ภาค 1 ตอนที่ 12 สมรภูมิระหว่างย่าบุญธรรมและย่าบุญธรรมหมายเลขสอง
หวังลู่มิได้ใช้แรงอะไรมากนักสำหรับการลากเหวินเป่ากลับบ้าน
หลังจากเผชิญกับความเป็นความตายข้างลำธาร เหวินเป่าก็ไม่มีความมั่นใจอะไรทั้งนั้นกับเส้นทางบรรลุเซียนเส้นนี้ มีชีวิตอยู่รอดจนถึงตอนนี้ได้ถือว่าเป็นบุญสวรรค์แล้ว
ดังนั้น ตอนที่หวังลู่ยิ้มแล้วถามเขาว่า “สนใจอยากร่วมพิชิตหมู่บ้านดอกท้อกับเราหรือไม่?” เหวินเป่าก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
หนึ่งคือเขาไม่มีทางเลือก จุดจบของการเดินทางบนเส้นทางเซียนนี้ พิสูจน์ได้จากกางเกงที่ยังเปียกชื้นอยู่ในขณะนี้
สองคือ...หากมีโอกาสผ่านด่านนี้ไปได้จริงๆ ล่ะ? ลึกๆ แล้วเป้าหมายบนเส้นทางเซียนของเหวินเป่ายังไม่มอดดับไป
แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่เข้าใจคือ เหตุใดมนุษย์อัจฉริยะฟ้าประทานอย่างหวังลู่จึงต้องการร่วมมือกับเขา? นอกจากร่างกายที่เต็มไปด้วยก้อนไขมันแล้ว ตนยังมีข้อดีอะไร?
“หึๆ เนื้อหนาๆ นี่แหละคือข้อดี คนอ้วนไม่ตายง่ายๆ”
“หา!?” เหวินเป่าอุทานออกมาด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะร้องไห้
“ไม่ต้องกลัว อย่างน้อยด่านนี้ก็ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเอาชีวิตใคร และไม่ได้ให้เราใช้กำลังป่าเถื่อนเดรัจฉานเข้าพิชิต สำนักกระบี่วิญญาณกำลังทดสอบคุณสมบัติที่สำคัญกว่านั้น”
เหวินเป่าฉงนใจนัก “คุณสมบัติที่สำคัญกว่านั้น?”
ข้อนี้ ไห่อวิ๋นฟานเองก็คิดมาตลอด การที่สำนักใหญ่หลายสำนักรับสมัครศิษย์ใหม่ หากสิ่งที่ต้องการวัดมิใช่คุณทักษะความสามารถ จิตใจ ปรีชาฌาน และวาสนาแล้ว.... ยังต้องการอะไรอีก?
และในตอนนั้นเอง หวังลู่ก็เริ่มร่ายแผนภารกิจให้เหวินเป่า “เจ้าอ้วน มีเรื่องหนึ่งที่ต้องพึ่งเจ้า”
“อะไรนะ?” เหวินเป่าพูดด้วยความตกใจ “จะให้ข้าทำอะไร?”
“ก่อนอื่นไปทักทายทุกคนในหมู่บ้าน ส่วนวิธีนั้น... ก็ถามพวกเขาว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่ จำไว้ว่ากิริยาท่าทางต้องเป็นมิตรและจริงใจหน่อย... สุดท้ายมารายงานผลกับข้า ง่ายมากใช่ไหมเล่า?”
——
หลังจากที่ส่งเหวินเป่าออกไปแล้ว หวังลู่ก็ชวนไห่อวิ๋นฟานกินอาหารเที่ยงด้วยกัน ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องจิปาถะบนโต๊ะอาหารอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์
ตลอดมื้ออาหารนั้น ไห่อวิ๋นฟานดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว “สิ่งสำคัญคืออยู่ที่คนสินะ อย่างนี่นี่เอง ‘ทรัพย์ มิตรสหาย วิชา สถานที่’ มนุษยสัมพันธ์สำคัญเป็นอันดับสอง เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสำนักไหนกำหนดแบบทดสอบแบบนี้ขึ้นมา”
หวังลู่มีอาการประหลาดใจนิดหน่อย “ไม่เคยมาก่อนหรือ?”
“อย่างน้อยเท่าที่ข้ารู้มา ไม่เคยมีสำนักไหนให้ความสำคัญตรงจุดนี้ เส้นทางบรรลุเซียนเป็นเส้นทางที่ต้องเดินลำพัง ความสัมพันธ์ของคนหากมากเกินไปจะเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญ... เหมือนว่าสำนักส่วนใหญ่ล้วนกล่าวเช่นนี้”
หวังลู่แค่นเสียง “งี่เง่า โลกบำเพ็ญเซียนมิใช่สถานที่ที่คนประสาทจิตผิดปกติก็สามารถอยู่ได้ง่ายๆ ต่อให้ความแข็งแกร่งจะเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง แต่ก่อนที่เจ้าจะฝึกฝนจนบรรลุกลายเป็นเซียน ไม่มีทางหลีกเลี่ยงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนได้อย่างแน่นอน เว้นแต่เจ้าจะเป็นเทพอสูรในตำนาน มิเช่นนั้นโลกนี้คงมีแต่ความสงบสุขไร้ศัตรูคู่อาฆาตนานแล้ว จะว่าไป ไห่น้อยเจ้าไม่สนใจออกไปเสี่ยงดวงกับเหวินเป่าหน่อยหรือ? ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ภารกิจระดับหนึ่งก็ได้นะ”
“เหอะๆ ช่างเถอะ ขนาดพี่หวังลู่เองยังไม่ยอมลงสนามเลย...แสดงว่าต้องมีเหตุผลอะไรสินะ?”
หวังลู่กล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว หากไม่มีข้อมูลเพียงพอ ข้าก็มิอาจสร้างแผนการสมบูรณ์แบบได้ ดังนั้นข้าถึงได้ชวนเจ้าว่าสนใจหรือไม่อย่างไร? หลังจากที่ได้แผนการอันสมบูรณ์แบบแล้วข้าจะไม่ลืมขอบคุณเจ้าแน่นอน”
ไห่อวิ๋นฟานรู้สึกประทับใจสุดซึ้งต่อความจริงใจของหวังลู่ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาสนใจมากกว่านั้นคือแผนการสมบูรณ์แบบที่หวังลู่บอก... มีความสมบูรณ์แบบก็ต้องมีตำหนิ
“ก็หมายความว่า ในหมู่บ้านดอกท้อ ทุกวลีทุกคำพูดล้วนต้องระมัดระวัง มิเช่นนั้นมีสิทธิ์ทำผิดสูงมากหรือ?”
หวังลู่ยิ้มกล่าว “ใช่แล้ว นี่ก็ตรงกับจุดเด่นของเส้นทางเซียนพอดี บนวิถีของการบำเพ็ญนั้นหากเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียวก็มิอาจหันหลังกลับไปแก้ไขได้ ออกแบบได้ตรงกับชีวิตจริงสุดๆ ใช่หรือไม่!”
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดอยู่นั้น เหวินเป่าก็กลับมา
“เอ๋ เหตุใดจึงเร็วเพียงนี้?” ไห่อวิ๋นฟานอึ้งไปครู่หนึ่ง ตั้งแต่ที่ถูกหวังลู่เตะออกจากบ้าน จนถึงตอนนี้ก็น่าจะประมาณครึ่งชั่วยามใหญ่ มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?
เหตุการณ์ใหญ่
“พะ...พี่หวัง!”
เหวินเป่าหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าประตูครู่หนึ่งเมื่อตระหนักว่าตนเองได้เรียกหวังลู่ว่าพี่หวัง
“เกิดอะไรขึ้น เจอเรื่องน่าสนใจแล้วใช่หรือไม่?”
“ขะ...ข้าเพิ่งออกจากบ้านได้ไม่นาน ก็ถูกป้าท่านหนึ่งรั้งไว้ บอกว่าข้าคล้ายหลานชายของนางที่ตายไปแล้วอย่างมาก นางพูดจู้จี้อยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ยัดขนมมากมายให้ข้า แล้วยังเชิญข้าไปเป็นแขกที่บ้านนางคืนนี้... ข้าหอบมาหมดไม่ไหว จึงกลับมาก่อน”
เหวินเป่าพูดไปพลางยกห่อผ้าขนาดใหญ่ขึ้นมา
เมื่อเปิดห่อผ้า ขนมก็วางกองพะเนินบนโต๊ะจนคล้ายภูเขาขนาดย่อม ส่งกลิ่นหอมโชยเข้าจมูก
เด็กรับใช้ที่กำลังเก็บโต๊ะก็หันขวับ รู้สึกคุ้นกับขนม “อ๊ะ! นี่คือขนมพิเศษของร้านขนมท่านป้าหลิว เนื่องจากกระบวนการทำยุ่งยากมาก ดังนั้นเวลาปกติจะไม่มีขาย มีเพียงคนที่สนิทสนมเป็นพิเศษเท่านั้นถึงจะได้กินสักชิ้นสองชิ้น แต่นี่...”
หวังลู่ถอนหายใจ “ดูเหมือนนางจะมองว่าเหวินเป่าเป็นหลานของตัวเองจริงๆ แล้ว เจ้าอ้วนนี่มีโชคจริง เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ทำภารกิจระดับสูงสำเร็จ ถ้าข้าจำไม่ผิด ท่านป้าหลิวผู้นั้น ดูเหมือนตอนสาวๆ จะมีความสัมพันธ์อะไรสักอย่างกับผู้นำหมู่บ้าน”
เด็กรับใช้ตกใจสะดุ้ง “คุณชายท่านอย่าพูดจาเลอะเทอะ! ท่านป้าหลิวเป็นคนอ่อนหวานเรียบร้อยนะ”
“คนเรียบร้อยไม่สามารถมีเรื่องชู้สาวหรือ? ตรรกะบ้านไหน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำพูดของเจ้าละเมิดสิทธิมนุษยชนขนาดไหน”
“หา!?”
“งานเลี้ยงเมื่อคืนเจ้าไม่สังเกตเลยหรือ? ท่านผู้นำหมู่บ้านและท่านป้าหลิวยักคิ้วหลิ่วตาส่งสายตาให้กันไปมา แต่สุดท้ายก็ถูกฝ่าเท้าพิฆาตของฮูหยิน...นี่เป็นรายละเอียดสำคัญเชียวนะ”
เด็กรับใช้เบิกตาอ้าปากค้าง ตอนงานเลี้ยงแค่จะปฏิเสธสุราก็ยังไม่ทันเลย สุราข้าวพื้นบ้านดื่มจนเวียนหัวตาลาย ไหนเลยจะมีแรงไปจับตามองดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง[1]ของตาแก่ยายเฒ่าทั้งหลายกัน?
หวังลู่ยิ้มเอ่ยกับเหวินเป่า “ยินดีกับเจ้าด้วย เป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นภารกิจระดับหนึ่ง ที่จะสั่นสะเทือนเส้นเรื่องสำคัญของหมู่บ้านดอกท้อ และหากสามารถทำภารกิจจนจบ...”
แม้จะไม่รู้ว่าเส้นเรื่องหลักระดับหนึ่ง สอง สาม สี่ อะไรนั่นคืออะไร แต่เมื่อฟังหวังลู่พูดอย่างจริงจังเช่นนี้ เหวินเป่าก็ตาลุกวาว “หากสามารถทำจนจบ...?”
“เจ้าก็จะมีย่าบุญธรรมที่ทำขนมเก่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนน่ะสิ”
“…”
“ดังนั้น เพื่อย่าบุญธรรมแล้ว มาพยายามทำภารกิจให้ข้าต่อกันเถอะ!”
กล่าวจบ หวังลู่ก็ยกเท้าเตะเหวินเป่าออกไป
——
คืนนั้น คนจำนวนมากเริ่มทยอยเดินออกมาจากแผนที่คลื่นเมฆา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางกว่าหนึ่งวันคนส่วนใหญ่ก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรง อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างล้วนแตกต่างจากตอนที่หวังลู่เพิ่งมาถึง ไมตรีและการต้อนรับที่ชาวบ้านดอกท้อมอบให้กับคนมาทีหลัง นับวันจะยิ่งเย็นชาลงเรื่อยๆ
มีอาหารให้กินหรือไม่? มี
มีที่พักหรือไม่? ก็มี
เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องใช้เงิน ที่ย่ำแย่กว่านั้นคือ เงินของแดนมนุษย์ไม่สามารถใช้ที่นี่ได้?
“นี่คืออะไร?”
“นะ...นี่คือเงินตำลึงทอง”
“ตำลึงทอง…? กินได้หรือไม่?”
“กลืนทองก็เท่ากับฆ่าตัวตายน่ะสิ...”
“เจ้าจะเอายาพิษพรรค์นี้มาซื้อหมั่นโถของร้านข้า? ฝันไปเถอะ!”
“เฮ้! สมองของเจ้าดูเหมือนจะมีปัญหานะ...”
บทสนทนาเช่นนี้พบเห็นบ่อยจนชิน มิได้มีอะไรแปลกใหม่ ชาวบ้านไม่ได้สนใจเงินทองแม้แต่นิด สิ่งนี้ทำให้บรรดาคุณชายผู้ร่ำรวยอวดดีตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง แต่เพียงไม่นานก็มีคนค้นพบเงินที่สามารถใช้ในนี้ได้ ซึ่งนั่นก็คือ การใช้แรงงาน
“อยากกินข้าวหรือ? ง่ายมาก ช่วยข้าถางหญ้าตรงสวนหลังบ้านสิ แล้วตักน้ำให้เต็มโอ่ง”
เพียงแค่ออกแรง ก็จะได้รับรางวัลตอบแทนจากชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นมื้ออาหารบ้านๆ หอมอร่อยของครอบครัวชาวนา หรือห้องนอนอันทรุดโทรมทว่าอบอุ่น พวกเขาล้วนต้องแลกมาด้วยการใช้แรงงานเท่านั้น
ความจริงแล้วกฎนี้ไม่ได้ใช้กับบรรดาคุณชายทั้งหลายที่เข้าร่วมทดสอบเท่านั้น คนในหมู่บ้านดอกท้อเองก็ปฏิบัติตามกฎนี้เช่นเดียวกัน ชาวบ้านนอกจากจะใช้วิธีการแลกเปลี่ยนสิ่งของแล้ว ก็จะใช้แรงงานแลกมาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ
สำหรับหมู่บ้านที่ยังคงใช้วิธีแลกเปลี่ยนสินค้าจนขนาดเงินยังไม่อาจนำมาใช้ได้เช่นนี้ บรรดาคุณชายทั้งหลายทำได้เพียงก้มหน้าก้มตายอมรับความจริงนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ลูกหลานครอบครัวชนชั้นสูงเหล่านี้ ต้องแบกจอบขึ้นหลังยกหาบขึ้นบ่าเข้าไปอยู่ในวิถีเกษตรกรรมอย่างเต็มตัว หากว่ากันตามที่หวังลู่กล่าว การให้ลูกคนรวยพวกนี้สัมผัสกับชีวิตเกษตรกรรมเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก
ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่หวังลู่ได้รับนั้นเป็นเหมือนการตอกตะปูลงไปบนลูกตาของพวกเขา โดยเฉพาะในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด หวังลู่กลับไม่ต้องทำอะไรนอกจากสั่งให้นักเรียนอย่างเหวินเป่าไปทำภารกิจของเขา
ช่วงสายของวันที่สาม เหวินเป่าก็ได้คำนับเป็นหลานบุญธรรมของท่านป้าหลิวอย่างเป็นทางการ ตามที่หวังลู่ได้เคยกล่าวเอาไว้ ขนาดธงที่ถูกผลักล้มลงก็ยังตั้งยืนได้อีกครั้ง
“งานของเจ้าอ้วนราบรื่นดีนี่ แต่คนอื่นสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเขาแล้ว ประเดี๋ยวจะมีคนทำตามในไม่ช้า”
หวังลู่เอนตัวลงบนเก้าอี้ยาวข้างโต๊ะอาหาร เอ่ยขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย “อันที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจปกปิดด่านของหมู่บ้านดอกท้อแต่แรกอยู่แล้ว คนร่วมเคลื่อนไหวยิ่งมากก็ยิ่งดี แต่ถ้าจะให้ดีต้องเปิดภารกิจของชาวบ้านทุกคน ข้าจึงจะสามารถบรรลุแผนการอันสมบูรณ์แบบนี้ได้”
ไห่อวิ๋นฟานกล่าว “แต่หากทำเช่นนี้ มิเท่ากับเป็นการมอบผลประโยชน์ให้คนอื่นหรือ? ข้าไม่สามารถมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนพี่หวัง แต่หากวิเคราะห์จากสติปัญญาที่พึงมี ภารกิจที่ท่านว่ามานี้น่าจะมีความพิเศษบางอย่าง เช่นว่า ท่านป้าหลิวไม่มีทางรับหลานบุญธรรมคนที่สองแน่นอน เท่ากับว่าทรัพยากรของนางถูกผูกขาดโดยเหวินเป่า หากแผนการที่สมบูรณ์แบบของพี่หวังต้องพึ่งท่านป้าหลิว ท่านจะทำอย่างไร?”
“นั่นก็เป็นปัญหาของข้าเอง หรือว่า เจ้าก็อยากจะลองทำแผนการสมบูรณ์แบบนี้สักครั้ง?”
ไห่อวิ๋นฟานส่ายศีรษะปฏิเสธ “ข้าไม่เคยต้องการความสมบูรณ์แบบ แค่หาจุดที่เหมาะกับตัวเองได้ก็เพียงพอแล้ว”
“ประโยคนี้ข้าชอบ วันหน้าวันไหนถูกคนคว่ำแล้วข้าจะเอาคำนี้มาใช้บ้าง แต่คิดว่าคงไม่มีวันจนตรอกขนาดนั้นหรอก... เพื่อเป็นการตอบแทนข้าจะบอกความลับเล็กน้อยแก่เจ้า จุดสำคัญของหมู่บ้านดอกท้ออยู่หลังจากนี้ เจ้าคิดว่าภารกิจของเหวินเป่าราบรื่นอย่างนั้นหรือ? คืนนั้นเจ้าอ้วนนั่นต้องวิ่งโร่ร้องไห้กลับมาแน่นอน”
——
“ฮือ! ท่านหวังลู่ผู้ยิ่งใหญ่ช่วยข้าด้วย!”
คืนนั้นเอง เสียงแหกปากร้องไห้ของเหวินเป่าก็ดังลั่นจนคนไม่อาจทนหลับได้
“มารดาเจ้าเถอะ เจ้าร้องไห้หาพระแสงอะไร!”
แม้รู้ว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แต่คนที่ถูกปลุกขึ้นในยามวิกาล ก็ต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดา
เหวินเป่ายังคงร้องไห้ต่อเนื่องไม่หยุด
“ท่านหวังลู่ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าเจอปัญหาแล้ว ท่านป้าหลิวนาง...”
หวังลู่พูดขัดจังหวะ “หุบปาก เจ้ายังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รอข้าไปหาตะบองมาจัดหน้าให้เจ้าก่อนค่อยว่ากัน!”
“หา!?” เหวินเป่าตะลึงงัน จ้องไปทางหวังลู่ที่เดินไปดึงกลอนประตูออกมาควง เหวินเป่ารีบเช็ดน้ำมูกน้ำตากล่าวขึ้นทันทีว่า “ท่านป้าหลิวและฮูหยินของผู้นำหมู่บ้านตบตีกัน ฮูหยินผู้นำหมู่บ้านสู้ท่านป้าหลิวไม่ไหวก็เลยมาลงที่ข้า นางบอกว่าจะให้ผู้นำหมู่บ้านไล่ข้าออกจากหมู่บ้าน... ท่านหวังลู่ผู้ยิ่งใหญ่ช่วยข้าด้วย!”
“ช่วยน้องสาวเจ้าสิ! ไสหัวออกไปซะ! ปัญหาแค่นี้ยังแก้ไม่ได้ เจ้ามีประโยชน์อะไรบ้าง?”
“ตะ...แต่ว่า นั่นเป็นฮูหยินของผู้นำหมู่บ้านเชียวนะ!”
อาจเป็นเพราะถูกเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเตะแรงเกินไป เมล็ดความกลัวนี้จึงถูกฝังลงในใจของเหวินเป่า แม้ว่าหมู่บ้านเล็กๆ อย่างหมู่บ้านดอกท้อจะมีอยู่ในประเทศชางหลางจำนวนมาก และเพียงแค่ขมวดคิ้วเหวินเป่าก็สามารถทำให้ทั้งหมู่บ้านพังราบเป็นหน้ากลอง แต่บนเส้นทางบรรลุเซียนสายนี้ ผู้ที่มักเจออุปสรรคอย่างเหวินเป่าก็ได้แต่ปวารนาตัวเองให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันกับหนอนแมลง
“เจ้าคนใจเสาะ เป็นฮูหยินของผู้นำหมู่บ้านแล้วอย่างไร? กระทั่งผู้ชายของตัวเองยังไม่มีความสามารถควบคุมได้ เป็นตุ๊กตายังจะดีซะกว่า เจ้ากลัวตุ๊กตาทำไม?”
“มิใช่เช่นนั้น...”
“เช่นนี้นี่แหละ! เจ้าคิดว่าภารกิจของหมู่บ้านดอกท้อง่ายดายขนาดนั้นเชียว? คำนับย่าบุญธรรม กินขนมทุกวันจนตัวเจ้ากลายเป็นลูกหนังก็สามารถผ่านด่านได้แล้ว? เจ้ามองนักออกแบบภารกิจนี้ต่ำเกินไปแล้ว! ข้าจะบอกให้ เจ้าน่ะโชคดี ถึงได้มาเจอเหตุการณ์นี้เอาตอนที่ภารกิจคืบหน้าถึงขั้นนี้ เด็กรับใช้ไม่เอาไหนของข้าถูกเด็กเปรตรุ่นราวคราวเดียวกันจัดการไปตั้งแต่สองวันก่อน”
เหวินเป่าได้ยินดังนั้นก็อึ้งตะลึง
“หา?”
“หาห่าอะไร! ข้าเคยบอกแล้ว สิ่งที่หมู่บ้านดอกท้อทดสอบคือความฉลาดอารมณ์ และการวัดความฉลาดทางอารมณ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด ไม่ได้ดูที่ใครสามารถเอาใจคนได้มากที่สุด แต่ดูที่การเผชิญหน้ากับคนที่เกลียดเรา พูดถึงตรงนี้ ข้าอยากเสริมอีกนิด เป็นเรื่องที่ข้าเดาเอง คนออกแบบหมู่บ้านดอกท้อแห่งนี้น่าจะไม่ค่อยมีคนคบเท่าไหร่”
พูดจบหวังลู่ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
อาจจะคิดไปเอง แต่รู้สึกเหมือนเหนือม่านเมฆขึ้นไปมีคนจำนวนมากกำลังหัวเราะลั่นกับคำพูดของตนเอง
“พูดได้ดี!”
“พวกเรารอด่านเคราะห์สวรรค์ของนางมาเป็นเวลามากแล้ว!”
เขาส่ายศีรษะไปมาเพื่อสลัดความคิดนี้ให้หลุดออกจากหัว แล้วกล่าวต่อไปว่า “เจ้าเดินตามเส้นทางของท่านป้าหลิว บททดสอบที่ใหญ่ที่สุดก็คือผู้นำหมู่บ้านและฮูหยิน แก้ปัญหาข้อนี้ได้ ก็ถือว่าทำภารกิจหลักสำเร็จ จากนั้นก็จะสามารถไปทำภารกิจด่านต่อไป ดังนั้นเจ้าจงเช็ดน้ำหูน้ำตาแล้วไสหัวออกไปซะ!”
พูดจบ หวังลู่ก็ยกเท้าขึ้นมาแล้วเตะเหวินเป่าออกไปอีกครั้ง
....................................
[1] เป็นสำนวน หญิงสาวแรกรุ่นที่อยากมีคู่ พยายามเสนอตัวเรียกร้องความสนใจ เพื่อให้เพศตรงข้ามสังเกตเห็น และยังหมายถึงหญิงที่มีสามีแล้วแต่ไม่สำรวมตัว คบชู้สู่ชาย