บทที่ 48 ความอัปยศ
บทที่ 48
ความอัปยศ
มองไปยังลูกชายเธอ ที่กลับมาถึงแล้ว หลินเยี่ยหลิงเค้นรอยยิ้ม “ลูกกลับมาแล้ว มาทักทายแขกเร็ว!”
พี่สาวเอ๋อหลินและครอบครัวเจียงต่างก็พึ่งพากัน แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอผ่านมายังแผงผลไม้ เธอก็จะหยิบกินผลไม้ไปฟรีๆ และไม่พอ ยังต้องปฏิบัตรกับเธอด้วยความเคารพอีกด้วย เพราะไม่งั้นมันอาจจะให้การทำมาหากินของพวกเราพังพินาศได้
สายตาของเจียงซิ่วกวาดผ่านตัวเธอ อาการห่างเหินเกิดขึ้นในสายตาของเขา มันมาจากการใช้ชีวิตมากกว่า3000ปีของตัวเขาเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาจะยอมก้มคำนับกับแม่ค้าตลาดธรรมดาๆนางนี้ได้อย่างไร? นั้นเป็นเรื่องตลกเกินไปแล้ว
เมื่อเห็นลูกชายของเธอทำแบบนี้ หลินเยี่ยหลิงคิดว่าเขาต้องได้ยินคำพูดของพี่สาวเอ๋อหลินแน่ๆ เธอรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “การศึกษาในปัจจุบันข้องค้างกดดันมาก”
พี่สาวเอ๋อหลินไม่ย่อมที่จะทำเป็นไม่รับรู้ โดยทันที เธอแสดงความไม่พอใจออกมา “เยี่ยหลิง จำคำของฉันไว้ มันจะดีกว่าที่ลูกของเธอหยุดเรียนไปซะ และไปทำงานให้หนักในการเป็นกรรมกร หรือไม่ก็เป็นพนักงานเสิร์ฟตามโรงแรม นั้นมันยังจะดีซะกว่า ยอมเป็นบ้าแบบนี้เพื่อที่จะต้องจบการศึกษาได้ นั่นดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการสิ้นเปลืองเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์ ไปให้กับเขา”
ได้ยินคำพูดไม่เข้าเหล่านั้น หลินเยี่ยหลิงซึ่งมีลูกชายเพียงคนเดียว และเธอเองก็ยังรักเขามากๆ การได้ยินคำพูดเหล่านั้น ที่เปรียบเสมือนเป็นการลูบคมของเธอ มันทำให้ผมของเธอตั้งชันขึ้น และใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ
แต่ทว่าเธอก็ยังคงยิ้ม “วัยรุ่นก็ถือว่ายังเป็นเด็ก บางครั้งพวกเขาอย่างจะแสดงกิริยาเกินสมควรมาบ้าง”
“วัยรุ่น นี่คือเขาใกล้ถึง18แล้วใช่ไหม?”
“เขาไม่ใช่เด็กแล้ว!”
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจ ขณะที่เธอเหลือบมองยังเจียงซิ่วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูหมิ่น เธอมีลูกชายวัยเดียวกันกับเจียงซิ่ว เธอมักจะโอ้อวดอยู่เสมอ ว่าลูกชายของเธอดีกว่าเจียงซิ่ว ว่าเขาผ่านการสอบเข้าไปในโรงเรียนเฟริสไฮได้ ขณะที่เจียงซิ่วไม่สามารถแม้แต่จะสอบเข้าไปในโรงเรียนสายธารเมฆาได้เลย แต่ท้ายที่สุด ครอบควัรเจียงก็ต้องใช้สายสัมพันธ์ของพวกเขาเอง เจียงหยี่เดินทางไปหาตระกูลเฉิง เพื่อให้เจียงซิ่วได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดของเมืองเจียงทันที นั้นก็คือเซกเก้นไฮ แต่สำหรับลูกชายของเธอแล้ว เขาไม่ได้มีโควตาพิเศษแบบนั้น แม้แต่โรงเรียนสายธารเมฆา เขาก็ต้องจ่ายเงินและก็แข่งขันเพื่อที่จะได้ที่นั่ง
“ไม่อนุญาตให้ต่อรอง ค่าเช่าจะขึ้นเป็น 300 หยวน!”
หลินเยี่ยหลิงร้องออกมา “เมื่อกี้คุณไม่ได้บอกว่า 200 หยวนหรอ?”
200 ก็เกินขีดจำกัดของครอบครัวเจียงแล้ว ค่ากินอยู่ของเจียงซิ่วเพียงคนเดียว ก็ปาเข้าไป 200 หยวนแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับเงินพิเศษอื่นๆอีก แต่ก็ในเงิน 200 หยวนนั้น เขาก็จำเป็นต้องออมมันไว้ด้วย
พี่สาวเอ๋อหลิน “เธอไม่พอใจรึไง? ฉันจะเพิ่มมันเป็น 400 เอายังไง? เธอจะจ่ายมันไหมหรือไม่จ่าย?”
“หญิงชราคนนี้ ไม่มีหน้าที่ที่จะช่วยเลี้ยงลูกของเธอ”
“ลูก เข้าไปในบ้านก่อนนะ”
ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 หยวน มันเป็นสิ่งที่ไม่มีวันยอมรับได้ ค่าเช่าอยู่ที่ 800 หยวนต่อเดือน และหลังจากเพิ่มขึ้น 400 มันก็จะเป็น 1200 หยวน
ครอบครัวของเธอคงจะต้องเหน็บหนาวและโหยหิวแล้ว
เหตุผลที่เธอขอร้องพี่สาวเอ๋อหลิน ก็เนื่องจากมันถูกเพิ่มขึ้นในราคาที่พวกเธอไม่สามารถหามาจ่ายได้
เจียงซิ่วยังจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แม่ของเขาถูกบังคับให้คุกเข่าลงโดยหญิงคนนี้ หญิงสาวคนโตแห่งตระกูลหลินที่ทรงอำนาจ ธิดาสูงศักดิ์แห่งตระกูลที่มีชื่อเสียงระดับสูง ต้องคุกเข่าลงให้แม่ค้าตลาดขี้โมโหคนนี้ ต่อหน้าเจียงซิ่ว
นึกถึงเรื่องนี้ได้ มันทำให้เจียงซิ่วรู้สึกเหมือนมันมีหนามทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจเขา
เจียงซิ่วกล่าว “แม่ แม่ไม่ต้องทำงานอีกแล้ว เราขอย้าย!”
สายตาของหลินเยี่ยหลิงเบิกกว้าง เธอเริ่มเหงื่อออกด้วยความกลัว เรื่องไร้สาระ ที่ลูกชายโง่เขลาคนนี้พูด คืออะไร? ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ได้ด้วยการขายผลไม้ เราจะทำยังไรให้มีชีวิตต่อ หลังจากที่ย้ายออกไปแล้ว เราจะไม่ไปอดตายที่ข้างถนนหรอ?
ยิ่งไปกว่านั้น เจียงซิ่วยังคงเรียนอยู่มัธยมปลายในช่วงเวลานี้ และเขากำลังจะขึ้นสู่มหาวิทยาลัยในปีหน้านี้ หลินเยี่ยหลิงยินดีที่จะทำงานหนัก แต่ก็ไม่พร้อมที่จะเอาอนาคตของลูกชายเธอเองมาเสี่ยง
พี่สาวเอ๋อหลินกล่าว “ดี ดีมาก ไปเก็บของสิ นี้ละเป็นสิ่งที่ฉันต้องการ”
หลินเยี่ยหลิงกังวลใจ ขณะที่เหงื่อไหลลงมาที่หน้าผากของเธอไม่หยุด ก็เนื่องจากควาดหวาดกลัว “เด็กเหลือขอตัวเหม็น เรื่องไร้สาระอะไรกันที่ลูกพูด? พี่สาวเอ๋อหลินดูแลเรามานานหลายปีแล้ว เข้าไปในบ้านเร็วๆ เลยนะ”
ดูแลเรา? มันเป็นการข่มขู่และการมอบความอัปยศให้ ถูกไหม?
พี่สาวเอ๋อหลินรู้ว่าครอบครัวเจียงยากจน และก็รู้ด้วยว่าพวกเขาจะไม่กล้าย้ายไปไหนแน่ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมค่าเช่าห้องชุดขนาดเล็กขนาด 4 ตารางฟุต จึงถูกเพิ่มราคาขึ้นจาก 100 หยวนต่อเดือน เป็น 800 หยวนต่อเดือน และตอนนี้มันก็ไปจนถึง 1200 หยวนต่อเดือน แม้แต่พื้นที่ๆ เจริญกว่านี้และดีกว่าสถานที่แห่งนี้ ก็ไม่มีราคาค่าเช่าที่สูงเช่นนี้
“แม่ ฉันมีเงิน ฉันจะซื้อให้บ้านให้แม่เอง”
หลินเยี่ยหลิงแทบจะกระอักเลือดเนื่องจากความวิตกกังวล ลูกกำลังโม้อะไรอยู่? ลูกเชื่อว่าพี่สาวเอ๋อหลินจะเชื่อ และก็กลัวเรื่องนี้? นั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้าเธออยากจะไล่เราออกไปจริงๆ เราก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
“หยุดพูดไร้สาระ และเข้าไปข้างในได้แล้ว”
เสียงของแม่ดูเข้มงวดมากขึ้น ขณะด้วยกันเธอก็เอื้อมมือออกไปผลักเจียงซิ่วไปด้วย
“แม่ ฉันมีเงินจริงๆนะ!”
เขามีเงินจริงๆ และสามารถใช้คำว่ามั่งคั่งได้ เขามีหนึ่งล้านหยวนอยู่ในกระเป๋า เป็นเจ้าของหุ้น 70% ของกลุ่มบริษัทอนันทรัพย์ ซึ่งมีมูลค่า 2 หมื่นล้าน เทพซิ่วเป็เนจ้าภาพใหญ่ที่มีเงินมูลค่าหลายพันล้านหยวนอยู่ในมือขณะนี้
“หยุดพูด...”
พี่สาวเอ๋อหลินกล่าว “แกทำได้ดีจริงๆ ใช้ท่าทางแบบนี้กับหญิงชราคนนี้ ถ้าครอบครัวของแกมั่งคั่ง ฉันก็คงเป็นหมูแล้ว คนที่ยากจนเหมือนแกกำลังพยายามที่จะโกงหญิงชราคนนี้ มองไปที่แกเพียงครั้งเดียว ฉันก็ยังบอกได้เลยว่าแกจะไม่มีวันได้ดีไปตลอดชีวิต”
“แกไม่ได้มั่งคั่งหรอกหรือ?”
“เก็บของออกไปเดี๋ยวนี้!”
แปะ! แปะ! แปะ! พี่สาวเอ๋อหลินดึงดูดความสนใจของทุกคนโดยการตบมือ “ทุกคน เด็กน้อยของเยี่ยหลิงได้เติบโตขึ้นแล้ว เข้ามาดู เขามาตลาดเพื่อซื้อบ้านเป็นของตัวเอง”
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว เพื่อนบ้านทุกคนก็ออกมา เพื่อที่จะรอเพลิดเพลินไปกับการดูละครชีวิตจริง
“มันจริง? เจียงซิ่วไม่ได้กำลังศึกษาอยู่หรอ?”
“เขาจะหาเงินจากไหนมาซื้อ? เขาก็แค่โม้ใช่มั้ย?”
“นั้นไม่มีทางเป็นไปได้!”
พี่สาวเอ๋อหลินมีทักษะคล้ายคลึงกับไก่ตัวเมีย ทันทีที่เธอเห็นว่าทุกคนรวมตัวกันเป็นวงกลม เธอก็เดินเข้าไปกลางวงนั้น “ทุกคน ฉันไม่ได้บังคับเยี่ยหลิงเลยนะ แต่ลูกชายของเธอเป็นคนที่บอกว่าไม่ได้ต้องการเช่าสถานที่นี้แล้ว และเขาต้องการซื้อมันให้กับเธอ ฉันไม่ได้ทำอะไรที่ไร้ความยุติธรรมเลย เด็กคนนี้แม้ว่าจะไม่เคยซึมซับกับสิ่งที่เรียนมาเลย แต่เขาก็ยังคงมีทักษะที่น่าอัศจรรย์บางอย่าง อย่างเช่นการโม้”
“ใครก็ตามที่ต้องการร้านของฉัน ฉันก็พร้อมที่จะเช่าให้คนๆนั้นเช่า”
“ฉันจะจ่ายค่าไฟฟ้าและค่าน้ำสำหรับสามเดือนแรกให้เลย!”
คนที่อยู่ด้านข้างตื่นเต้น ค่าไฟและค่าน้ำสำหรับเดือนนึงคือ200หยวนขึ้นไป สิ่งนี้เองมันทำให้เกิดปัญหากับร้านค้าบางแห่งเสียด้วย ดูเหมือนว่าร้านผลไม้ของครอบครัวเจียงซิ่วก็ไม่ได้ทำเงินได้มากนัก มันให้เพียงพอสำหรับเลี้ยงทั้งครอบครัว มันมีหลายคนที่อยากได้สถานที่แห่งนี้!
“พี่สาวเอ๋อหลิน คุณต้องรักษาคำพูดของคุณ!”
“หญิงชราคนนี้จะไม่กลับคำพูดของตัวเองอย่างแน่นอน”
หลินเยี่ยหลิงกล่าวอย่างกังวล “พี่สาวเอ๋อหลิน ที่ลูกชายฉันแสดงท่าทีหยาบคายออกไป อย่าลดตัวไปยุ่งกับเขาเลย”
“มันไม่ใช่แค่การเพิ่มค่าเช่าเท่านั้นหรือ? ไม่เป็นไร พวกเรายอมรับมันได้”
พี่สาวเอ๋อหลินกล่าว “เธอพูดอะไร? เธอยังเชื่ออยู่ ว่าฉันต้องการที่จะให้ครอบครัวพวกเธอเช่าที่นี่? ฟังจากคำพูดเหล่านั้นแล้ว มันทำให้ฉันกลัวแทบตาย เขาจะซื้อบ้าน และเขาก็ยังพูดอีกว่า มันไม่ใช่เรื่องตลก ฉันไม่สามารถให้ครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ของเธอ เช่าได้อีกต่อไปแล้ว ฉันจะทำยังไง เมื่อพวกเธอขยี้ฉันด้วยเงินจนฉันตาย?”
หลินเยี่ยหลิงกล่าว “พี่สาวเอ๋อหลิน ใจเย็นๆ... อารมณ์เย็นๆก่อน”
“ฉันไม่กล้า ลูกชายของเธอดุร้ายมาก ฉันกลัวการแล้ว ฉันกลัวที่จะให้เธอเช่าสถานที่แห่งนี้แล้ว”
“โคชุ๋ยโหยง ทำไมเธอไม่มาเช่าร้านของฉันหล่ะ?”
ชายวัยกลางคนที่พูดก่อนหน้านนี้ รีบตอบรับหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น “ฉันต้องการมัน ทำไมฉันถึงไม่ต้องการหล่ะ? พี่สาวเอ๋อหลิน มาคุยกันในบ้านฉันเถอะ...” พูดได้ดังนั้น โคชุ๋ยโหยงก็เดินไปตรงอาคารที่เปิดโล่งอยู่
พี่สาวเอ๋อหลินบิดตัวเหมือนหมู และก็เดินตามเขาไป
หลินเยี่ยหลิงหวาดกลัว และก็วิ่งตามเธอไป “พี่สาวเอ๋อหลิน พี่สาวเอ๋อหลิน...”
“ครอบครัวเจียงจะต้องได้รับความทรมานอย่างแน่นอน”
ทุกคนมีความสุขสำหรับการดูละคร
“ลูกชายของเยี่ยหลิงเป็นพวกโง่เง่าจริงๆ เขาเลือกที่จะต่อสู้กับผู้ให้เช่า นี้มันไม่ได้เป็นการให้ตัวเองต้องเผชิญกับภัยพิบัติรึไง?”
“เขาไม่ควรที่จะคิดการใหญ่โต ถ้าเขาไม่มีเงินเพียงพอ”
พี่สาวเอ๋อหลินและโคชุ๋ยโหลงเข้าไปในร้าน เมื่อเอ๋อหลินเห็นหลินเยี่ยหลิงไล่ตามเธอมา อาการดูหมิ่นก็เกิดขึ้นเต็มอยู่บนใบหน้าเธอ “อย่าพยายามที่จะบอกว่ามันเป็นความเข้าใจผิด หญิงชราคนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้เช่าเช่นเธอ ใช้บริการได้แค่คนเดียว”
หลินเยี่ยหลิงขอร้องเธอ “พี่สาวเอ๋อหลิน เราคุ้นเคยกันมามากกว่า 10 ปี และมีความสัมพันธ์ที่ดีเสมอมา ซิ่วน้อยยังเด็กเกินไป เขาคงเป็นกังวลกับสถานการณ์ในครอบครัว คุณไม่จำเป็นต้องเก็บคำพูดเขาไปใส่ใจ”
“ฉันจะขอโทษคุณ กรุณาให้ฉันเช่าต่อด้วยเถอะค่ะ”
น้ำตาไหลนองหน้าเธอ ไม่มีใครทราบว่ามันยากลำบากสำหรับเธอมากแค่ไหนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ หลังจากที่เจียงหยี่ถูกปล่อยตัวจากคุก เขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้อีก ชีวิตเป็นเรื่องยาก และเจียงซิ่วเองก็ยังเล็กอยู่ ทั้งครอบครัวถูกรับผิดชอบจากแค่เธอคนเดียว แต่ทว่าเธอก็ดื้อรั้นดิ้นรน และเธอก็ไม่เคยร้องไห้ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความวิงวอน
“ฉันขอร้องคุณ!”
พี่สาวเอ๋อหลินเย้ยหยันเธอ “ขอร้องฉัน? เอาหล่ะ ทำให้ลูกชายที่น่าทึ่งของเธอคุกเข่าลง และขอให้เขาโทษฉัน ถ้าไม่ อย่าหวังว่าจะได้เช่าร้านค้าของหญิงชราคนนี้อีกเลย”
“ห้ะ?”
รูม่านตาของหลินเยี่ยหลิงแคบลง เจียงซิ่วเป็นความหวังสำหรับตัวเธอ เธอจะยอมให้เขาได้รับความอับอายนี้ได้อย่างไร? “พี่สาวเอ๋อหลิน เขาเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่โต และมีความถือดีที่ยิ่งใหญ่ เป็นอย่างงั้นแล้ว....”
“ฉะ ฉันจะขอโทษคุณแทนเขา!”
เสียงของเธอสั่น ขณะที่เธอพูดคำเหล่านั้นออกมา และเธอดูเหมือนจะสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเธอไป
หลิงเยี่ยหลิง หลินเยี่ยหลิง นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่? เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเธอไม่รู้จักตัวเอง เจ้าหญิงที่ภาคภูมิของตระกลูหลิน กำลังที่จะเตรียมคุกเข่าลงต่อหน้าหญิงขี้โวยวายเจ้าของสถานที่เพียง 5 ตารางฟุตคนนี้
“เอาหล่ะ คุกเข่าลง!”
ผิวของหลินเยี่ยหลิงซีดจางลง ขณะที่เธอก้มศีรษะ เธอไม่กล้าที่จะแสดงใบหน้าของเธอกับใครได้ ขณะที่หัวเข่าเธอกำลังงอตัวลง