บทที่ 27 เจ้า 2 [อ่านฟรี]
บทที่ 27 เจ้า 2
“เข้ามาก่อนสิ”
คาร์ลเดินนำพวกเขาเข้ามาในห้องโดยมีเคจผลักรถเข็นที่มีเทย์เลอร์นั่งอยู่เข้ามาภายในห้อง เมื่อเห็นเคจได้นั่งลงบนเก้าอี้แล้ว คาร์ลก็ไม่ได้สนใจที่จะไปหยิบขวดเหล้าก่อนเอ่ยถามทันที
“ท่านต้องการอะไร?”
น้ำเสียงของคาร์ลเรียบเย็นเช่นเดียวกับใบหน้าที่ยังคงเป็นปกติ อย่างไรก็ตามในสิ่งที่เทย์เลอร์เห็นในตอนนี้เป็นการยืนยันความคิดของเขาว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่เพียงขยะไร้ค่าแต่ความเป็นจริงเขาฉลาดยิ่งกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดไว้เสียอีก
เทย์เลอร์ไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มเหล้ากับคาร์ล เครื่องดื่มแอลกอฮอร์เป็นสิ่งที่ดีมากหากดื่มกับคนที่ไว้วางใจหรือแม้แต่เป็นวิธีดื่มเพื่อกระชับความสัมพันธ์โดยง่ายและสังเกตพฤติกรรมของคนอื่นได้ด้วยเช่นกัน
“ท่านคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรกันเล่า...นายน้อยคาร์ล?”
คาร์ลลอบสังเกตเทย์เลอร์อย่างเงียบๆเมื่อเขาได้เอ่ยคำถามนั้นแก่ตนก่อนจะเดินไปยังเตียงนอนเพื่อหยิบกระเป๋าออกมาและนำมันกลับไปวางที่โต๊ะต่อหน้าคนทั้งสอง
เคร้ง!
เสียงเหมือนโลหะตกกระทบกับพื้นดังไปทั่วห้อง มันเป็นเสียงที่ดังมาจากสิ่งของที่อยู่ภายในกระเป๋าที่ถูกเปิดออกแล้วข้างในของมันประกอบไปด้วยเหรียญทอง เหรียญเงินและเหรียญทองแดง พร้อมๆกับเสียงที่เอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจของคาร์ล
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมท่านต้องเดินทางไปยังเมืองหลวงในตอนที่เหล่าขุนนางทั่วทั้งอาณาจักรต่างก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเช่นกัน แต่ข้ารู้ว่าสิ่งที่คนเช่นท่านต้องการจากข้าเมื่อได้เข้ามาในถ้ำเสือเช่นนี้แล้ว....”
คาร์ลได้คาดเอาไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่เทย์เลอร์ขอติดตามเขาเข้ามายังเมืองหลวงด้วยและตลอดเวลาเขารู้สึกได้ว่าถูกสายตาของพวกเขาจ้องมองตลอดการเดินทาง
“ตระกูลเฮนิตัสผู้ร่ำรวยและมั่งคั่ง ท่านคงต้องการเงินใช่หรือไม่?”
เฮ่อ
เคจถอนหายใจออกมาด้วยความทึ่งกับคำกล่าวของคาร์ล สำหรับเทย์เลอร์เป็นคนที่อยู่จุดสูงสุดก่อนตกลงมาจาหน้าผาสูงส่วนคนเช่นเคจคือคนที่อยู่พียงพื้นดินด้านล่างมาโดยตลอด แต่สำหรับคาร์ลคือคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ต่างออกไป
เขามักจะให้รองพ่อบ้านฮันส์เตรียมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาให้เขาดื่มทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เขาไม่สนใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนกำลังทำอะไรยุ่งขนาดไหนเขาก็เพียงแค่กินอาหารที่หรูหราและคุณภาพสูงในขณะที่มองดูพวกเขาก็เท่านั้น เขาเลือกเข้าพักในโรงแรมที่หรูหราที่สุดและมักจะผ่อนคลายเสมอโดยไม่สนใจว่าตนจะพูดกับคนอื่นเช่นไร
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่ขยะไร้ค่าจริงๆ โดยเฉพาะเทย์เลอร์เพื่อนของเธอย่อมรู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าเธอมากนัก
“ท่านรู้แล้วสินะ?”
“มันเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก”
คาร์ลตอบเหมือนกับว่ามันไม่ยากที่จะคาดเดาได้เลย
“ฮึ...จากพาหนะที่พวกท่านใช้ในการเดินทางก็ดูเหมือนว่าพวกท่านจะร้อนเงิน...แล้วยิ่งต้องเข้าไปในเมืองหลวงด้วยแล้วมันคงไม่มีสิ่งอื่นที่พวกท่านต้องการนอกเหนือไปจากเงิน ข้าเดาว่านี่อาจไม่ใช่แผนเดิมของพวกท่านแต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา...หากท่านจะเอ่ยถามกับผู้ที่มีตราสัญลักษณ์เต่าสีทองเมื่อได้มีโอกาสร่วมเดินทางมากับพวกเราเช่นนี้แล้ว”
เทย์เลอร์ไม่สามารถปฏิเสธกับคำกล่าวของคาร์ลได้มันคือความจริงที่ว่าคาร์ล เฮนิตัสไม่ได้พยายามที่จะหลีกเลี่ยงจากบุตรชายคนโตที่ถูกผลักไสออกจากตระกูลเช่นเขา การเอ่ยปากเพื่อขอความช่วยเหลือและหวังว่าจะได้รับเงินจากคาร์ลนั่นคือวิธีที่ดีที่สุดที่เคาคาดหวังไว้
ถึงแม้ว่าคาร์ลจะปฏิเสธว่า ‘ไม่’ เขาก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะเอาเรื่องของเขาไปแจ้งกับเวเนี่ยนให้ทราบเช่นกันดูเหมือนว่าเขาจะเกลียดสิ่งที่สร้างความวุ่นวายให้ตัวเขาเอง ในสายตาของเทย์เลอร์...คาร์ลคือคนที่พยายามซ่อนความสามารถที่แท้จริงจากสายตาผู้อื่น
“ขอบคุณท่านมาก...นายน้อยคาร์ล”
คาร์ลไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่น ‘ไม่เป็นไรข้ายินดีช่วยเหลือ’ แต่ท่าทางของเขาคือคนที่ยินดีจะเล่นไปตามแผนของเทย์เลอร์ที่คิดวางแผนมาโดยตลอดในช่วงเวลาที่ตนได้พบกับคาร์ล
“พวกท่านจะออกจากที่นี่ก่อนรุ่งสางสินะ?”
“ใช่...เราวางแผนที่จะลอบออกไปแต่มาที่นี่เพื่อพบท่านก่อนที่เราจะจากไป เรายังต้องดูแลและเตรียมความพร้อมกับหลายสิ่งมากนัก”
เววตาของเทย์เลอร์กระจ่างใสในขณะที่นั่งอยู่บนรถเข็นนี้แต่คาร์ลไม่สามารถมองเห็นแววตาที่ปราศจากความกังวลของเทย์เลอร์ได้เมื่อพวกเขาได้สบตากัน
“พวกท่านวางแผนจะแฝงตัวเข้าไปในวิหารสินะ?”
ในช่วงเวลานั้นเหมือนว่าเทย์เลอร์จะตกใจกับสิ่งที่คาร์ลถาม...เขารู้มันได้อย่างไรนะ? ก่อนที่เคจจะก้าวเข้ามาและเอ่ยขึ้น
“ใช่...พวกเราวางแผนที่จะแฝงตัวเข้าไปในวิหาร”
พวกเขาวางแผนที่จะปิดบังตัวตอนของเทย์เลอร์โดยแฝงตัวเข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของวิหาร อย่างไรก็ตามการทำเช่นนี้ย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้กับวิหารแห่งความตายที่เคจเคยอยู่ได้ เธอยินดีที่จะให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายเพื่อช่วยเหลือเทย์เลอร์ อย่างไรก็ตามการแฝงตัวเข้าไปเช่นนั้นก็ไม่ได้รับประกันว่ามันจะสำเร็จได้ คาร์ลมองเห็นว่ามันคือปัญหามากกว่า
“แม้ว่าพวกท่านจะแฝงตัวเข้าไปในวิหารนั่นได้ เวเนี่ยนหรือมาร์ควิสสแตนจะทราบข้อมูลนี้ภายใน 3 วัน พวกเขามักมีสายข่าวอยู่ทุกที่รวมถึงวิหารแห่งความตายนั่นด้วย”
“......ข้อมูลที่ได้รับจากท่านนับเป็นสิ่งที่ดีนัก”
เคจเริ่มยิ้มออกมา มีหลายสิ่งที่เธอเพิ่งรู้จากคาร์ล
“นายน้อยคาร์ล... ข้าแน่ใจว่าท่านอาจจะอยากรู้ถึงแผนการของพวกเรา?”
ก๊อก ก๊อก
คาร์ลเคาะนิ้วชี้กับโต๊ะจนเกิดเสียงเบาๆ
“เอาเงินนี้ไปและทำให้เจ้าของโรงแรมเข้าใจว่าท่านและคนของท่านจะพักอยู่ที่นี่อีกหนึ่งวัน”
ก่อนจะยกนิ้วชี้มายังด้านหน้าของคนทั้งสอง
“สำหรับพวกท่านสองคนจะได้นั่งไปบนรถม้าของข้า ส่วนที่เหลือในกลุ่มของเจ้าจะเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงหลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน”
ครืด!
คาร์ลผลักเก้าอี้ให้ถอยหลังออกไปก่อนจะลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปหยิบบางอย่างออกมาจากกล่องเวทย์และวางมันลงบนโต๊ะ
“นี่คือเครื่องมือเวทย์....มันสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในพื้นที่ที่เราเลือกไม่สามารถมองเห็นได้เป็นเวลา 5 นาที”
นี่เป็นเครื่องมือชิ้นที่สองที่ต้องเช่าซื้อภายใต้ชื่อของบิลอส
‘นายน้อยคาร์ล...ท่านวางแผนที่จะขโมยสิ่งใดหรือไม่?’
‘ขโมย? ไม่....ข้ามีแผนที่จะทำลายบางอย่าง’
‘ทำลายสิ่งใดหรือขอรับ?’
เขาวางแผนที่จะใช้เครื่องมือนี้กับเหตุการณ์ก่อการร้ายใจกลางเมืองนั่นแต่เขามีเหตุผลที่จะใช้มันในตอนนี้ เขารู้สึกขอบคุณที่เครื่องมือเวทย์ชิ้นนี้ไม่ใช่เครื่องมือที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ความเงียบถูกปกคลุมทั่วทั้งห้อง เทย์เลอร์และเคจมองไปมาระหว่างคาร์ลและเครื่องมือเวทย์ชิ้นนี้ปากของพวกเขาถูกปิดและเปิดอยู่หลายครั้งแต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกมาได้ก่อนจะรวบรวมกำลังใจของตนในการถามหลังจากเงียบเป็นเวลานาน
“...ท..ทำไม”
นายน้อยเทย์เลอร์ที่เงียบไปสักพักเริ่มเอ่ยถาม
“ทำไม..ท่านถึงช่วยเหลือพวกเราเช่นนี้?ทั้งๆที่ไม่ได้ประโยชน์อันใดจากเรื่องนี้เลย”
‘ทำไม? งั้นหรือ....ฉันก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเจ้าสักเล็กน้อยเพราะฉันเป็นคนสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา..แล้วใช่ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อตัวฉันเสียเมื่อไหร่กัน’
นอกจากนี้ถ้าเทย์เลอร์สามารถขึ้นครองตำแหน่งมาร์คควิสได้ คาร์ลก็ไม่ต้องกังวลเรื่องมาร์คควิสสแตนหรือเจ้าเวเนี่ยนผู้โลภมาก เมื่อการทำสงครามกับอาณาจักรอื่นได้เริ่มต้นขึ้น และนั่นจะช่วยให้อาณาเขตการปกครองของท่านเคานต์เฮนิตัสสงบร่มเย็นรวมถึงตัวเขาเองก็ร่มเย็นด้วยเช่นกัน
“ข้าจำเป็นต้องตอบงั้นรึ?”
“ใช่...ข้าอยากได้ยินเหตุผลของท่าน”
เทย์เลอร์ต้องการฟังคำตอบของคาร์ล ก่อนที่คาร์ลจะเอ่ยตอบด้วยท่าทีไม่ยินดียินร้ายพร้อมกับคำตอบที่ค่อนข้างโหดร้ายและเย็นชา
“เพราะท่านน่าสงสาร....ข้าอยากรู้ว่าอะไรถึงทำให้คนเช่นท่านต้องกลายเป็นคนพิการเช่นนี้อีกทั้งไม่สามารถรู้ได้ว่าจะมีชีวิตอยู่อีกได้นานแค่ไหนและที่สำคัญการที่บุตรชายคนโตของมาร์ควิสสแตนมาขอความช่วยเหลือเรื่องเงินจากขยะไร้ค่าจากตระกูลเฮนิตัสเช่นข้านั้น....มันช่างน่าเวทนายิ่งนัก”
ปากของเทย์เลอร์ค่อยๆอ้าและหุบลง ก่อนที่เขาจะเริ่มหัวเราะอย่างเงียบๆ เทย์เลอร์ตบเข่าของตนฉาดใหญ่แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรกับขาคู่นั้นก็ตาม แต่ถึงอย่างไรตา จมูก ปาก มือและส่วนที่เหลือของเขายังคงมีชีวิตอยู่ ก่อนที่เทย์เลอร์จะยกยิ้มสดใสขึ้น
“ขอบคุณสำหรับความเห็นอกเห็นใจจากท่าน ข้าต้องการความเห็นอกเห็นใจเช่นนี้ยิ่งนัก”
คาร์ลไม่ได้สนใจกับคำขอบคุณของเทย์เลอร์และเอ่ยขึ้น
“อย่างไรก็ตาม...สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ข้ามีเพียงเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ”
“มันคือสิ่งใด?”
“จงลืมทุกอย่างไปซะ”
คาร์ลพูดย้ำอีกครั้งเมื่อเลื่อนถุงเงินไปยังเทย์เลอร์
“จงลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
คาร์ลแสดงให้พวกเขาเห็นว่าตนยินดีจะช่วยเหลือแต่ก็ไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกต่อไป เคจก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง นี่เป็นเหตุผลที่เธอตามเทย์เลอร์มาในครั้งนี้
“นายน้อยเทย์เลอร์และข้าจะสาบานต่อหน้าพระเจ้าแห่งความตายว่าจะไม่เปิดเผยสิ่งใดที่เกิดขึ้น ข้าให้ความมั่นใจแก่ท่านได้...ว่าผู้ที่ผิดคำสาบานต่อพระเจ้าแห่งความตายนั้นล้วนตายตกไปตามๆกัน”
“...ได้ เชิญพวกท่านให้คำสาบานเถิด”
คาร์ลเริ่มยิ้มกับคำพูดของเคจ คำสาบานต่อพระเจ้าแห่งความตายเป็นสิ่งที่คาร์ลเชื่อมั่นในคำสาบานที่มีชื่อเสียงนี้และนั่นจะทำให้คาร์ลยินดีที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้
เคจไม่สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้แต่หัวเราะขึ้นกลังจากเห็นรอยยิ้มของคาร์ลเกี่ยวกับการที่พวกเขาจะเอ่ยคำสาบานต่อพระเจ้าแห่งความตาย
“ข้าเดาว่า...นายน้อยคาร์ลจะไม่สาบาน?”
“ถูกต้อง....หากว่าเรื่องเล่านี้มันจะยุ่งยากมากขึ้นในอนาคต..ข้าก็มีแผนที่จะเปิดเผยมัน”
“แก่เวเนี่ยนสินะ....”
“ใช่.....” คาร์ลเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจ
เมื่อได้ฟังคำตอบของคาร์ลทำให้เทย์เลอร์รู้สึกสงบมากขึ้น เขาชอบความจริงที่ว่าคาร์ลเป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจเมื่อเขาเลือกที่จะบอกกับพวกตนว่าเขาจะเปิดเผยทุกสิ่งหากเขาเกิดความไม่สะดวกใจขึ้นในอนาคต
“เคจ...มาทำกันเถอะ”
“ตกลง”
ทั้งเทย์เลอร์และเคจไม่ได้พูดอย่างเป็นทางการต่อหน้าคาร์ล ดูเหมือนว่าพวกเขาจะส่งสัญญาณให้กันเพื่อทำบางอย่างต่อหน้าคาร์ล
“เราจะเริ่มกันตอนนี้เลย”
ในคืนนี้เป็นคืน ‘พระจันทร์ดับ’ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นพระจันทร์ได้มันส่งผลให้พลังของพระเจ้าแห่งความตายมีพลังที่รุนแรงและแข็งแกร่งกว่าวันใด เคจปิดตาของเธอลงและรวบมือของเธอทั้งสองข้างมาวางไว้ต่อหน้าของเธอ มันดูต่างจากคนที่กำลังอธิษฐานขอพร เธอหันฝ่ามือไปทางด้านเทย์เลอร์และตัวของเธอเอง
ครืนนนนนนนนนนนนนนน
แรงสั่นสะเทือนไม่เบานักดังขึ้นทั่วห้องและเป็นเวลาเดียวกับที่มีควันสีดำเริ่มออกมาจากปลายนิ้วของเคจและโอบล้อมพวกเขาทั้งสามไว้
‘พลังศักดิ์สิทธิ์นี่มัน?’
คาร์ลเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในขณะที่รู้สึกถึงพลังรอบตัวของเขามันต่างจากพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณแต่มันก็ยังให้ความรู้สึกอบอุ่นอยู่แม้ว่าจะเป็นสีดำก็ตาม
“ข้า...เคจ...บุตรสาวของพระเจ้าแห่งความตาย..มีความปรารถนาที่จะยืมชื่อของท่านสู่ค่ำคืนที่มืดมิดนี้ว่าจะให้คำสาบานร่วมกับ ‘เทย์เลอร์ สแตน’ หากผิดจากคำสาบานนี้พวกข้าจงลงสู่ความมืดมิดตราบนิรันดร”
เคจเปิดตาขึ้นและมองไปยังคาร์ลและเทย์เลอร์ก่อนเอ่ยต่อไป
“ข้าและเทย์เลอร์ สแตนขอสาบานว่าจะเก็บสิ่งที่สนทนากับนายน้อยคาร์ล เฮนิตัสไว้เป็นความลับพวกเราจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้กับผู้ใด”
“จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ต่อผู้ใด” เทย์เลอร์กล่าวย้ำเพื่อสิ้นสุดการกล่าวคำสาบาน
เคจปิดตาลงหลังจากที่ได้ยินเสียงของเทย์เลอร์เอ่ยขึ้น ควันสีดำเริ่มโอบล้อมพวกเขาอีกครั้ง จากนั้น....
ครืนนนนนนน
มีแรงสั่นสะเทือนดังขึ้นเบาๆอีกครั้งก่อนที่ควันดำจะหายไป การกล่าวคำสาบานได้สิ้นสุดลงแล้ว
“มันก็ค่อนข้างง่าย”
คาร์ลรู้สึกแปลกๆกับมือของเขาและเริ่มวิจารณ์กับพลังนี้มันคล้ายกับพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณเขาสามารถสัมผัสได้กับพลังนี้
“ความรู้สึกที่ท่านรู้สึกในตอนนี้คือพลังของคำสาบาน หากพวกข้าผิดคำสาบาน...นายน้อยจะทราบถึงการตายของพวกเราทันทีในฐานะที่ท่านเป็นสักขีพยาน”
“อ่า....ข้าเข้าใจแล้ว”
คาร์ลยอมรับคำอธิบายของเธอได้ง่ายๆ เขาไม่มีทางเลือกอื่นเพราะหลักฐานก็ประจักษ์อยู่ที่ความรู้สึกในมือของเขา คาร์ลเริ่มตรวจสอบความแตกต่างระหว่างพลังของพระเจ้ากับพลังศักดิ์สิทธ์โบราณภายในตัวเขาและในขณะนั้นเองเทย์เลอร์ก็วางขวดเหล้าที่เขาเตรียมมาเองวางไว้ที่กลางโต๊ะ
ปัง!
เสียงขวดเหล้ากระทบกับโต๊ะจนส่งเสียงดัง
“นายน้อยคาร์ล...ท่านอยากดื่มหรือไม่?”
“ดื่ม?”
คาร์ลโยนความต้องการของตนออกไปและเอ่ยถามพวกเขาว่าหมายถึงสิ่งใด เทย์เลอร์พยักหน้าให้กับคำถามของคาร์ล
“ใช่.....เหล้า...เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวันดีๆเช่นนี้”
เทย์เลอร์อยากดื่มกับคาร์ลคนที่เขาไม่ไว้ใจจนกระทั่งรู้สึกเปลี่ยนใจเมื่อเร็วๆนี้ เคจดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้จากการกระทำของเธอในตอนนี้และเริ่มยิ้มออกมาก่อนที่จะเอามือของเธอล้วงเข้าไปในชุดนักบวชของเธอ
“แท่น แท๊น!”
แก้วใบเล็กถูกล้วงออกมาจากชุดนักบวชของเธออย่างรวดเร็ว
“โหววว........”
คาร์ลมองแก้วที่ถูกหยิบออกมาจากชุดนักบวชของเธอมันเป็นแก้วสำหรับใส่เหล้าโดยเฉพาะ เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าเคจจะใส่มันไว้ในแขนเสื้อของเธอ
“ท่านนักบวช...”
“มีอะไรหรือ?”
“ท่านช่างน่าทึ่งนัก”
เธอเป็นคอเหล้าตัวจริงสินะ คาร์ลหยิบแก้วเหล้ามาจากเธอและผลักแก้วเหล้าไปไว้ด้านหน้าของเทย์เลอร์เมื่อแก้วทั้งสามใบถูกรินเหล้าจนเต็มแก้วแล้ว เคจจึงเอ่ยขึ้น
“นายน้อยคาร์ล...มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักบวชจะดื่มเหล้าใช่มั้ย?”
คาร์ลเอียงศีรษะของเขาไปข้างหนึ่งและเอ่ยถาม
“แล้วมันใช่ธุระอะไรของข้าด้วยหรือ?”
คาร์ลไม่สนใจว่าเธอจะดื่มหรือไม่
“ว้าว.....ข้าชื่นชอบท่านยิ่งนัก”
เคจเอ่ยชื่นชมในขณะที่ตบเข่าของเธอดังฉาดใหญ่ จากนั้นเธอก็ถามคาร์ลด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“นายน้อยคาร์ล...ท่านไม่มีความปรารถนาที่จะสนิทสนมกับพี่สาวที่มีบุคคลิกภาพที่ดีบ้างหรือ?”
“ไม่.....”
คาร์ลตอบอย่างจริงจังและหนักแน่น ก่อนที่เทย์เลอร์จะแทรกเข้ากับบทสนทนานี้อย่างรวดเร็ว
“.......แล้วพี่ชายที่มีบุคลิกภาพที่ดีล่ะ?”
“ไม่เลย...ไม่อยากแม้แต่น้อย”
เคจและเทย์เลอร์เริ่มหัวเราะออกมาแทนที่จะผิดหวังกับคำตอบของคาร์ลและคาร์ลไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรคือความตลกจากคำตอบของตนกัน เขาเพียงแค่ยกแก้วขึ้นและเริ่มพูด
“ไชโย...”
เคร้ง ! เสียงของแก้วเหล้ากระทบกันสามใบดังขึ้น คืนแห่งพระจันทร์ดับไม่มีแสงสว่างจากพระจันทร์แม้แต่น้อยแต่แสงจากแก้วเหล้ากับส่องสว่างขึ้นเฉกเช่นว่ามันกำลังเชื่อมสายสัมพันธ์ของคนทั้งสามคนเข้าด้วยกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น
“เราจะออกเดินทางกันแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”
คาร์ลไม่ทราบว่าฮันส์รู้สึกช้าหรือพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก รองพ่อบ้านฮันส์เคยได้ยินสถานการณ์เช่นนี้มาจากคาร์ลบ้างแล้วและแสร้งทำมองไม่เห็นคนสองคนที่อยู่ภายในรถม้าของคาร์ลแทนที่จะถามว่าเขาควรออกไปจากรถม้านี้ดีหรือไม่
“อืม....ออกเดินทางได้แล้ว”
แน่นอน..ว่าคาร์ลก็ออกคำสั่งอย่างง่ายๆเช่นกัน
สองชั่วโมง พวกเขาจะไปถึงทางเข้าของเมืองหลวงภายในสองชั่วโมงเท่านั้น