ตอนที่แล้วภาค 1 ตอนที่ 9 ศิษย์ยอดเยี่ยมผู้เปี่ยมด้วยศีลธรรมปัญญา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 1 ตอนที่ 11 แกล้งเขาแล้วเราจะไม่รู้สึกผิด

ภาค 1 ตอนที่ 10 เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฟ้องเรื่องเจ้า?


 

หลังจากที่ไห่อวิ๋นฟานเข้าไปในหมู่บ้านดอกท้อได้ไม่นาน แขกผู้มาเยือนกลุ่มที่สามก็โผล่มา

แต่นี่ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แม้ไห่อวิ๋นฟานจะมีทักษะความสามารถเหนือผู้อื่น แต่คนที่มารวมตัวกันในงานชุมนุมคัดเลือกเซียนล้วนแต่เป็นผู้มีสติปัญญาความสามารถล้ำเลิศทั้งสิ้น นอกจากหวังลู่แล้ว คนที่มีทักษะความสามารถใกล้เคียงกับไห่อวิ๋นฟานก็ยังมีอีกหลายคน

ดังนั้น ขณะที่ไห่อวิ๋นฟานและหวังลู่กำลังคุยกันอย่างออกรสอยู่นั้น ก็รู้แล้วว่า หลังจากนี้หมู่บ้านดอกท้ออันสงบสุขต้องมีเรื่องให้คึกคักแน่นอน

——

“ให้ตายเถอะ สถานที่นี้คืออะไร?”

“ต่อจากแผนที่คลื่นเมฆามิใช่สันเขาผาชาติ และขุนเขาวายุน้ำแข็งหรอกหรือ? เหตุใดจึงมีหมู่บ้านพิสดารนี้โผล่ออกมา?”

“ไม่เห็นเหมือนกับที่บอกไว้เลยนี่นา...”

ในเย็นวันนั้นเอง หมู่บ้านดอกท้อก็มีผู้มาใหม่ปรากฏขึ้นอีกสามคน พวกเขาล้วนมาจากตระกูลเซียน พื้นฐานตระกูลอยู่ระดับสาม ชาติกำเนิดสูงส่ง แม้แต่ไห่อวิ๋นฟานก็ยังต้องปฏิบัติต่อทั้งสามอย่างสุภาพระมัดระวัง

ทั้งสามไม่เพียงมีชาติกำเนิดที่ดี ยังมีทักษะความสามารถเหนือคนอื่น นอกจากนี้ยังอยู่ในตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนที่ลงนามเชื่อมสัมพันธ์กัน มีความสัมพันธ์แข็งแกร่งแน่นแฟ้น ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของไห่อวิ๋นฟาน หากมิใช่เพราะมีคนแปลกประหลาดอย่างหวังลู่อยู่ข้างกาย ไห่อวิ๋นฟานคงต้องใช้สมองอย่างหนักเพื่อหาวิธีรับมือกับสามคนนั้นอย่างแน่นอน ตอนนี้หรือ?... คงไม่มีทางถึงคราวให้เขากังวล

มองไปยังทั้งสามคนที่กำลังเดินมาด้วยกันจากนอกหมู่บ้าน ไห่อวิ๋นฟานก็ยิ้มเยาะในใจ อีกไม่นานคงมีงิ้วสนุกๆ ให้ดูแล้วล่ะ

ฝั่งหนึ่งคือหวังลู่ คนผู้แปลกประหลาดลึกลับยากจะหยั่งถึง ส่วนอีกฝั่งคือทายาทตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนที่จองหองพองขน ในหมู่บ้านที่คับแคบเช่นนี้ไม่สามารถจุคนที่มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ได้ เจอหน้าต้องมีสงครามน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นแน่ แต่คิดๆ ดูแล้ว หรือนี่อาจจะเป็นความตั้งใจของคนสำนักกระบี่วิญญาณ?

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่นิด ขอแอบดูอยู่ห่างๆ เพลิดเพลินกับงิ้วฉากนี้ดีกว่า

และงิ้วที่ไห่อวิ๋นฟานรอคอยก็มาถึงโดยที่ไม่ต้องให้คอยนานเลย

————

“เจ้า! ย้ายออกไปเดี๋ยวนี้”

ณ สวนหลังบ้านของผู้นำหมู่บ้าน เด็กหนุ่มตระกูลเซี่ยจากหมู่บ้านทิงอวี๋แห่งแคว้นโยว กำลังชี้ไปที่หวังลู่อย่างดูถูกเหยียดหยาม

จากนั้น ในฐานะผู้ถูกกระทำ หวังลู่ถามขึ้นด้วยความแปลกใจพร้อมกับแทะข้าวโพดในมือไปด้วยอย่างเฉยชา “หมอนี่เป็นใครกัน? ประสาทหรือ?”

เซี่ยกันหลงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนคิ้วชี้ตั้ง “กล้าทำตัวไร้มารยาทกับข้ารึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

หวังลู่วางข้าวโพดในมือลงแล้วถามกลับไปว่า “ก็เพราะไม่รู้น่ะสิจึงถาม! เจ้าประสาทจริงๆ สินะ?”

เซี่ยกันหลงล้วงมือเข้าไปด้านในกระเป๋าเสื้อทันทีโดยไม่ต้องคิด คล้ายจะควักอะไรออกมา นิ่งไปครู่แล้วจึงค่อยๆ สงบลง

“ข้าเป็นลูกหลานรุ่นที่สิบสี่ของตระกูลเซี่ยจากหมู่บ้านทิงเซี่ยแห่งแคว้นโยว…”

“สวัสดีลูกหลาน มีอะไรให้ข้ารับใช้ขอรับ?”

 

เซี่ยกันหลงโกรธจนเส้นเลือดข้างสมองเต้นตุบๆ “ข้าบอกไปแล้วรอบหนึ่ง จงขนของออกไปจากที่นี่ซะ”

“ขนของออกไป? เพราะอะไร?”

“เพราะข้าต้องการให้เจ้าขนออกไป”

“จิ๊ เอ่ยคำว่า ‘ข้าต้องการ’ กับผู้ชายอกสามศอก ถือว่าเจ้าค่อนข้างเป็นคนเปิดเผยทีเดียวเชียว”

ในที่สุดเซี่ยกันหลงก็ทนไม่ไหวเตรียมจัดการหวังลู่ ทว่าในตอนนั้นเอง สหายทั้งสองของเขาก็เดินเข้ามาอย่างหงุดหงิด “คุณชายเซี่ย เหตุใดชักช้านัก?”

“เด็กคนนั้นไม่ยอมหรือ?”

เซี่ยกันหลงชะงักมือ “พวกเจ้าสองคนอย่าสอดมือ”

หวังลู่หยิบข้าวโพดขึ้นมาแทะอีกครั้ง มองไปยังทั้งสามอย่างไม่แยแส แล้วถามไห่อวิ๋นฟานที่ตามหลังสามคนนั้น

“ไห่น้อย สามคนนี้เป็นอะไร?”

ไห่อวิ๋นฟานสบถออกมาเบาๆ ให้กับความซวย อุตสาห์หลบอยู่หลังต้นไม้แล้วแท้ๆ นึกไม่ถึงว่าจะถูกหวังลู่จับได้คาหนัง คิดว่าจะได้ดูงิ้วฉากนี้อยู่ห่างๆ สรุปถูกจับเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวละครหรือ?

หลังจากที่ถูกหวังลู่จับได้ ไห่อวิ๋นฟานก็เดินออกมาอย่างสง่าผ่าเผย แล้วทักทายเด็กหนุ่มทั้งสามคน

“คุณชายเซี่ย คุณชายอวิ๋น คุณชายหลี่”

เมื่อเจอไห่อวิ๋นฟาน ทั้งสามต่างก็ตะลึงงัน “ไห่อวิ๋นฟาน? เจ้าหรือ?”

หวังลู่ก็อึ้งเช่นเดียวกัน “ไห่น้อย ดูเหมือนว่าในสายตาของสามคนนี้ เจ้ามิได้มีความสำคัญอะไรเลยสินะ?”

ไห่อวิ๋นฟานสบถในใจ ไร้สาระ ที่นี่คือดินแดนของเขาเทพเซียน มิใช่อาณาเขตของจักรพรรดิในโลกมนุษย์เสียหน่อย แถมสามคนนั้นยังร่วมมือกัน คนที่เป็นเพียงองค์ชายรองแห่งจักรพรรดิอวิ๋นไท่อย่างข้าจะไปสู้อะไรได้? เจ้าคนนี้ปกติความรู้สึกช้านัก แต่ไฉนเรื่องที่ทำให้คนอึดอัดกลับมีปฏิกิริยาเร็วยิ่ง!       

ทว่าไห่อวิ๋นฟานก็คือไห่อวิ๋นฟาน อายุน้อยแต่กลับมีวุฒิภาวะสูงยิ่ง เด็กหนุ่มยังคงยิ้มและเมินคำพูดของหวังลู่ เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้คุณชายเซี่ยหมายความว่า ให้ท่านออกจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน”

หวังลู่ละความสนใจจากเซี่ยกันหลง หันไปคุยกับไห่อวิ๋นฟาน “เพราะอะไร?”

ไห่อวิ๋นฟานมองไปที่คุณชายทั้งสาม สามคนนั้นแสดงออกว่าไม่ได้อยากคุยกับหวังลู่อย่างชัดเจน ล้วนแต่รอคำตอบจากเขา

เอาเถอะ ชมการแสดงจนขึ้นมาชมถึงบนเวที ไหนๆ ก็หนีไม่พ้นแล้ว ร่วมผสมโรงสักหน่อยจะเป็นไร ไห่อวิ๋นฟานกระแอมขึ้นก่อนอธิบาย “เหอะๆ พูดมาก็ง่ายนิดเดียว พวกองค์ชายเซี่ยคือลูกหลานของตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในโลกบำเพ็ญเซียน ฐานะสูงส่ง ส่วนพี่หวังนั้น แม้จะมีศักยภาพมากจนน่าตกใจ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนเมืองป่า...”

ฟังถึงตรงนี้ หวังลู่ก็เริ่มหงุดหงิด “ข้าไม่ได้สนใจมารดาพวกเขา ไม่ได้อยากเป็นบิดาเลี้ยงของพวกเขาเสียหน่อย เจ้าพูดเรื่องความแตกต่างของชนชั้นทำไม?”

“เรื่องนี้หรือ...เนื่องจากคนที่เกิดมาฐานะต่ำต้อยเช่นท่าน ตอนนี้กลับได้พักอยู่ในที่ที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน ส่วนพวกคุณชายเซี่ย กลับได้พักในห้องของชาวบ้านธรรมดา ตรงนี้...ไม่สมเหตุสมผลยิ่งนัก” กล่าวจบไห่อวิ๋นฟานก็เสริมขึ้นอีกว่า “ข้าทำหน้าที่อธิบายเท่านั้น ไม่ได้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวแน่นอน”

หลังจากคำพูดถูกไขกระจ่าง ไห่อวิ๋นฟานก็รีบอธิบายหน้าที่ของตนทันที แล้วสงบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใดอีก รอคอยปฏิกิริยาจากหวังลู่

การนิ่งเงียบของหวังลู่ช่างยาวนานเหลือเกิน

เซี่ยกันหลงหงุดหงิดขึ้นเป็นเท่าทวี “เจ้าหนู เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่? เสียเวลาอันมีข้าของพวกเราเสียจริง ค่าเสียเวลานี้เจ้าไม่มีทางจ่ายไหวแน่!”

หวังลู่ยิ้มเยาะ “ข้าเข้าใจแล้ว พวกท่านก็คือคุณชายประเภทที่ไร้อนาคต ออกจากบ้านมาผจญภัย เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองมีดีอยู่บ้าง ไห่น้อย จากข้อมูลของเจ้า ถ้าเดาไม่ผิด คุณชายเหล่านี้คงจะอยู่ในฐานะที่ค่อนข้างดำมืดตกต่ำยิ่งนักยามอยู่ในบ้านตนเองสินะ?”

ไห่อวิ๋นฟานยิ้มขื่น วาจาล่วงเกินเช่นนี้ท่านจะให้ข้าพูดออกมาได้อย่างไร? โดยเฉพาะคำว่าตกต่ำ ไม่ว่าอย่างไรก็พูดออกไปไม่ได้ จากบททดสอบของสำนักกระบี่วิญญาณ การที่ผ่านมาถึงตรงนี้ได้ ถือเป็นอัจฉริยะที่หาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว... แต่อย่างที่หวังลู่บอก พวกเขาต่างมีสภาวะที่ยากลำบากของตัวเอง ชีวิตไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น

เซี่ยกันหลงโกรธไปฟืนเป็นไฟ ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป

“เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้ารนหาที่ตายเองนะ เช่นนั้นก็อย่ามาโทษพวกข้าก็แล้วกัน!”

“เฮอะ รนหาที่ตายเองนะ!”

“แค่ผลงานในแผนที่คลื่นเมฆาดีกว่าคนอื่นหน่อยเดียว ก็ยกให้ตัวเองเป็นคนไม่ธรรมดารึ?”

ทั้งสามต่างตั้งท่าเตรียมพร้อมลงมือสู้ เซี่ยกันหลงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ คุณชายตระกูลอวิ๋นชักระบี่ที่เหน็บอยู่ขึ้นมา ส่วนคุณชายตระกูลหลี่ยืนเอามือไพล่หลัง เส้นผมยาวโบกปลิวสะบัดไปตามแรงลม

หัวใจของฟานไห่อวิ๋นกระตุก ‘เด็กจากตระกูลเซียนพวกนี้ต่างจากคนธรรมดาจริงๆ ด้วย บนตัวมีสมบัติที่สืบทอดจากตระกูล...ซ้ำยังเป็นเป็นถึงอาวุธวิเศษขั้นสูง!’

เขากระบี่วิญญาณเป็นที่อะไร? เหตุใดจึงพกอาวุธของเทพเซียนเข้ามาบนเขาได้ตามอำเภอใจ? อีกอย่างอาวุธทุกชิ้นล้วนถูกยึดไปหมดแล้วตอนอยู่บนสะพานทองคำ การที่ลักลอบแอบเอาขึ้นสะพานทองคำ ผ่านแผนที่คลื่นเมฆาเข้าสู่หมู่บ้านดอกท้อได้ น่ากลัวว่าจะไม่ใช่อาวุธธรรมดาแต่เป็นอาวุธวิเศษ!

ต่อให้มาจากตระกูลบำเพ็ญเซียนระดับสาม ทว่าอาวุธวิเศษก็มิใช่สิ่งที่จะพกติดตัวไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ ฐานะของสามคนนี้ในตระกูล น่ากลัวว่าจะสูงกว่าที่ปรากฏในคลังข้อมูลไม่น้อย... ทว่าประเด็นสำคัญในตอนนี้คือ อาวุธวิเศษในมือของเด็กสามคนนี้ต่อให้เป็นทหารแข็งแกร่งร้อยนายของจักรพรรดิอวิ๋นไท่ก็ทำลายให้สลายกลายเป็นเถ้าธุลีได้ในพริบตาเดียว ไม่รู้ว่าหวังลู่จะรับมืออย่างไร?

ไห่อวิ๋นฟานไม่แปลกใจในอุปนิสัยดุร้ายรุนแรงของพวกเซี่ยกันหลงแม้แต่นิด แต่ไหนแต่ไรมาพวกบำเพ็ญตนจากตระกูลเซียนก็มองชีวิตคนเป็นเหมือนมดปลวกอยู่แล้ว เท่าที่จำได้ทั้งสามตระกูลนี้ก็เป็นหนึ่งในแกนนำ แม้จะพยายามฝืนยืนอยู่ในฝั่งสำนักธรรมะ แต่ความเป็นจริงคือสำนักอธรรมะในสำนักธรรมะชัดๆ...

ในสายตาของพวกเขา คนอย่างหวังลู่ถือเป็นคนว่าไร้ชาติตระกูล ไม่มีอำนาจ แม้จะมีทักษะความสามารถที่น่าตกตะลึง แต่ในเมื่อทำตัวเป็นอุปสรรคขวางทาง...ก็พูดได้คำเดียวนั่นคือ ‘ตาย’

สำหรับหวังลู่... แม้จะมีความพิเศษ แต่ที่สุดแล้วเขาก็เป็นเพียงคนจากหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาที่ไม่ควรค่าแก่การสนใจ... ไม่มีทางเทียบพวกเซี่ยกันหลงได้แน่นอน

เช่นนั้นแล้ว อัจฉริยะที่ยังไม่เติบโตเต็มที่คนนี้ จะรับมือกับภัยตรงหน้านี้อย่างไร?

ในฐานะผู้ชม ไห่อวิ๋นฟานรู้สึกสนใจอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่ง!

มิใช่ว่าไม่มีวิธีห้ามสงครามครั้งนี้ แม้พวกเซี่ยกันหลงจะไม่ได้เคารพอะไรตน แค่เพียงเขาหงายไพ่ตายในมือ ก็สามารถสยบทุกความเคลื่อนไหวได้เพียงชั่วพริบตา แต่... หวังลู่กับตนมิได้รู้จักสนิทสนมอะไรกัน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะงัดไพ่ตายออกมาเพื่อช่วยเขามิใช่รึ?

อีกอย่าง หากสถานการณ์นี้ยังไม่สามารถผ่านไปได้ นั่นก็คงบอกได้เพียงว่าตนมองคนผิด ประเมินหวังลู่ไว้สูงเกินไป และจริงๆ แล้วหวังลู่ไม่มีค่ามากพอให้สนใจ และไม่ควรเสวนาผูกสัมพันธ์ด้วย

เอาเลยหวังลู่ บอกคำตอบของเจ้ามา... ไห่อวิ๋นฟานกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่ออยู่ข้างๆ

จากนั้นก็เห็นหวังลู่เคาะโต๊ะไปเรื่อยๆ อย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “อย่าบอกนะว่า... พวกท่านที่มีคนเยอะกว่าจะรังแกคนคนเดียว?”

คุณชายจากสามตระกูลใหญ่มองหน้าเลิ่กลั่ก จากนั้นคุณชายอวิ๋นและคุณชายหลี่ก็พร้อมใจกันเก็บอาวุธทันที

เรื่องนี้เซี่ยกันหลงเป็นคนก่อ แน่นอนว่าเขาต้องเป็นคนจัดการเอง แม้ว่าตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนจะมองชีวิตคนเป็นมดปลวก ทว่ากฎก็ต้องเป็นกฎ จากฐานะของพวกเขาแล้ว รังแกคนที่ด้อยกว่าเป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี

ส่วนเซี่ยกันหลง หลังจากที่นิ่งอึ้งไปชั่วครู่หนึ่งก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เด็กน้อยเอ๋ย จะคนเดียวหรือสามคน สำหรับเจ้าแล้วแตกต่างกันอย่างไร? เจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ต่อกรข้าหรือ?”

หวังลู่ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “พวกท่านใจร้อนมิเบา อันที่จริงแล้วข้าต้องการบอกว่า หากพวกท่านที่มีจำนวนมากต้องการสู้กับคนจำนวนน้อยกว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะมาทีละคนนั้นยุ่งยากเกินไป เข้ามาพร้อมกันเลยดีกว่า”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ!?”

หวังลู่ชักสีหน้า “ข้าบอกว่า ต่อกรกับเศษสวะอย่างพวกเจ้า ข้าคนเดียวก็เกินพอแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ข้าสามารถใช้คำพูดเพียงคำเดียวจัดการพวกเจ้าได้”

คำพูดเหลือเชื่อนี้ ส่งผลให้ภายในห้องเงียบสงบลงครู่หนึ่ง

ผู้ชมอย่างไห่อวิ๋นฟานรู้สึกหัวใจเต้นแรงถี่เร็ว คาดหวังกับฉากการต่อสู้ครั้งนี้อย่างตื่นเต้นสุดขีด

ต่อให้เป็นการวางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาผู้คน ท่าทางของหวังลู่ที่แสดงออกมาก็ไม่อาจไม่ทำให้ใจสั่น อย่างไรก็ตาม ไห่อวิ๋นฟานไม่ได้คิดว่าหวังลู่วางมาดตบตา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คุณชายสามคนนั้นกำลังจะซวยแล้ว

ส่วนทางด้านเซี่ยกันหลงและสหายสองคนนั้น มีเพียงความรู้สึกไม่พอใจและอับอายอย่างที่สุด

การที่ถูกคนป่าดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้... ไม่ใช่แค่ตัวเองที่ขายหน้าแล้ว แต่ยังลุกลามไปจนถึงวงศ์ตระกูล หวังลู่! ตายซะเถอะ!

“ยันต์ผนึกน้ำแข็งเกล็ดพิรุณ!”

“กระบี่เคลื่อนเมฆาไร้รูป!”

“พลังโลหิตชาด!”

ทั้งสามต่างชักอาวุธวิเศษออกมาในเวลาเดียวกัน ภายในห้องพลันเต็มไปด้วยไอสังหาร แม้ว่าทั้งสามจะยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางบรรลุเซียนอย่างเป็นทางการ ไม่มีพลังตบะ อาศัยเพียงพลังจากอาคมที่ผู้อาวุโสประจำตระกูลผนึกลงไปในอาวุธวิเศษเท่านั้น พลังอำนาจไม่น่ารุนแรง...ทว่า ก็เพียงพอจะสับหวังลู่ออกเป็นพันหมื่นชิ้น

แต่หวังลู่กลับโต้กลับด้วยประโยคเดียวเท่านั้น

“ผู้นำหมู่บ้าน มีคนก่อความวุ่นวาย”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เงาดำร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานจากหน้าต่างไปทางเซี่ยกันหลงและสหาย

การเคลื่อนไหวของเงาดำรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ หมัดและเท้าพุ่งตรงไปยังสามคนนั่น พร้อมกับเกิดเสียงคำรามอันแปลกประหลาด

“อ๊ากกก!”

เพียงชั่วกลั้นใจ เลือดกำเดาพุ่งกระจายไปบนอากาศ ทั้งสามยังไม่ทันได้ปล่อยพลังจากอาวุธวิเศษ ก็ถูกซ้อมจนไปนอนกองกับพื้น สลบไสลไม่รู้สึกตัว

เมื่อเงาดำร่างนั้นซัดทั้งสามแล้ว ก็กระโจนออกไปทางหน้าต่างทันที ทิ้งไว้เพียงสองนายบ่าว และไห่อวิ๋นฟานผู้ซึ่งกำลังตะลึงลาน

จากนั้น ไห่อวิ๋นฟานก็ได้ยินเสียงไม่สนใจไยดีของหวังลู่ชัดๆ เต็มสองหู

“เศษสวะอย่างพวกเจ้า กล้าสู้กับอาจารย์ขี้ฟ้องอย่างข้า รนหาที่ตายแล้ว!”

.........................................

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด