหมูเห็ดเป็ดไก่เลย ตอนนี้แม้กระทั่งหัวไชเท้าห้าหัวที่ควรจะได้ก็ยังไม่มาส่ง

สำหรับคนเย่อหยิ่ง มั่นใจในตัวเอง ไม่เคยต้องพบเจออุปสรรคและความผิดหวังอย่างคุณชายแล้ว ประสบการณ์แปลกใหม่เช่นนี้ย่อมไม่น่าพิสมัย แต่...สุดท้ายพวกเขาไม่ใช่เทพเซียนเหินกระบี่ ความผิดพลาดก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เด็กรับใช้ยักไหล่เบาๆ บนเตียง ภายในใจคิดว่าให้คุณชายได้บทเรียนนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เลวนัก มิเช่นนั้นเขาจะคิดว่าตัวเองมีรากวิญญาณสวรรค์อะไรนั่นแล้วจะแตกต่างจากปุถุชนคนธรรมดา

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงก๊อกๆ ดังมาจากประตู

ในขณะที่หวังจงยังอยู่ในอาการงงงันอยู่นั้น คุณชายก็ลุกจากเตียงแล้ว

และเมื่อเปิดประตู ก็พบกับใบหน้าอันงดงามของเถ้าแก่เนี้ย มือเล็กทั้งสองข้างมีผ้ารองอยู่ ด้านบนเป็นกล่องอาหารขนาดใหญ่พิสดารผิดจากปกติ

หวังลู่ยืนอยู่หน้าประตู หัวเราะเหอะๆ แล้วกล่าวว่า “เถ้าแก่เนี้ย ในที่สุดท่านก็มาเสียที”

เถ้าแก่เนี้ยตอบด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกัน “ให้แขกรอนานขนาดนี้ต้องขออภัยจริงๆ...ทว่าช่วยไม่ได้ เจ้าโง่พวกนั้นสั่งหัวไชเท้าไปกว่าร้อยหม้อ และข้าก็เพิ่งต้มเสร็จเมื่อครู่นี้เอง ฉะนั้น...มื้อค่ำของเจ้าจึงช้าไปสักหน่อย”

ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เถ้าแก่เนี้ยก็ก้าวฉับเข้าไปในห้อง วางกล่องข้าวอันหนักอึ้งลงบนโต๊ะ แม้จะยังไม่ได้เปิดฝากล่อง แต่กลิ่นเนื้ออันหอมเย้ายวนรัญจวนใจก็โชยเข้าจมูก

หวังลู่เปิดกล่องข้าวอย่างอดรนทนรอไม่ไหว ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวจากเทียนไข แต่ประกายน้ำมันแวววาวบนอาหารกลับวาววับจับใจจนคนตาลาย

หวังลู่เช็ดน้ำลาย อุทานอย่างชื่นชม “ท่านช่างเป็นคนมีสัจจะยิ่ง... และยังเป็นคนมีสัจจะที่มีฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยมอีกด้วย”

เถ้าแก่เนี้ยโบกมือ “เจ้าช่วยข้าหาเงินตั้งหลายสิบล้านตำลึง อาหารแค่นี้นับเป็นเรื่องอะไรล่ะ?”

แม้ว่ากล่องข้าวจะใหญ่ แต่อาหารในนั้นก็สุดแสนจะธรรมดา หมูสามชั้นผัดน้ำจิ้มสีแดง เนื้อหมูตุ๋นวุ้นเส้น หมูผัดไข่แตงกวาเห็ดหูหนู ปีกไก่ทอด....

ทว่ายามนี้ แม้จะมีเงินติดตัวเป็นสิบล้านตำลึง ก็ไม่อาจซื้ออาหารบ้านๆ กล่องนี้ได้

หวังลู่เรียงอาหารแต่ละอย่างลงบนโต๊ะ เรียกเด็กรับใช้ให้มากินด้วยกัน ทั้งสองต่างอยู่ในวัยที่ร่างกายต้องการสารอาหารเพื่อการเจริญเติบโต ดังนั้นกำลังการต่อสู้แย่งชิงจึงค่อนข้างทำให้คนตกใจ เพียงไม่กี่อึดใจอาหารบนโต๊ะก็ถูกกวาดไปแล้วหนึ่งในสามส่วน

หวังลู่วางชามและตะเกียบลง แม้ว่ากระเพาะจะขยายใหญ่จนทรมาน แต่กลับรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก “เถ้าแก่เนี้ย ที่เหลือท่านเก็บกลับไปเถอะ อย่าสิ้นเปลืองเลย”

เถ้าแก่เนี้ยเลิกคิ้ว “เจ้ากำลังพูดอะไร นี่เป็นอาหารของเจ้าตลอดทั้งสัปดาห์ ข้าต่างหากที่รู้สึกว่าการกินอย่างมูมมามของพวกเจ้าเมื่อครู่นี้คือความสิ้นเปลือง”

“...ตลอดทั้งสัปดาห์อะไรนะ?”

เถ้าแก่เนี้ยอธิบายอย่างไม่ยี่หระ “ยังเหลือเวลาอีกตั้งหกวันก่อนจะถึงงานชุมนุมคัดเลือกเซียน แต่ข้าเดาว่าเจ้าคงไม่มีเงินเหลือติดตัวแล้ว ถ้าไม่กินอย่างประหยัด ระวังวันท้ายๆ จะต้องกินลมนะจ๊ะ”

หวังลู่ตะลึงอึ้งไปครู่ใหญ่ แล้วจึงถามกลับไปอย่างเหลือเชื่อ “เถ้าแก่เนี้ย ท่านหมายความว่าอย่างไร? มิใช่ว่าท่านควรดูแลการกินอยู่ของพวกเราหลังจากนี้หรอกหรือ?”

“ฮ่าๆ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้าหวังสูงเกินไปแล้ว”

“...ต่อให้ไม่พูดเรื่องที่ข้าช่วยท่านหาเงินก้อนนั้น แต่อย่างน้อยเมื่อครู่ข้าก็จ่ายเงินไปตั้งสามพันห้าร้อยตำลึง หรือไม่จริง?”

เถ้าแก่เนี้ยยิ้มเยาะ “ราคาอาหารในหมู่บ้านตอนนี้ เจ้าคิดว่าเงินสามพันห้าร้อยตำลึงจะสามารถซื้อข้าวกล่องนี้ได้อย่างนั้นหรือ? หยุดโอดครวญแล้วกินประหยัดๆ หน่อย อาหารที่เหลือยังพอประทังได้อีกหกวัน ลองคิดดูว่าคนโง่เง่าพวกนั้นที่จ่ายเป็นหมื่นตำลึงได้แค่หัวไชเท้าที่แทะอย่างไรก็ไม่มีทางอิ่ม อย่างน้อยเจ้าก็ยังได้กินเนื้อจนถึงวันสุดท้าย”

“...”

จู่ๆ เถ้าแก่เนี้ยก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ๊ะ จริงสิ คิดดีๆ แล้ว อันที่จริงเงินที่เจ้าให้ข้ายังเหลืออยู่ ก็ทอนให้เจ้าเลยแล้วกัน”

จากนั้นเถ้าแก่เนี้ยก็บอกลาเดินจากไป ส่วนหวังลู่ก็มองเหรียญทองแดงเก่าผุบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด

..........................................

 

 

[1] คิดถึงแต่ผลประโยชน์ วางแผนเอาเปรียบผู้อื่น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด