บทที่ 52 ชั่วชีวิตที่เขาเคยเห็น
บทที่ 52
ชั่วชีวิตที่เขาเคยเห็น
เจียงหยี่ตกอยู่ในความงงงวยอย่างแท้จริง เขาไม่สามารถทำความเข้าใจสถานการณ์นี้ได้ ผู้ว่าการวิ่งมาหาเขา เข้ามาจับมือเขา และขอบคุณเขา ใครคนหนึ่งก็คงจะรู้สึกตกตะลึงแน่นอนที่โดยเช่นนี้ แต่ทว่าหลังจากนั้น พวกเขาก็รู้สึกกระตือรือร้น ที่ได้รับคำชมจากผู้ว่าการ ถ้าเขาไม่ได้ตื่นเต้น คนรอบๆตัวเขาก็คงจะต้องเกรี้ยวกราดขึ้นมาแทน... แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกประหลาดใจอยู่แต่ความอิจฉาปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าของพวกเขา
เจียงหยี่กล่าว “ลูกชายของฉัน? คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าไม่ได้จำคนผิด ผู้ว่าการเชี่ยน?”
“ลูกชายฉันยังคงเรียนอยู่ที่โรงเรียน!”
ผู้ว่าการเชี่ยนหัวเราะ “จุ๊จุ๊ เพื่อนบ้านเก่า ไม่มีทางที่ฉันจะเข้าใจผิดไปได้ สกุลคุณคือเจียงใช่ไหม? นั้นดีแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณเข็นผลไม้ขาย? นั้นก็ดีเหมือนกัน...”
“ขอแสดงความยินดีกับคุณด้วย ลูกชายของคุณ ได้ซื้อถนนทั้งสายไปแล้ว”
เจียงหยี่รู้สึกสับสนมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เรื่องตลกประเภทไหนกัน? ครอบครัวของเขาจน และน่าสงสารชนิดที่แทบจะหาเทียบไม่ได้ และคุณกำลังบอกว่า ลูกชายของฉันซื้อทั้งถนนทั้งสายไปแล้ว?
ผู้ว่าการเชี่ยนดึงมือของเขา และพาเข้าไปด้านใน “มา ตามฉันมา ฉันจะพาคุณกลับไปดูที่บ้าน”
เจียงหยี่ถูกพาตัวไป ราวกับหุ่นที่ถูกเชิด
“พวกเราเป็น พะ เพื่อนบ้าน...”
เมื่อพูดเช่นนั้น คนที่เล่นหมากรุกพร้อมกับเจียงหยี่ ก็สามารถผ่านเข้าไปจากด้านของตำรวจได้
ลุงตำรวจไม่กล้าที่จะปิดกั้นพวกเขาในเวลานี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจจริงๆ เขาได้ปิดกั้นพ่อของพี่ใหญ่ในแนวป้องกันของตำรวจไปแล้ว และยังเตือนให้เขาทราบถึงผลที่ตามมาอีก ในเรื่องการรุกรานผู้ที่มีอิทธิพล มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่พ่อจะทำล่วงเกินลูกของตัวเอง!
ด้านข้างเต็มไปด้วยองครักษ์ที่สวมสูทสีดำ ทันทีที่พวกเขาเห็นเจียงหยี่ ที่ถูกนำทางมาโดยผู้ว่าการเชี่ยน พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าคนๆนี้ เป็นพ่อของมิสเตอร์เจียง พวกเขาแสดงความเคารพอย่างเป็นธรรมชาติ และโดยจิตใต้สำนึก พวกเขายืนยืดตัวตรง
ระหว่างทาง เจียงหยี่เห็นคนจำนวนมาก และก็มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของสายธารเมฆาอยู่ด้วย พวกเขายืนอยู่ในแถว นอกจากนี้ เขายังได้เห็นหวังเฮาจากแก็งเลิศเลอตะวันออกอีกด้วยเช่นกัน มาพร้อมกับผู้คนจากโลกใต้ดิน ที่อยู่ด้านข้างราวกับเด็กน้อยที่ซื่อสัตย์... เขาเดินผ่านพวกนั้นไป เขาก็เห็นลูกชายของเขากำลังถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนหลายคนที่ดูเหมือนจะมีอิทธิพลสูงส่ง เจียงซิ่วยืนอยู่ทามกลางพวกเขาด้วยมือไขว้หลัง การจ้องมองของเขาก็เต็มไปด้วยความดูหมิ่น ยืนอยู่ด้วยกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ ที่แม้แต่เจียงหยี่ยังรู้สึกนับถือ
ข้าราชการ พ่อค้า ทั้งผู้คนจากโลกฝั่งขาว และผู้คนจากฝั่งโลกใต้ดินของสายธารเมฆาพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่ด้านหลังของเขาและเรียกเขา
ป๊าเจียงรู้สึกตกใจสำหรับฉากที่ดูน่ามึนงงนี้ เขาตกลงไปสู่สถานะยุ่งเหยิงใจ แล้วก็ยังตามมาด้วยความกังวลใจ...
“มิสเตอร์เจียง คุณพ่อที่น่าเคารพนับถือของคุณมาแล้ว!”
เจียงซิ่วรีบหันกลับไป หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ มองดูไปที่เขา หลังจากผ่านมาเป็นระยะเวลาสามพีนปี เขาดูแก่ ดูเหมือนคนขี้แพ้ และดูไร้จิตวิญญาณ แต่เขาก็ยังสามารถที่จะเดินด้วยเท้าของตัวเองได้
เจียงซิ่วจดจำเรื่องวัยเด็กของเขาไม่ได้มากนัก พ่อของเขาถูกคุมขังเมื่อเขาอายุได้ 5 ขวบหลังจากนั้นเขาก็ได้รับการปล่อยตัวออกมา เขากลายเป็นคนเก็บตัว พ่อและลูกเริ่มพูดกันน้อยลง อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เคยลืมว่าพ่อของเขากลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต เมื่อเขาเข้าไปเยี่ยมตะกูลเฉิงในระยะเวลาก่อนหน้า มันเป็นสิ่งเดียวที่เจียงซิ่วไม่สามารถลืมมันได้ เมื่อเขาได้เห็นพ่อของเขาพร้อมกับร่างกายที่เป็นอัมพาต ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถประมาณการได้ ก็เกิดขึ้น มันราวกับว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
ความเจ็บปวดนั้น มันกรีดกระชากหัวใจเขาออกมา
“พ่อ!”
คำเรียก ‘พ่อ’ หนึ่งครั้งนี้ มันรู้หนักหน่วงมาก จนกว่าที่เขาจะกล่าวออกไปได้ แต่เมื่อกล่าวออกไปแล้ว อารมณ์มันก็ไหลออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ ส่งผลทำให้คอของเขารู้สึกเปรี้ยวขึ้น ขณะที่ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาของเขาเอง
นี้สินะ ที่เรียกว่าความผูกพันระหว่างพ่อและลูกชาย
“ซิ่วน้อย!”
เจียงหยี่ไม่กล้าเดินหน้าต่อไป เพราะเขากลัวผู้ชมที่อยู่ตรงหน้าและรอบข้างเขา อันที่จริงแล้ว เขาเกิดมาจากตระกูลที่มีอิทธิพล และก็เป็นข้าราชการมาตั้งแต่ช่วงต้นๆชีวิตของเขา เขาไม่ควรรู้สึกแบบนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผู้คนได้ย่างเข้าคุก และถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม ผู้คนนั้นก็ต้องจบลงด้วยความพินาศ
ผมของเขายุ่ง เคราของเขาก็ยาวรุงรัง เขาใส่เสื้อผ้ามือสองที่ชำรุด และใส่รองเท้าแตะยางอยู่ที่เท้าของเขา
เขารู้สึกอาย หรือกล่าวอีกนัยนึง รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า และด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่กล้าเดินหน้าต่อไป
“ทักทายเขา!”
ทุกคนกล่าออกมาในเวลาเดียวกัน “เถ้าแก่เจียง!”
ฉากที่คนหลายร้อยคนที่เรียกขานพร้อมกัน เป็นเรื่องบางอย่างที่เกินไปจริงๆ เสียงดังกึกก้องถึงท้องฟ้า ยิ่งคนมากขึ้น มันก็ส่งผลทำให้ดูน่าตื่นตกใจมากขึ้น
มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์!
ป๋าเจียงก้าวไปข้างหน้า และเดินไปหาเจียงซิ่ว แม้ว่าเขาจะอยู่ในช่วงเวลาที่ตกอับและเป็นตัวไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็ยังมีลูกที่ดี ด้วยการเรียก ‘เถ้าแก่เจียง’ นี้ ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้แล้ว ว่าผู้คนที่นี่ไม่ได้มองเขาอย่างดูถูกแต่อย่างใด แต่เขาก็ยังไม่กล้าที่จะเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้ “ซิ่วน้อย ทะ ทั้งหมดนี่คืออะไร?”
เจียงซิ่วไม่ทราบว่าจะอธิบายอย่างไรดี ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าพวกเขาจะคิดว่าเขาเป็นคนบ้า ถ้าเขาบอกว่าเขาได้ย้ายร่างไปมา
“ฉันจะอธิบายเรื่องนี้เอง หลังจากกลับไปที่บ้านแล้ว”
เพื่อนบ้านที่เดินตามหลังเจียงหยี่มา ก็รู้ยังสึกกลายเป็นโง่งม
“มะ มันเป็นลูกชายของเฒ่าเจียงจริงๆ?”
“เขาซื้อถนนทั้งสาย? นอกจากนี้กระสุนลูกใหญ่ทั้งหลาย ก็มารวมตัวกันที่นี่!”
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ”
เจียงซิ่วไม่จำเป็นต้องขึ้นไปยืนอยู่บนโต๊ะ เพื่อใช้ลำโพงพูด สายตาของเขากวาดไปยังผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งถูกบอดีการ์ดปิดกั้นไว้อยู่ “เพื่อนบ้าน ฉันรู้ว่าพวกคุณทุกคนมีความกังวลเกี่ยวกับอะไร แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล พวกคุณจะสามารถเช่าร้านค้าทั้งหมดได้ โดยที่ใช้ราคาเดิม”
ทันทีที่คำเหล่านั้นสิ้นสุดลง ทั้งถนนก็เต็มไปด้วยคำสรรเสริญ
“ขอบคุณ มิสเตอร์เจียง!”
“ขอบคุณ!”
พวกเขากลัวว่าเจียงซิ่วจะไล่พวกเขาออกไป หรือเพิ่มค่าเช่า
เจียงซิ่วกล่าว “จากนี้ไป พ่อแม่ของฉันจะดูแลถนนสายนี้แทน คุณสามารถไปพบพวกเขาได้ หากมีคำถามใดๆ”
“แค่นี้หล่ะ!”
เพื่อนบ้านเริ่มตบมือ
สำหรับทั้งคู่ เจียงหยี่และหลินเยี่ยหลิง พวกเขายังคงรู้สึกสับสน รู้สึกไม่สมจริงมากเกินไปบ้าง ในทันทีก็กลายเป็นคนรวยในชั่วข้ามคืน วันคืนที่ยากลำบากพวกนั้น รู้สึกเหมือนฝันสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก
“เอาหล่ะ ตอนนี้พวกคุณก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองได้แล้ว”
บอดี้การ์ดออกจากสถานที่ และเพื่อนบ้านทั้งหมดก็กลับไปที่ร้านค้าของตัวเอง ถังเฉิ่นเชียนกล่าว “มิสเตอร์เจียง เรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ฉันจะกลับบ้าน เพื่อที่จะให้คุณสามารถใช้เวลากับครอบครัวของคุณได้”
“คุณเจียง คุณนายเจียง ฉันต้องกล่าวคำอ่ำลาแล้ว”
ถังเฉิ่นเชียนค่อนข้างแก่กว่าพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกแปลกๆ เมื่อเขาทำตัวสุภาพ
“ซิ่วน้อย สามารถบอกเราได้ไหมว่านี่มันเรื่องอะไร?”
หลังจากกลับมาถึงบ้าน สามีและภรรยารู้สึกกระวนกระวายใจ อยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เจียงซิ่วคิดข้ออ้างได้แล้วเรียบร้อยแล้ว “ก่อนหน้านี้ ฉันไปที่ภูเขาเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย และเห็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถเกือบจะตกลงไปในหน้าผา ฉันช่วยพวกเขาไว้ และคนภายในรถไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเสียจากพ่อแก่ถัง ถังเฉิ่นเชียน เขาสัญญาว่าจะทำสิ่งหนึ่งเพื่อตอบแทนบุญคุณฉัน”
ทั้งคู่ตื่นเต้นมากหลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้
หลินเยี่ยหลิงกล่าวออกมาในทันที “พ่อแก่ถังสร้างฉากที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ในการชำระหนี้ครั้งนี้ ลูกไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งนั้น บางครั้ง ความมั่งคั่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป มันสามารถทำลายชีวิตตัวเองได้”
“ลูกควรจะขอความโปรดปรานในอาชีพแทนที่จะทำเป็นแบบนี้”
หลินเยี่ยหลิงเป็นลูกสาวของตระกูลผู้มีอิทธิพล ความคิดเห็นของเธอเป็นเรื่องปกติแล้ว ที่จะแตกต่างไปคนละระดับกับผู้หญิงธรรมดาๆ ถ้าคนมีเงินอยู่แล้ว พวกเขาจะกระเสือกกระสนพยายามทำอะไรเพิ่มให้ตัวเองไปทำไม? ความเป็นไปในเรื่องนี้น้อยมาก โดยปกติแล้ว ความสำเร็จของพวกเขาจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นของตัวตนคนๆนั้น
เจียงซิ่วหัวเราะ “เขาไม่ได้ใจกว้าง เขาคงจะต้องวางแผนซื้อมันอยู่ดีในไม่กี่ปีนี้ แล้วก็สร้างมันใหม่ทั้งหมดโดยการเริ่มโครงการขึ้น ตอนนั้นถนนก็จะไม่เป็นของเราอีกต่อไปแล้ว”
การให้ถนนกับพวกเขาเพียงไม่กี่ปีก็น่าทึ่งอยู่แล้ว ค่าเช่าร้านๆหนึ่งต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 1000 หยวน และมันมีอยู่ 1000 ร้านค้า มันมีมูลค่าเป็นล้านต่อเดือน มากกว่า10ล้านต่อปี และหลายล้านหยวนภายในไม่กี่ปีนี้
“เอาเถอะ!”
หลินเยี่ยหลิงก็ยังคิดว่าเรื่องนี้เกินไปเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับครอบครัวของพวกเขา ทุกคนปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขในแต่ละวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเจียงหยี่และหลินเยี่ยหลิง ผู้ที่เคยเป็นคนร่ำรวยมาก่อน
“แม่จะไปซื้อเนื้อ คืนนี้เราจะฉลองกัน”
เจียงซิ่วรู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง หลังจากมองไปที่รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของแม่
ในความทรงจำของเขา แม่ไม่ค่อยได้แสดงรอยยิ้มแบบนี้ออกมาเลย
ต่อจากนั้น เธอเอากระเป๋าเงินของเธอ และก็ออกไปตลาด เพื่อไปซื้ออาหาร
เวลานี้ คนในตลาดไม่กล้าที่จะรับเงินของเธอแน่นอน นี่ไม่ใช่เรื่องตลกเลย ที่จะเก็บเงินกับคนที่เป็นเจ้าของของถนนทั้งสาย
อย่างไรก็ตาม เจียงหยี่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา แม้ว่าคำอธิบายของเจียงซิ่วจะน่าคิด แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามีข้อที่น่าสงสัยหลายอย่างในคำกล่าวเหล่านี้ ถ้ามันเป็นเพียงชดใช้หนี้ด้วยความกตัญญู พวกเขาจะไม่ทำให้เรื่องนี้มันดูยิ่งใหญ่เช่นนี้ ตั้งแต่แรก ถังเฉิ่นเชียนเผยความเคารพต่อเจียงซิ่วมาตลอดเวลา เคารพยิ่งกว่าที่เขาแสดงกับพวกเขาเสียอีก ซึ่งพวกเขาเป็นพ่อแม่ของเขา ถ้าเป็นการตอบแทนบุคคุณดังกล่าว แค่การแสดงความสุภาพก็เพียงพอแล้ว เขาเชื่อว่ามันต้องมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่เจียงซิ่วไม่ได้กล่าวถึง
เจียงซิ่วกล่าว “พ่อ พ่อคิดว่าที่ไหนมันดีกว่ากัน? ถ้าเราจะย้ายบ้านใหม่”
เจียงหยี่ส่ายหัว “แกและแม่ของแก สามารถตัดสินใจกันเองได้”
ป๊าเจียงจ้องมองอย่างสงบ ก่อนหน้านี้ เจียงซิ่วไม่เคยทำความเข้าใจความคิดของพ่อได้เลย แต่ตอนนี้ เขามองออกแล้ว ว่าเขาเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจ เขาไม่เคยลืมวันที่เขาเคยมีเกียรติยศและความปราถนา ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่อดทนและฝ่าฝันอุปสรรคความรักของตัวเองมาได้ ความเจ็บปวดเพียงอย่างเดียวที่เขารู้สึก ก็คือการที่เขาไม่สามารถบรรลุความทะเยอทะยานได้ แม้ว่าภูเขาทองและเงินจะถูกวางไว้ข้างหน้าของคนอย่างเขา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าพวกมันอยู่ไกลออกไป และพวกมันจะไม่มีวันยอมรับเขา
มันมีเรื่องที่วนเวียนอยู่ในใจเขามากเกินไป
และแหล่งตัวต้นเรื่องพวกนั้น ก็อยู่ที่เมืองหลวงจักรพรรดิ!
เขามีความปรารถนาที่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง มันคือการที่เจียงซิ่วจะต้องไปที่นั้นสักครั้งแล้ว
เมื่อเขาเข้าใจความคิดของพ่อ เทพซิ่วก็ยิ้มอย่างบางๆ เมืองหลวงจักรพรรดิ เช่นเดียวกันกับตระกลูที่โดดเด่น มันไม่มีอะไรเทียบได้กับชีวิตที่เทพซิ่วเคยได้เห็น
ทั้ง 3000 โลกล้วนขาดแคลน และชาวบ้านธรรมดาถือว่ามีสถานะต่ำต้อยเหมือนโคลนบนพื้นดิน