ภาค 1 ตอนที่ 2 ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจากบ้านเกิด
ผลงานของหวังลู่ทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของมวลชนทันที ฉับพลันก็มีคำวิจารณ์ผุดขึ้นมากมาย ทว่าล้วนแล้วเป็นไปในทางตกใจและหวั่นเกรงสุดขีด
ผลงานของหวังลู่นั้นหากเกิดขึ้นในสถานที่ปกติธรรมดา เป็นไปได้มากว่าจะถูกด่าหาว่าเป็นคนบ้าสติไม่สมประกอบดี แต่เมื่ออยู่ในหมู่บ้านธาราวิญญาณที่ตั้งอยู่ตีนเขาเซียนอมตะแห่งนี้แล้ว บัตรเทียบเชิญใบนั้นก็ดูเหมือนจะมีอะไรลึกซึ้งขึ้นมาเป็นพิเศษทันที
“พวกเจ้าคิดหรือไม่ว่า บางทีเจ้าหวังลู่นั่นอาจมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่วิญญาณ?”
การคาดเดาลักษณะนี้ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ และแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว กับข้อสันนิษฐานประเภทที่ทำให้คนต้องปากอ้าตาถลนพูดไม่ออก ว่าหวังลู่คือลูกนอกสมรสของผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่สวรรค์
ด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน เถ้าแก่เนี้ยนั่งมองบรรดาเด็กหนุ่มสาวด้วยสายตาเย็นชา ครู่เดียวก็ยิ้มเยาะออกมาเบาๆ “เจ้าพวกโง่”
จากนั้นก็พึมพำกับตนเอง “น่าจะขึ้นราคาห้องสักหนึ่งเท่าไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด เห็นแล้วหงุดหงิด…”
และในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงตะโกนร้องจากด้านนอกโรงเตี๊ยม
“คุณชาย คุณชาย!”
ห้องโถงของโรงเตี๊ยมตระกูลหรูมิได้ใหญ่โตกว้างขวาง ดังนั้นคุณชายหลายสิบคนที่นั่งอยู่ด้านในจึงพร้อมใจกันหันขวับไปยังต้นเสียง เห็นเพียงเด็กหนุ่มท่าทางดูดีอายุราวสิบปีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างล้มลุกคลุกคลานพลางตะโกนร้องเรียกตลอดทาง
เมื่อเห็นเด็กหนุ่ม ดวงตาของทุกคนก็พลันสว่างวาบ
มิใช่เพราะเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจนคนตะลึงลาน แต่เป็นเพราะชุดคลุมที่เขาสวมใส่อยู่เป็นแบบเดียวกันกับหวังลู่ เพียงแต่เนื้อผ้าแตกต่างกันเล็กน้อย น่าจะเป็นเด็กรับใช้
ตัวหวังลู่เองค่อนข้างรับมือยาก ส่วนเด็กรับใช้คนนี้ดูแล้วอ่อนโยนกว่าเยอะ ดังนั้นถ้าอยากรู้จักคู่แข่งที่มีผลงานโดดเด่นสะดุดตาคนนี้ นี่แหละคือโอกาสทอง
“สหายน้อยคนนี้…”
ผู้ที่ดูเหมือนจะรู้สถานการณ์และตั้งใจกระทำเช่นนี้อยู่แล้วคนหนึ่งกระแอมออกมาหนึ่งครั้งเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็กรับใช้
“ท่านเห็นคุณชายของข้าหรือไม่? อายุประมาณข้า…”
“อา...เหตุใดน้องชายไม่เดินมาถามใกล้ๆ นี้เล่า ที่นี่มีผู้คนเข้าออกมากมายไม่ซ้ำหน้า ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าหมายถึงใคร”
เด็กรับใช้นิ่งไปครู่ แล้วจึงพยักหน้าหงึกหงัก
แต่เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่ต้องการให้บรรดาคุณชายเหล่านี้มีโอกาสสนทนาพาที เถ้าแก่เนี้ยจึงเคาะที่โต๊ะเก็บเงินก่อนว่า “คุณชายของเจ้าชื่อหวังลู่สินะ? เขาขึ้นไปบนห้องแล้ว ชั้นสองห้องสามฝั่งซ้ายมือ อ้อ แล้วก็จำไว้ว่าอย่าส่งเสียงดังที่นี่”
เด็กรับใช้ชะงักอีกครั้ง กุลีกุจอขอบคุณเถ้าแก่เนี้ย แล้วรีบพุ่งขึ้นไปชั้นบนโดยไว แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความปีติยินดี
“คุณชาย คุณชาย~! ข้ามาแล้ว!”
เถ้าแก่เนี้ยตบไปที่โต๊ะด้วยความเดือดดาล “บอกว่าอย่าเสียงดัง เจ้าไม่ได้ยินหรือ!?”
หลังจากนั้นทุกคนในห้องโถงก็เห็นเหล้านารีแดงไหหนึ่งพุ่งออกมาจากโต๊ะเก็บเงิน กระแทกพื้นแตกดังเพล้งตรงบันไดข้างเท้าของเด็กรับใช้ เด็กรับใช้ผวาตกใจจนแทบสิ้นสติไม่กล้าส่งเสียงโวยวายใดๆ อีกต่อไป จากนั้นค่อยๆ คลานขึ้นบันไดไป
แต่เถ้าแก่เนี้ยยังไม่คลายจากอารมณ์เกรี้ยวโกรธ กวาดสายตาสำรวจไปยังห้องโถงรอบหนึ่ง ไม่นานก็เลือกบุตรของราชครูประเทศหนึ่งออกมาจากบรรดาผู้คนทันที
“นี่ เจ้า… เจ้านั่นแหละ… เจ้าคนที่ถูกข้าเตะโด่งออกไปคนนั้น เมื่อครู่เจ้าสั่งเหล้านารีแดงใช่หรือไม่? รีบมาจ่ายเงินซะ ไหละพันตำลึง ขอบคุณ”
เหวินเป่าตะลึงตกใจ “ข้าไปสั่งเหล้านารีแดงตั้งแต่เมื่อไหร่!?”
“ก็เมื่อตะกี้ที่ข้าโยนไปขู่เจ้าเด็กนั่นอย่างไรล่ะ ทำไม? เจ้าอยากสั่งอีกไหรึ?”
เมื่อเห็นเถ้าแก่เนี้ยที่ยกไหสุราขนาดสูงราวยี่สิบนิ้วด้วยมือเพียงข้างเดียว เหวินเป่าก็หน้าถอดสีกล่าวอย่างละล่ำละลัก “ข้าจ่าย ข้าจ่ายเดี๋ยวนี้แหละ!”
ทั้งที่ได้ลาภอันคาดไม่ถึงจากความมิชอบ แต่ใบหน้าของเถ้าแก่เนี้ยกลับไม่ได้ดูมีความสุขมากขึ้นเท่าไรนัก นางกวาดสายตาไปรอบห้องโถงอีกครั้ง กล่าวด้วยระดับเสียงที่คนจำนวนมากสามารถได้ยิน
“เจ้าพวกขยะ”
——-------
ภายในห้องชั้นสอง เด็กรับใช้ผลักประตูของคุณชายอย่างตื่นเต้นคึกคัก
“คุณชาย ข้ามาแล้ว!”
หวังลู่เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะหนังสือด้วยความประหลาดใจ “เอ๋ เจ้ามาทำไม!? รีบกลับไปซะ!”
เด็กรับใช้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูด้วยสีหน้าคล้ายจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา มองไปยังคุณชายที่อยู่ในห้องด้วยสายตาเว้าวอนน่าสงสาร
หวังลู่กล่าวอย่างระอา “ข้าจำได้ว่าเคยบอกไปแล้ว ไม่ให้พวกเจ้าสักคนตามข้ามา”
เด็กรับใช้ทำหน้าสลด “นายท่านสั่งให้ข้ามา บอกว่านายน้อยมางานชุมนุมคัดเลือกเซียนคนเดียว ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง”
พาเจ้ามาด้วยแล้วข้าจะปลอดภัยรึ? เจ้าไม่ได้แซ่ตู้สักหน่อย… เฮ้อ ท่านพ่อเลอะเทอะงี่เง่า ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่าโง่เหมือนพ่อข้า”
เด็กรับใช้ย้ำอย่างหนักแน่น “นายท่านเป็นคนให้ข้ามา”
หวังลู่ถอนหายใจว่า “ถ้าเขาให้เจ้ามา เจ้าก็ตีขาตัวเองให้หักแล้วบอกว่าขอลาป่วยก็ได้นี่”
เด็กรับใช้เอ่ยเสียงแผ่ว “ข้า…”
“หรือถ้าหากไม่อยากทำอะไรที่โหดร้ายทารุณขนาดนั้น จะดื่มน้ำสลอดก็ได้นี่ อย่างไรซะ…” กล่าวถึงตรงนี้ หวังลู่ก็มองไปยังใบหน้าทุกข์ระทมระคนเจ็บปวดของเด็กรับใช้ ส่ายศีรษะไปมา
“ช่างเถอะ เข้ามาสิ”
เด็กรับใช้กู่ร้องดีใจ แบกห่อสัมภาระใบเขื่องวิ่งเข้าห้อง
แม้จะโง่เขลา แต่หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี เขารู้ว่าคุณชายมักปากร้ายแต่ใจดีเสมอ
————
ต่างจากที่คนส่วนใหญ่จินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง เด็กรับใช้และคุณชายไม่ใช่ลูกหลานขุนนางชนชั้นสูง และไม่ได้มาจากตระกูลเซียนใดทั้งนั้น
ทั้งคู่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่มาจากหมู่บ้านตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้บนหุบเขาหูสุนัข อำเภออู่โหว จังหวัดตงเต้า ประเทศต้าหมิง แห่งแคว้นธาราครามเท่านั้น
คุณชายแซ่หวังมีนามว่าลู่ เป็นบุตรของนายท่านที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านตระกูลหวัง ก่อนอายุเก้าขวบ เขาได้รับนามที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชนบทและธรรมชาติว่า ‘หวังถู่ตี้’ ภายหลังผู้มีความรู้ท่านหนึ่งได้เปลี่ยนจาก ‘ถู่ตี้’ เป็น ‘ลู่’[1] ทำให้มีกลิ่นของแสงแดดฤดูใบไม้ผลิและหิมะขาวเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
เด็กรับใช้ก็แซ่หวังเช่นเดียวกัน เป็นบุตรของพ่อค้าชนชั้นกลางในหมู่บ้านตระกูลหวัง หลังจากที่บิดามารดาถูกอุบัติเหตุคร่าชีวิต นายท่านหวังมีเมตตารับเขาเข้ามาอยู่ในบ้านเป็นเพื่อนกับคุณชายหวังลู่...ตอนนี้ก็เจ็ดปีแล้ว
เจ็ดปีผ่านไป คุณชายในสายตาของเด็กรับใช้ยังคงเต็มไปด้วยความลึกลับ ความคิดและการกระทำล้วนคาดเดาไม่ได้ ยากจะหยั่งถึงและเข้าใจ สองปีก่อนนายท่านเชิญผู้มีความรู้จากหอสมุดฮั่นจงจากอำเภอตงเต้ามาสอนตำราแก่คุณชายด้วยราคาสูงลิบลิ่ว ว่ากันว่าราชบัณฑิตประมาณเจ็ดแปดคนล้วนเคยเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่ไว้เคราแพะผู้นั้น ถือได้ว่าเป็นบุคคลเลื่องชื่อในประเทศต้าหมิง มาถึงหมู่บ้านได้ไม่นานก็เปลี่ยนชื่อให้คุณชาย แต่ทว่าหลังจากนั้นเขาก็สอนคุณชายได้เพียงสองปีเท่านั้น เขาสะเทือนใจเมื่อพบว่าโลกนี้มีคนที่เกิดมาพร้อมความรู้และพรสวรรค์อยู่จริง ส่วนตนก็สอนจนไม่มีอะไรจะสอนอีกแล้ว กลัวจะฉุดรั้งความก้าวหน้าของศิษย์ จึงลาออกแล้วจากไปทันที
ก่อนจะจากไปอาจารย์ท่านนั้นประเมินไว้ว่าคุณชายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งธาราคราม วันหน้าหวังลู่จะได้เป็นจ้วงหยวน[2] นายท่านหวังทางหนึ่งชื่นชมปีติยินดีกับอนาคตอันสว่างไสวของทายาทเพียงคนเดียวที่จะสร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูลในภายภาคหน้า ทางหนึ่งก็รู้สึกเจ็บปวดกับเงินเดือนที่จ่ายไปล่วงหน้าสิบปี แล้วมิอาจเรียกคืนอีกแปดปีที่เหลือนั่น
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ทุกสิ่งในใต้หล้าไม่เคยมีอะไรสมบูรณ์แบบ แม้ว่าคุณชายจะเป็นอัจฉริยะ แต่กลับไม่เคยสนใจกลอนกวีรวมไปถึงวรรณกรรมเลยแม้แต่นิด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรับราชการ ยิ่งเมื่ออาจารย์ท่านนั้นจากไป คุณชายก็จัดการฝังหนังสือทั้งหมดไว้ในสวน บอกว่าเพื่อช่วยสร้างพลังงานเชื้อเพลิงให้กับลูกหลานในอีกร้อยล้านปีข้างหน้า และแน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องโกหก
“คนร่ำรวยมีอำนาจมักมีทัศนะแคบ ไม่ควรค่าแก่การเสวนา”
เอาเถอะ ประเทศต้าหมิงไม่ได้อยู่ในสายตาเขาด้วยซ้ำ และเมื่อนายท่านถามคุณชายด้วยความสงสัยว่าอยากทำอะไร
“บำเพ็ญเซียน”
บำเพ็ญเซียน!? นายท่านตกใจจนแทบจะสิ้นสติ
เส้นทางเซียนอมตะมิได้บำเพ็ญกันง่ายๆ ขนาดนั้นเสียหน่อย! คนธรรมดาและเซียนนั้นมีวิถีทางต่างกัน นี่เป็นคำโบราณที่พูดต่อกันมาช้านาน การที่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาอยากจะก้าวเข้าสู่เส้นทางอันแสนลึกลับของเหล่าเทพเซียนเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้! แค่การดึงพลังปราณเข้าร่างของผู้ฝึกตนที่เริ่มเข้าสู่การบำเพ็ญ ก็เป็นเรื่องสิ้นหวังสำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว
มีเพียงผู้ที่ได้รับพรจากฟ้าดินให้ขับเคลื่อนพลังปราณได้เท่านั้น ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับวาสนานี้ จึงจะได้รับสิทธิ์บำเพ็ญเซียน สิทธิ์ที่ว่ามานี้เรียกว่า ‘รากวิญญาณ’
คนที่มีรากวิญญาณติดตัวมาแต่กำเนิดในแผ่นดินเก้าแคว้นมีเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นร้อยปีมานี้แทบจะไม่ปรากฏมาให้เห็น ว่ากันว่าต้องมีบุญและสร้างกรรมดีสิบชาติถึงจะได้รับรากวิญญาณชั้นต่ำดวงหนึ่ง แม้ว่าชั่วชีวิตของนายท่านหวังจะก่อความดีสร้างคุณธรรมมาแล้วมากมาย ส่งผลให้กลายเป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านตระกูลหวังดังเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่คุณสมบัติของการจะก้าวเข้าสู่เส้นทางเซียนนั้นยังขาดบุญอีกเจ็ดถึงแปดชาติ
ทว่าเมื่อบุตรชายปริปาก คนที่เป็นบิดานอกจากผลักดันสนับสนุนให้เขาก้าวเข้าสู่เส้นทางเซียนแล้ว ยังจะสามารถทำอะไรได้? เดือนนั้นนายท่านหวังคิดหาวิธีจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ น้ำหนักลดไปสิบจิน[3] และในที่สุดก็คิดออก
มนุษย์โลกรู้ดีว่าการบำเพ็ญตนนั้นยากเย็นแสนเข็ญ แต่สวรรค์ย่อมมีทางออกให้เสมอ ตำนานกล่าวว่ามีลูกกลอนวิเศษที่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะมีวาสนาเซียนนี้ ซึ่งนั่นก็คือการเปิดรากวิญญาณ
ทุกวันนี้ลูกกลอนชนิดนี้สามารถใช้เงินหาซื้อมาได้ เศรษฐีลำดับสองของหมู่บ้านตระกูลหวังใช้เงินกว่าหนึ่งแสนตำลึงเงิน ส่งบุตรชายหวังเสียวหู่ไปบำเพ็ญเซียน ณ สำนักเจ็ดดารา
นายท่านหวังประหยัดมัธยัสถ์มาทั้งชีวิต แม้จะเสียดายเงิน แต่ก็ไม่อยากให้บุตรชายผิดหวัง ดังนั้นเขาเริ่มจ่ายเงินเหมือนเทน้ำ ซื้อยาเพาะรากวิญญาณ ลูกกลอนหกประสาน ตำราฝึกพลังลมหายใจเจ็ดดารา… นายท่านรวบรวมสิ่งที่สามารถหามาได้ทั้งหมดวางตรงหน้าบุตรชาย
ใครจะรู้ว่าหวังลู่ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง
“ท่านพ่อ ท่านไม่เข้าใจการบำเพ็ญเซียน ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์”
นายท่านหวังเบิกตาถลน เป่าลมที่เคราก่อนว่า “จ่ายไปหลายหมื่นตำลึง ทำไมจะไม่มีประโยชน์?”
หวังลู่นิ่งไปครู่หนึ่ง พยักหน้าด้วยความตื้นตันใจ จากนั้นวันรุ่งขึ้นเขาก็นำของเหล่านั้นไปขายให้กับเศรษฐีหวังและหวังเสียวหู่บ้านข้างๆ ที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นเซียนในราคาที่เพิ่มขึ้นจากเดิมห้าเท่า อย่างน้อยก็ถือว่าช่วยให้บิดาไม่ต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
หลังจากวันนั้นหวังลู่ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องวิถีแห่งเซียนอมตะอีกเลย ทุกคนในครอบครัวนึกว่าเรื่องจะจบลงเพียงเท่านี้ และความอยากบำเพ็ญเพียรของหวังลู่น่าจะจางลงแล้ว ทว่าเดือนที่แล้ว เมื่อข่าวสารของงานชุมนุมคัดเลือกเซียนถูกส่งมาถึงหมู่บ้าน ปณิธานของหวังลู่ก็ถูกกระตุ้นอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ขอยืมค่าเดินทาง ข้าจะไปงานชุมนุมคัดเลือกเซียน”
“ชุมนุมดิบสดอะไรนะ?”
“ไม่ใช่ดิบสด มันคืองานรับสมัครและคัดเลือกเซียนของสำนักกระบี่วิญญาณต่างหากเล่า”
“เจ้าอยากบำเพ็ญเซียนอีกแล้วหรือ!?”
“ข้าไม่เคยถอดใจมาก่อน!”
เมื่อเผชิญกับความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของบุตรชาย ทางเลือกของนายท่านหวังก็มีเพียงรับอนุภรรยาเข้ามาใหม่เท่านั้น ช่วยไม่ได้ หากหวังลู่ไม่สามารถสืบทอดธุรกิจของครอบครัวได้ เช่นนั่นก็ต้องทำใหม่อีกคนแล้วล่ะ
แน่นอนว่าเพื่อหวังลู่ นายท่านหวังย่อมต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่แน่นอน ดังนั้นเด็กรับใช้จึงรีบเดินทางกวดตามจนมาถึงหุบเขากระบี่วิญญาณหลังจากที่หวังลู่มาถึงเพียงวันเดียว หอบสัมภาระน้อยใหญ่ที่หากคิดเป็นเงินแล้วมีมูลค่าไม่ต่ำว่าสองแสนตำลึงเงิน ถึงแม้ว่าตระกูลหวังจะร่ำรวย ทว่านี่ก็เป็นตัวเลขที่เจ็บเข้าจนไปถึงกระดูกเลยทีเดียว
เพื่อให้หวังลู่สามารถกลายเป็นเซียนอย่างราบรื่น นายท่านหวังขายสมบัติประจำตระกูลออกไปไม่น้อย เมื่อเห็นถึงความรักของบิดาที่มีต่อบุตรเช่นนี้ เด็กรับใช้ทั้งรู้สึกอิจฉาและซาบซึ้งอย่างยิ่งยวด
————
ภายในห้อง หวังลู่จ้องมองไปยังสัมภาระของเด็กรับใช้อย่างสงสัยพลางถามว่า “นี่คืออะไร?”
เด็กรับใช้หัวเราะแหะๆ ก่อนแกะห่อสัมภาระ ยกเครื่องสังคโลกออกมา กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “คุณชายดูนี่สิ! โอสถเพาะรากวิญญาณชั้นสูง!”
หวังลู่ตบโต๊ะแล้วดีดตัวลุกขึ้นยืน “บัดซบ! ขยะพวกนั้นอีกแล้ว? รีบเอาไปโยนทิ้งให้หมด เห็นแล้วหงุดหงิด!”
เด็กรับใช้กล่าวอย่างตกใจ “โยนทิ้งได้อย่างไรกัน! นายท่านซื้อมาในราคาสูงลิ่วเชียวนะ! คุณภาพต่างจากรอบที่แล้ว เป็นของชั้นสูง ชั้นสูงเชียวนะ! คุณชายท่านเองก็รู้ว่าสำหรับคนธรรมดาที่อยากบำเพ็ญเซียน จำเป็นต้องใช้โอสถทิพย์เป็นตัวช่วย และหลังกินเข้าไปแล้วต้องรอถึงสี่สิบห้าวันจึงจะเพาะรากวิญญาณสำเร็จ แต่หากใช้โอสถเพาะรากวิญญาณขวดนี้ จะช่วยย่นระยะเวลาอย่างมาก นอกจากนี้คุณภาพของรากวิญญาณเสถียรมั่นคงยิ่งขึ้น ตอนนี้เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะถึงงานชุมนุมคัดเลือกเซียน มีเพียงแค่โอสถเพาะรากวิญญาณชั้นสูงนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้คุณชายมีรากวิญญาณทันที! อ๊ะ...จริงด้วย ในนี้ยังมีตำราฝึกพลังลมหายใจเจ็ดดาราฉบับสมบูรณ์ด้วย นายท่านได้มาจากสำนักเจ็ดดารา...”
หวังลู่ถอนหายใจ “พอได้แล้ว เอาล่ะ ไม่ต้องทิ้งตำราฝึกพลังภายในเถื่อนและโอสถเพิ่มพลังพวกนั้น เจ้าแบกมาอย่างไรก็แบกกลับไปอย่างนั้น”
เด็กรับใช้ตะลึงไปครู่ใหญ่ แล้วคร่ำครวญอย่างน่าสังเวช “คุณชาย ในเมื่อท่านอยากบำเพ็ญเซียน เหตุใดจึงไม่กินโอสถเหล่านี้เล่า? เมื่อมนุษย์ธรรมดาต้องการบำเพ็ญเซียน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น...”
หวังลู่ถอนหายใจเฮือก “เจ้าคิดว่าเพราะอะไรล่ะ?”
เด็กรับใช้เอียงศีรษะ กะพริบตาปริบๆ อยากตอบเหลือเกินว่า ‘คุณชายท่านควรกินยาไม่ใช่หรือ?’ ทว่าบ่าวต้องเคารพนาย สุดท้ายก็มิกล้าปริปาก ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาใช้น้ำอุ่นราดไปที่โอสถเพาะรากวิญญาณ ทันใดนั้นภายในห้องก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของโอสถ จนเด็กรับใช้ถึงกับอุทานออกมาว่า “สมกับที่เป็นโอสถชั้นสูงจริงๆ”
จากนั้นก็มองไปยังหวังลู่ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยประกายความคาดหวัง
เมื่อครั้งที่อยู่ในหมู่บ้าน เด็กรับใช้ใช้วิธีนี้กับต้าหวง(รูบาร์บ)ที่อยู่ในสวนของเพื่อนบ้าน ลองหลายรอบไม่เคยมีผิดพลาด เพียงแต่ตอนนั้นเขาใช้กระดูก
สุดท้ายหวังลู่ก็เปิดปาก “หวังจง[4]เอ๋ย…”
เด็กรับใช้พยักหน้ารับทันที “คุณชายท่านว่ามาได้เลย”
“คนธรรมดากลายเป็นเซียน มีเพียงหนทางเดียวจริงๆ นั่นแหละ แต่ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา?”
.........................................
[1] ถู่ตี้/土地และ ลู่/陆 แปลว่า แผ่นดิน
[2] จ้วงหยวน หรือ จอหงวน คือตำแหน่งของผู้สอบเข้ารับราชการได้เป็นที่หนึ่ง โดยการสอบขุนนางในสมัยโบราณจะแบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและบู๊ สอบเลื่อนทีละขั้น เริ่มจากอำเภอหรือจังหวัด เรียกว่าถงซื่อ ผู้สอบผ่านจะได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้าสอบดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ จึงจะได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับ จะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งเรียกว่าการสอบเตี้ยนซื่อ เพื่อคัดเป็นบัญฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่า จ้วงหยวน ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา
[3] หน่วยวัดน้ำหนักของจีน 1 จิน = 500 กรัม
[4] ชื่อของ หวังจง หมายถึง ภักดี (忠)