ตอนที่แล้วภาค 1 ตอนที่ 10 เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฟ้องเรื่องเจ้า?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 1 ตอนที่ 12 สมรภูมิระหว่างย่าบุญธรรมและย่าบุญธรรมหมายเลขสอง

ภาค 1 ตอนที่ 11 แกล้งเขาแล้วเราจะไม่รู้สึกผิด


 

เลือดกำเดาไหลเป็นสายน้ำอยู่ตรงสวนหลังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน

เลือดสีแดงฉานทำให้ไห่อวิ๋นฟานรู้สึกสมองชา เอ่ยถามด้วยเสียงแห้งผาก “พี่หวังลู่... มิทราบว่าท่านพอจะอธิบายให้ข้าเข้าใจได้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?”

แม้ไห่อวิ๋นฟานจะนึกสาเหตุความเป็นไปได้สิบกว่าข้อของเหตุการณ์ที่พลิกกลับตาลปัตรนี้ได้ ทว่าความตกใจกลัวอันเกินขีดทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์ของเขาดิ่งฮวบลงจนถึงระดับฐานของคนธรรมดา

หวังลู่เตรียมหาผ้าเก็บกวาดเช็ดถูและกำจัดขยะสามชิ้นนั้นออกไปพลางตอบว่า “เกิดอะไรขึ้น? ที่กองอยู่ตรงหน้ายังไม่ชัดเจนอีกหรือ วีรชนแห่งขุนเขาใช้วิทยายุทธ์กำจัดอันธพาลรักษาความสงบสุขของหมู่บ้านดอกท้ออย่างไรล่ะ”

“วีรชนแห่งขุนเขา? ท่านรู้จักคนผู้นั้นรึ?”

“น่าจะเป็นเหลยเฟิง[1]กระมัง... บอกตามตรงข้าไม่รู้จักเหมือนกัน และไม่เห็นมีความจำเป็นต้องรู้จักด้วย”

ไห่อวิ๋นฟานสงบลงหลายส่วนแล้วจึงถามว่า “เพราะท่านรู้ตั้งนานแล้วว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น”

“ก็ไม่นานเท่าไหร่ น่าจะก่อนไม่กี่ชั่วยามล่ะมั้ง ตอนที่ข้าได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านเล่าว่าหมู่บ้านดอกท้อไม่เคยมีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น ข้าก็ตระหนักได้ทันทีว่าที่นี่คือเขตสันติภาพ!”

“เขตสันติภาพ?”

ไห่อวิ๋นฟานค่อนข้างงุนงงกับคำนี้อย่างชัดเจน ขมวดคิ้วแน่นเป็นปม

ในความทรงจำของเขา ดูเหมือนว่าสำนักที่จัดงานชุมนุมคัดเลือกเซียนน้อยมากที่จะมีเขตสันติภาพ อย่างน้อยก็ตอนที่สำนักระดับสามถึงสี่แห่งจักรพรรดิอวิ๋นไท่รับสมัครศิษย์ใหม่ ต่างชื่นชอบให้ผู้คนรบราเข่นฆ่ากันจนเลือดไหลนองท่วมเป็นลำธาร ใช้วิธีโหดเหี้ยมนี้เฟ้นหาศิษย์ใหม่ที่มีศักยภาพที่สุด ส่วนผลลัพธ์นั้นหรือ ก็ถือว่าไม่เลว

ดังนั้นงานชุมนุมคัดเลือกเซียนที่ดูแลเด็กใหม่จนน่าประทับใจของสำนักกระบี่วิญญาณนี้ทำให้เขารู้สึกไม่เข้าใจอย่างมาก ในชั่วพริบตาเดียว ไห่อวิ๋นฟานแม้นสงสัยว่าสำนักกระบี่วิญญาณต้องการรับเด็กใหม่เข้าสำนักจริงๆ หรือไม่...แต่ทว่า เป็นถึงหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ของพันธมิตรหมื่นเซียน คงไม่ล้อเล่นกับคนบนโลกหรอกกระมัง

จะว่าไปแล้ว สำนักกระบี่วิญญาณได้ชื่อว่าเป็นสำนักสันโดษเรียบง่ายไม่แสดงตัวเป็นจุดสนใจ ต่างจากสำนักเซิ่งจิงที่มีอิทธิพลและชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกล หรือว่าสำนักนี้มีความเมตตาอารีจริง?

“เมตตาอารี? ไห่น้อยเจ้าเบิกตาดูดีๆ เลือดกำเดาบนพื้นข้ายังเช็ดไม่หมดเลย เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าอารีเที่ยงธรรมหรือ”

และเมื่อมองไปยังมนุษย์กำเดาสามคนที่สลบเหมือดกองอยู่กับพื้น ไห่อวิ๋นฟานก็ดำดิ่งเข้าไปในความคิด

หวังลู่เห็นท่าทางไม่ได้สติของเขา จึงอธิบายต่อว่า “อันที่จริงกฎของสำนักกระบี่วิญญาณนั้นง่ายมาก นั่นก็คือ คนโง่สมควรตาย”

——

“โอ๊ะ ที่นี่คือ...ที่ไหน?”

รู้สึกถึงคลื่นลมเย็นกระทบหน้าผาก คุณชายจากตระกูลเซี่ยกำลังฟื้นจากอาการสลบไสล

แม้จะปวดสมองเจียนตาย กระดูกจมูกคล้ายถูกใครซัดจนหัก รู้สึกวิงเวียนมึนงง วิสัยทัศน์เหมือนพร่ามัวเล็กน้อย ทว่าก็ยังสามารถมองเห็นคนอ้วนร่างหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงเบื้องหน้าและกำลังสาดน้ำเย็นมาที่ตนอย่างเลือนราง

“เจ้าเป็นใคร?”

“อ๊ะ? ข้าหรือ? ข้าคือบุตรชายราชครูแห่งประเทศชางหลาน เหวินเป่า”

เสียงของคนผู้นั้นฟังดูหวาดกลัวเล็กน้อย ทว่าในน้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยการโอ้อวดชาติตระกูลของตนเอง

เซี่ยกันหลงรู้สึกขบขัน คิดในใจว่า ‘เจ้าหมูอ้วนตัวนี้จะภูมิใจอะไรนักหนา? เป็นก้อนดินในประเทศปลายแถวยังมีหน้าเรียกตัวเองว่าคน? เขารู้หรือไม่ว่า กระทั่งองค์ชายรองแห่งจักรพรรดิอวิ๋นไท่ก็ยังต้องก้มหัวเมื่ออยู่ต่อหน้าคนในตระกูลเซียน! แต่หมูโง่เง่าตัวนี้กลับนำชาติตระกูลมาโอ้อวดตนเอง!?’ คิดได้ดังนั้น เปลวเพลิงในใจก็ลุกโชน ความอัปยศอดสูที่เกิดจากหวังลู่เมื่อครู่พุ่งตรงไปยังขั้วหัวใจ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออีกครั้ง แตะอาวุธวิเศษที่บรรพบุรุษประทานให้

เหวินเป่ามิได้ระแคะระคายกับอันตรายที่กำลังจะมาถึงแม้แต่นิด สาดน้ำเย็นไปยังสหายทั้งสองของคุณชายเซี่ยแล้วหัวเราะร่าจนคางสั่น

“ข้าเพิ่งเดินออกมาจากดงหมอกทะมึนนั่น ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ก็เห็นพวกเจ้าทั้งสามสลบอยู่ข้างลำธาร แบบทดสอบต่อไปยากมากใช่หรือไม่? ข้าคิดว่าหากพวกเราทั้งสี่ร่วมมือกัน โอกาสผ่านด่านน่าจะเพิ่มมากขึ้น ตอนที่อยู่ในดงหมอกข้าก็คิดแล้วว่าถ้าเดินไปด้วยกันหลายๆ คน อาจจะไม่ต้องถูกขังอยู่ในนั้นนานขนาดนี้ก็ได้”

เหวินเป่าไม่ได้รู้วัตุประสงค์ที่แท้จริงของแผนที่เมฆาคลื่นเลย คิดว่าตัวเองนั้นฉลาดเหลือเกิน ไม่รู้เลยว่าท่าทางของตนในสายตาของคุณชายเซี่ยนั้นน่าสะอิดสะเอียนเพียงใด

ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น เหวินเป่าก็เห็นคนที่สลบอยู่ข้างคุณชายเซี่ยขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

“อา...พวกเจ้าก็ฟื้นแล้วหรือ?”

เหวินเป่ารู้สึกยินดีปรีดายิ่ง ตาเป็นประกาย หากสามารถร่วมมือกับสามคนนี้ได้ โอกาสผ่านด่านก็จะมากขึ้นหลายส่วน ... ก่อนหน้านี้ตนประมาทปฏิเสธคำเชิญของยอดเขาเสรีอย่างขาดสติ ยืนหยัดจะเดินต่อไปบนเส้นทางบรรลุเซียนนี้ สุดท้ายก็ได้แต่เสียใจไม่รู้กี่รอบ ฉะนั้นเวลานี้ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

ความปีติเบิกบานใจก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นตะลึงในชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น เหวินเป่าก็สังเกตเห็นแววตาไม่เป็นมิตรของคุณชายเซี่ยและสหายทั้งสอง แม้นดวงหน้าที่เพิ่งฟื้นตื่นจากอาการสลบจะขาวซีด แต่ดวงตาอาฆาตนั้นทำให้เย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ

“พวกท่าน...เป็นอะไรไป? ไม่สนใจร่วมมือกันหรือ? ชะ...เช่นนั้นแล้ว ข้าขอลาก่อน”

แม้ว่าจะเซ่อซ่าโง่เง่า แต่เหวินเป่าก็รู้ว่าหากอยู่ต่อไปสถานการณ์ต้องไม่ดีแน่ จึงลุกพรวดจะเดินออกไป

“คิดหนี? คิดว่าจะหนีพ้นอย่างนั้นหรือ?”

เซี่ยกันหลงยืดตัวลุกขึ้น คีบยันต์ผนึกน้ำแข็งเกล็ดพิรุณที่เคยใช้กับหวังลู่ไว้ระหว่างสองนิ้ว เตรียมปลดปล่อยความโกรธแค้นที่อัดแน่นในอก ส่วนคุณชายอวิ๋นและคุณชายหลี่ก็เช่นเดียวกัน ต้องเอาตัวเหวินเป่ามาสังเวยกระบี่ให้ได้

ศิษย์สองพี่น้องชุดน้ำเงินขาวจากยอดเขาเสรีพูดไว้อย่างชัดเจน บนเส้นทางบรรลุเซียนจะอยู่หรือตายขึ้นอยู่กับบัญชาสวรรค์ ปลาตัวนี้ไปยั่วอารมณ์คนที่ไม่ควรยุ่ง ถูกฆ่าก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว นับประสาอะไรกับผู้เข้าแข่งขันที่ฆ่าฟันกันบนเส้นทางบรรลุเซียน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแบบทดสอบอันแสนโหดร้ายที่ไม่สามารถหลีกหนีได้บนโลกบำเพ็ญเซียน

ถึงจะเป็นสำนักที่พันธมิตรหมื่นเซียนยกให้เป็นสำนักเที่ยงธรรม แต่ขณะที่ทำภารกิจย่อมไม่มีทางหนีเหตุการณ์นองเลือดที่ศิษย์สำนักเดียวกันเข่นฆ่ากันเองอย่างเหี้ยมโหดทารุณได้ เรื่องนี้ลูกหลานชนชั้นสูงทุกคนทราบดี ต่อให้คุณชายเซี่ย คุณชายอวิ๋น และคุณชายหลี่ตายในงานชุมนุมคัดเลือกเซียนก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เช่นนั้นแล้ว ฆ่าบุตรราชครูจากประเทศชางหลานก็ไม่ต่างอะไรกับเหยียบมดตัวหนึ่ง

ก่อนที่สามอาวุธวิเศษจะสำแดงพลังฤทธิ์ เหวินเป่ารู้สึกถึงความตายอยู่ตรงหน้า บุตรราชครูผู้นี้มิใช่หวังลู่ ขณะที่ตกใจกลัวจึงอ้าปากตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”

เสียงร้องวอนขอชีวิตเหมือนคนเป็นโรคประสาท ทำให้อารมณ์ของเซี่ยกันหลงดีขึ้นมาบ้าง หากคนถูกฆ่าไม่ดิ้นรน หมากตานี้จะไปสนุกได้อย่างไร...  แต่อย่างไรก็ตาม ความต้องการฆ่าของเขาก็มิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย

“ร้องไปเถอะ เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครกล้าห้ามข้า!”

เซี่ยกันหลงยิ้มเยาะ มือที่คีบยันต์อยู่ค่อยๆ เพิ่มแรงบีบ และทันใดนั้นเอง เงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานลงมาจากฟ้า

“อ๊ากกก!”

——

เหวินเป่าผู้ตายยากรู้สึกแผ่นหลังและกางเกงเปียกแฉะ

เงาดำมาเร็วแต่ก็จากไปเร็วเช่นกัน ไม่มีแม้กระทั่งจังหวะให้กล่าวคำขอบคุณก็วับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และเมื่อเห็นคุณชายทั้งสามที่สลบเหมือดกำลังนอนรอความตายข้างลำธาร เหวินเป่าก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

เมื่อครู่เขาอยู่ใกล้ความตายเพียงชั่วกลั้นใจ ตนและสามคนนั้นมิได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน แต่พวกเขากลับคิดจะฆ่าแกงกันอย่างไร้เหตุผล ถึงตอนนี้เหวินเป่าก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าตนไปทำอะไรให้คนพวกนั้นเจ็บแค้นเคืองโกรธ? หรือเพียงเพราะเขาอัปลักษณ์? ดังนั้นเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมตระกูลหรูจึงเตะเขาอย่างรุนแรงเป็นพิเศษ มิหนำซ้ำตอนอยู่บนสะพานทองคำก็ถูกบรรดาคุณชายใช้เท้าเหยียบ เท่านั้นยังไม่พอ ก่อนถึงยอดเขาเสรีก็ถูกชายชุดน้ำเงินขาวสองคนมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม?

หรือว่านี่จะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเส้นทางบรรลุเซียน? เข่นฆ่า ปล้นชิง... เส้นทางแห่งเซียนนั้นช่างลึกลับเลือนราง สาเหตุที่ตนเดินทางจากบ้านเกิดหลายพันลี้มายังเขากระบี่วิญญาณ ก็เพราะอยากใช้สถานะของผู้บำเพ็ญเซียนช่วยเหลือบิดาให้ก้าวหน้า แต่ก่อนเดินทางกลับไม่มีใครชื่นชมต่างดูถูกอนาคตเขาต่างๆ นานา ตอนนี้เองที่เหวินเป่าเริ่มตระหนักถึงสาเหตุของมันอย่างรางๆ

ในฐานะบุตรแห่งราชครู แม้จะมิได้มีสติปัญญาและความจำที่ดีเลิศเหมือนบิดา กระทั่งการทันโลกทันคนอันเป็นพื้นฐานของคนปกติก็ยังไม่ชำนาญ สิ่งเดียวที่พอจะพึ่งได้ก็มีเพียงคำพูดที่อาจารย์เซียนผู้เดินทางผ่านประเทศชางหลางกล่าวกับเขา ‘เด็กคนนี้เกิดมามีวาสนาเซียน เขาอาจเป็นหนึ่งในพวกเรา’

น่าเสียดายที่หลังจากนั้นอาจารย์เซียนท่านนั้นก็หายตัวไปอย่างเงียบเชียบไร้วี่แวว ส่วนเหวินเป่าก็ใช้ชีวิตวัยเด็กอันยาวนานภายใต้สายตาผิดหวังของบิดา...

ในขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่นั้น เสียงย่ำฝีเท้าก็ทำให้เหวินเป่าสะดุ้งสั่นงกไปทั้งตัว กำลังแข้งขาที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาไม่กี่ส่วนเมื่อครู่เริ่มอ่อนแรงอีกครั้ง เพิ่งผ่านพิธีล้างบาปของคุณชายเซี่ยมาหยกๆ อย่างเหวินเป่ากลัวจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน คนที่มือไม้อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงกระทั่งฆ่าไก่ยังทำไม่ได้อย่างเขา อย่าว่าแต่พวกคุณชายตระกูลเซี่ยทั้งสามเลย หากหมูป่าโผล่ออกมาจากพงหญ้าตอนนี้ เขาต้องฉิบหายแน่นอน

“เอ๋? นี่คือแม่ทัพเทียนเผิง[2]จากไหนน่ะ?”

แม้นน้ำเสียงที่กระทบเข้ามาในโสตประสาทหูจะแฝงด้วยความประหลาดสามส่วนเยาะเย้ยเจ็ดส่วน ไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ แต่เหวินเป่ากลับรู้สึกว่าเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังที่ทำให้คนผ่อนคลายสบายใจอย่างประหลาด

เหวินเป่าถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เสียงข้างหูดังขึ้นอีกครั้ง

“เจ้าเด็กคนนี้ไฉนจึงมาอยู่ที่นี่ได้? ตามหลักแล้วควรโดนคัดออกตั้งแต่บนสะพานทองคำแล้วมิใช่รึ?”

“เหอะๆ พี่หวังไม่รู้อะไรแล้ว วาสนาเซียนคำนี้พิศวงยากจะคาดเดา คนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดผิดมนุษย์จำนวนมากไร้ซึ่งวาสนาบนวิถีเซียน แต่คนธรรมดาสามัญที่ขลาดเขลาเบาปัญญาจำนวนไม่น้อยกลับมีคุณสมบัติในการบำเพ็ญเซียนดีเยี่ยม เหวินเป่าผู้นี้น่ะหรือ ดูแล้วก็คือคนในกลุ่มหลัง”

“อืม จะว่าไปก็ดูสมเหตุสมผลเหมือนกัน เจ้าขยะสามคนที่มีสมองเท่าเมล็ดแตงโมก่อนหน้า เป็นถึงลูกหลานตระกูลเซียน แต่กลับทำให้ภาพของโลกบำเพ็ญเซียนดูไม่น่ามอง”

“ฮ่าๆ เป็นแค่ครอบครัวเซียนระดับสามระดับสี่ แน่ตรงไหน”

เด็กหนุ่มสองคนพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนาน เมื่อเดินไปถึงเบื้องหน้าเหวินเป่าก็กวาดสายตาขึ้นลงอย่างพินิจพิเคราะห์

ส่วนเหวินเป่าก็สำรวจสองคนนี้เช่นเดียวกัน แม้ว่าความจำของเขาจะมิได้ดีเลิศประเสริฐขนาดนั้น แต่เหวินเป่าก็จำสองคนนี้ได้

คนหนึ่งคือองค์ชายรองแห่งจักรพรรดิอวิ๋นไท่ ส่วนอีกคนคือคนป่าที่ได้เข้าพักห้องพิเศษของโรงเตี๊ยม...อย่างไรก็ตาม ทั้งสองล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่เขามิอาจมีเรื่องได้

เหวินเป่าถามด้วยลำคอแห้งผาก “มิทราบว่าพวกท่าน...”

ทว่าหวังลู่และไห่อวิ๋นฟานเมินเขาอย่างสิ้นเชิง ยังคงพูดคุยกันอย่างไม่สนใจ

“ไห่น้อย เจ้าคนนี้มาถึงหมู่บ้านดอกท้อเป็นคนที่เจ็ด คะแนนถือว่าไม่เลวไหม?”

ไห่อวิ๋นฟานนิ่งคิด “คะแนนของคนที่เจ็ดไม่ได้เกินคาดขนาดนั้น ทว่าหากพิจารณาจากลำดับที่ท่านกับเด็กรับใช้ยืนอยู่ จะลำดับที่เท่าไหร่ก็ไม่น่าจะมีความหมายอะไรสำหรับท่านแล้วกระมัง แต่เขาใช้เวลาเพียงสิบกว่าชั่วยามในการเดินออกมาจากแผนที่คลื่นเมฆา นับว่าฝีมือยอดเยี่ยมทีเดียว เหอะๆ แม้ภายนอกจะดูโง่เง่า แต่ภาวะจิตใจควรค่าแก่การยกย่องชื่นชม”

“ภาวะจิตใจดีกับผีสิ ไห่น้อยเจ้าใสซื่อเกินไปแล้ว ออกจากแผนที่คลื่นเมฆาได้เร็ว ไม่ได้หมายความว่าภาวะจิตใจจะดีกว่าคนอื่น ข้าเดาว่าหลังจากที่เจ้านี่หลงทางก็แตกตื่นจนสติกระเจิง วิ่งหัวซุกหัวซุนออกมาได้”

“…เป็นไปไม่ได้!?”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ คนโบราณว่าไว้ หมูป่าเมื่อหมดทางรอดจะพุ่งชนทุกสิ่งที่กีดขวางไม่กลัวตาย สำหรับเขา การวิ่งแบบนั้นคือการทำตามสัญชาติญาณ”

คำพูดของหวังลู่นั้นดูเป็นคำเพ้อเจอ ทว่าเมื่อไห่อวิ๋นฟานเห็นท่าทางของเหวินเป่าก็อดวิเคราะห์ไม่ได้ เป็นไปได้สูงว่าสิ่งที่หวังลู่คาดเดานั้นจะเป็นความจริง

แท้จริงแล้วยังมีวิธีผ่านด่านภารกิจที่ทำเอาคนพูดไม่ออกเช่นนี้อยู่ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็ถือเป็นวาสนาเซียนอีกประเภทหนึ่ง ในโลกบำเพ็ญเซียนมีคนจำนวนไม่น้อยที่แม้จะไร้คุณสมบัติ ภาวะจิตใจ หรือกระทั่งมีระดับสติปัญญาที่ต่ำกว่าคนปกติ แต่ก็สำเร็จกลายเป็นปรมาจารย์แห่งเซียนผู้ยิ่งใหญ่ได้

เช่นนั้นแล้ว...เป็นไปได้ว่าเหวินเป่าตรงหน้า อาจมีโอกาสเป็นเซียนที่องอาจโดดเด่นในโลกบำเพ็ญเซียน?!

ในระหว่างที่คิดอยู่นั้นหวังลู่ก็พูดว่า “ไห่น้อย เจ้าสงสัยแผนพิชิตภารกิจหมู่บ้านดอกท้อมาตลอดมิใช่รึ? ตอนนี้มีหนูทดลองอย่างดีอยู่ตรงหน้านี้แล้ว”

“...ท่านหมายถึงเหวินเป่า?”

“แน่นอน เจ้าคนนี้ไร้สติเบาปัญญา ซ้ำยังขี้ขลาดตาขาว... เป็นคนที่เหมาะกับแผนพิชิตภารกิจหมู่บ้านดอกท้อที่สุด”

“หา? เพราะอะไร?”

“เพราะแกล้งเขาแล้ว เราจะไม่รู้สึกผิดอย่างไรล่ะ ฮ่าๆๆ”

........................................

 

[1] เหลยเฟิง คือทหารในสังกัดกองทัพปลดแอกประชาชนของสาธารณรัฐประชาชนจีน

[2] แม่ทัพเทียนเผิงในตำนานไซอิ๋ว ลวมลามธิดาฉางเอ๋อ เง็กเซียนฮ่องเต้จึงลงโทษให้ไปเดินบนโลกมนุษย์ โดยเกิดเป็นหมู ซึ่งก็คือตือโป๊ยก่าย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด