บทที่ 41 ดวล
บทที่ 41
ดวล
จากประสบการณที่กว้างขวางของเขา ถังเฉิ่นเชียนตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิด ส่งผลให้เกิดการแสดงออกอย่างแปลกประหลาดบนใบหน้าของเขา คำโกหกนี้ค่อนข้างไม่แนบเนียน เขาเองเป็นคนที่เห็นเจียงซิ่ววาดยันต์เองกับตา ดังนั้นแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ยันต์อันนี้ จะเป็นของพวกเขา
หมอผีหวูหลงกล่าว “โปรดกล่าวความจริงออกมา พ่อแก่ ใครเป็นคนมอบยันต์นี้ให้คุณ?”
เขาเดา ยันต์นี่ก็คงจะได้มาจากตาแก่คนนึง เป็นไม่ได้ที่จะมีมากไปกว่านั้น
ถังเฉิ่นเชียนเป็นคนฉลาด เขารู้ได้ทันที ว่าหมอผีหวูหลงกำลังวางแผนอะไรอยู่ หลังจากการมองไปเพียงครั้งเดียว เขาเคยล่วงเกินเจียงซิ่วไป และก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่เท่าเทียมกัน มันเป็นบทเรียนที่เปื้อนเลือด
“มันเป็นของฉันเอง”
ในบรรดาทั้งสามหมอผี พวกเขาย่อมเป็นหมอผีชั้นยอด พวกเขาครอบครองทักษะเล้นลับ แม้ว่าเจียงซิ่วจะบ่มเพาะเต๋าแห่งการต่อสู้มาในระดับสูงส่ง แต่อัตตราแพ้ชะเมื่อสู้กับหมอผีทั้งสามคนได้สำเร็จนั้น ดูเหมือนมันโอกาสมันจะมีน้อยมากกว่าเยอะ ถ้าเขาซ่อนความรู้สึกมีต่อเจียงซิ่วในเรื่องแขนที่ถูกตัดให้พิการโดยเขา เมื่อเขาซ่อนมัน เขาก็จะถูกเจียงซิ่วค้นพบในพริบตา แต่เพราะเขาไม่ได้ทำแบบนั้น ก็ฉะนั้นเพราะลักษณะนิสัยของเขาค่อนข้างเป็นที่ชัดเจน
“หึ่ม!”
ศิษที่หยิ่งยะโสของหมอผีหวูหลง หลงเอ๋อเทียนหัวเราะในใจ “อาวุโสสี่ถัง อย่าโกหกพ่อคนนี้ คุณไม่ใช่หมอผี และไม่ทราบเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังว่าเอาไว้ทำอะไร ฉะนั้นแล้วคุณจะไปหายันต์ระดับสูงมาด้วยตัวเองได้อย่างไร?”
“จงนำของในมือคุณมาตรงนี้ซะ หรือจะให้พ่อคนนี้ทำให้คุณหลับด้วยมนตร์คถาของฉัน?”
คำเหล่านี้ไม่เพียงแต่หยาบคาย แต่ยังแฝงไปด้วยการข่มขู่
ใบหน้าของถังเฉิ่นเชียนเปลี่ยนไป เขาได้ยินมาว่าหมอผีสามารถฆ่าคนได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร โดยการทำให้ผู้คนตายด้วยการนอนหลับ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาสาเหตุของความตายที่เงียบสงบเช่นนี้ได้
“พูดมัน ใครเป็นคนมอบให้แก่คุณ?”
ในห้องโถงกลายเป็นเย็นยะเยือกขึ้น
เผชิญหน้ากับการสั่งอย่างเผด็จการของหลงเอ๋อเทียน ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา พวกเขาไม่เต็มใจที่จะแข็งขืนกับผู้ชายคนนั้น แม้จะไม่มีหวูหลงคอยคุมกำบังให้ แต่ตัวเขาเองก็ยังคงแข็งแกร่งมากนัก เนื่องจากพวกเขาไม่กล้าที่จะต่อต้าน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถมองไปที่ถังเฉิ่นเชียนอย่างเห็นอกเห็นใจแต่เพียงเท่านั้น
ปัญหามาเคาะถึงประตูบ้านพ่อแก่ ก็คราวนี้แล้ว
ถ้าเขาเปิดเผยเรื่องนี้ มันก็เท่ากับการขายเพื่อน และถ้าเขาไม่ทำมัน คนที่ทำให้เกิดปัญหาเช่นหวูหลงก็คงจะไม่ปล่อยเขาไปแน่นอน
มองไปที่ถังเฉิ่นเชียนซึ่งกำลังยืนเงียบ เสียงของหมอผีหวูหลงก็ดูเหมือนจะโทนต่ำลง “พ่อแก่ อย่าตำหนิฉัน ถ้าพ่อแก่ไม่มีอธิบายมา”
อันที่จริงแล้ว จริงๆแล้วเขาก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ศิษของเขาคงจะไม่กล้าทำตัวลักษณะนี้กับถังเฉิ่นเชียน ถ้าเขาหวูหลงเลือกที่จะเคารพเขาก่อนตั้งแต่เฃแรก ไม่งั้นคนอื่นๆก็คงจะไม่เรียกเขาว่าอาวุโสสี่
ในความเป็นจริง ถังเฉิ่นเชียนควบคุมกองกำลังทหารที่โดดเด่น และยังเป็นนายทหารระดับสูงสุดของเมืองเจียง ตระกูลถังสำหรับเมืองเจียงจึงกล่าวได้ว่าค่อนข้างมีอิทธิพล ในทางตรงกันข้าม หมอผีหวูหลง และส่วนที่เหลือ โดดเด่นเฉพาะเจียงหู่ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่มีบรรทัดฐานในการนำมาเปรียบเทียบกัน
นักวิชาการ ใช้คำพูดออกกฏหมายเพื่อฝึกซักซ้อม วีรบุรุษใช้ศิลปะการต่อสู้เพื่อสร้างคำสั่งการ สร้างชนชั้น หมอผีชอบอวดพลังมนตร์คาถาของพวกเขา และก็เกลียดเจ้าหน้าทุกๆประเภท สำหรับถังเฉิ่นเชียน เขาค่อนข้างยากที่จะจัดการ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงกลัวอยู่นิดหน่อย
“คุณจะไม่กล่าวอะไรเลย?”
หมอผีหวูหลงก้าวนขึ้นไปข้างหน้า ประกายแววตาที่หน้าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นในสายตาของเขา ตั้งแต่ที่ถังเฉิ่นเชียนไม่เต็มใจที่จะพูด เขาก็จะใช้กำลัง
“เทพคนนี้เป็นคนมอบมันให้เอง!”
ในกะทันหัน เสียงนี้ก็ผ่านเข้ามา
ทุกคนหันกลับมามองเขา มันเป็นเขาจริงๆ
เจียงซิ่วเดินเข้ามาอย่างช้าๆจากโต๊ะอาหาร
เขาแกว่งเท้าหาความตาย? เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังต่อต้านใครอยู่?
“มิสเตอร์เจียง!”
สายตาของเจียงซิ่วผาดพ่านหมอผีหวูหลง หนานกุ๋ย และท่านอาจารย์น้อย “‘ยันต์หวนคืนต้นกำเนิดเศษชิ้นส่วนวิญญาณ’ นี่ เป็นเทพคนนี้ ที่มอบให้กับพ่อแก่ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการฝั่งศพของเขา”
“มันเป็นแก!”
ความปิติยินดีกระพริบผ่านสายตาของหมอผีหวูหลง มันเป็นสารเลวนี้จริงๆ ดีมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมสารเลานี้ถังสามารถเข้ามาได้ เขามอบของขวัญนี้อย่างใจกว้างให้ถังเฉิ่นเชียน
“แกกล้าดีจริงๆ ที่โขมยยันตร์ของฉันไป”
เจียงซิ่วขมวดคิ้วของเขา “ยันตร์ของแก?”
ตาที่แคบลงของหมอผีหวูหลงเบิกกว้างด้วยความโกรธ บ่วงหนามอันชั่วร้าย ดูเหมือนจะวนเวียนอยู่ในสายตา “ฉันสามารถช่วยแกได้ ถ้าแกมอบพวกมันอันอื่นๆให้ในทันที มิเช่นนั้น...”
เจียงซิ่วถาม “มิเช่นนั้นอะไร?”
หมอผีหวูหลงตอบกลับ “มิเช่นนั้นแล้วคพแกก็คงต้องอยู่ที่นี่”
วูสส!
ทุกคนในที่นี้รู้สึกหายใจขาดหวง โหดเหี้ยมมาก
ท่าทางของถังเฉิ่นเชียนเองก็เปลี่ยนไป “ท่านหวูหลง ท่านเป็นคนที่มีชื่อเสียงกึกก้องในเจียงหนาน ท่านต้องการทำให้ชีวิตของคนรุ่นใหม่กลายเป็นเรื่องยากเพราะยันต์อันเดียวหรือไม่? ฉันจะให้ ‘ยันต์หวนคืนต้นกำเนิดเศษชิ้นส่วนวิญญาณ’ แก่ท่าน!”
พูดได้ดังนั้น เขาก็ส่งยันต์ออกไป
หมอผีคนอื่นๆก็โน้มน้าวด้วยเช่นกัน “ใช่แล้วท่านหวูหลง ท่านไม่ควรลดระดับตัวเองลงไปเพราะสารเลวตัวนี้ มันจะเป็นการสร้างความอัปยศให้แก่ตนเองเสียมากกว่า” พวกเขาไม่ได้พยายามช่วยเจียงซิ่ว ในทางกลับกัน พวกเขาต้องการสนับสนุนถังเฉิ่นเชียน
“ใช่ ให้มันไป”
อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ทุกคนรู้ว่าคนอย่างหวูหลงเป็นแบบไหน เป็นไปได้ไหมที่เป็นสารเลวน้อยจะขโมยของล้ำค่าจากมือเขาไปได้? พวกเขามีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี ในใจของพวกเขา ได้แค่จดจำถึงความโชคร้ายของสารเลวตัวนี้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พวกเขาเลือกที่จะก็มองข้ามความโลภของหมอผีหวูหลงไป เขาต้องการ ‘ยันต์หวนคืนต้นกำเนิดเศษชิ้นส่วนวิญญาณ’ และของดีที่เจียงซิ่วมีทั้งหมด พวกเขาเชื่อว่าเจียงซิ่วอาจจะมียันต์ดีๆ หรืออย่างอื่นๆ เหลืออยู่บ้าง
หมอผีหวูหลงกล่าว “ถ้าแกไม่มอบยันต์ที่เหลืออยู่ที่แกขโมยมาจากฉันไป ฉันจะไม่ให้อภัยแก”
เจียงซิ่วไม่หวาดหวั่น ไม่ไหว่ติง และเขาออกไปทางหมอผีคนนั้นด้วยความสนใจ
หลังจากที่ได้หวนคืนกลับมา เขาก็ได้แลกเปลี่ยนวิชากับผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ไปบ้าง แต่เขาก็ยังไม่ได้ใช้ทักษะที่แท้จริงในการต่อสู้กับพวกเขาเลย แม้ว่าการบ่มเพาะของหมอผีหวูหลงไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง และยังพลังมนตร์ตราที่น้อยนิดนั้นอีก แต่ภายในใจเขาก็ยังเกิดความต้องกาอย่างรุนแรง
“คุณต้องการที่จะดวลกับเทพคนนี้อย่างไร?”
“ดวล?”
“ฉันจะให้แกได้สัมผัสถึงวิธีการของพ่อคนนี้”
กล่าวได้ดังนั้น เขาก็ปิดเปิดปากของเขาอย่างกระทันหัน มันมีแสงสีดำมืดทมิฬพุ่งเข้ามาในหน้าของเขา แล้วก็หายไปในทันที เมื่อเขาเปิดปากของเขาแกมามัน มีหมอกดำปรากฏขึ้นจากด้านใน
หมอกดำยังคงเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ ราวกับว่ามีใบหน้านับไม่ถ้วนอยู่ในนั้น ของเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิงและผู้ชาย แต่ละคนพยายามดิ้นรนออกมาจากหมอก เสียงกรีดร้องอันเศร้าหมองดังขึ้น เหมือนกับว่าวิญญาณที่ชั่วร้ายได้หลุดออกมาจากนรกชั้นที่ 9 แล้ว
“ฮ๊าห์!”
ฉากนี้ทำให้คนที่อยู่โดยรอบหวาดกลัว บางส่วนของหมอผีที่ขี้ขลาดเช่นเดียวกับถังเหวินชง พวกเขาไม่เคยเห็นฉากที่น่ากลัวแบบนี้มาก่อน
ใบหน้าของพวกเขาซีดจางลงเนื่องจากความกลัว ไม่สามารถก้าวต่อไป หรือหนีไปไหนได้
“นะ นี่... การควบคุมผี?”
บางคนร้องไห้
“โอ้พระเจ้า พวกมันเป็นของจริง!”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามีใครบางคนที่สามารถควบคุมผีได้ นะ นั้นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว...”
หมอผีจัดการไล่ผี และบางคนมีทักษะพิเศษในการสร้างผีขึ้นมา แต่มนุษย์ส่วนใหญ่แล้วล้วนแล้วแต่มีความเคารพนับถือต่อผีสางนางไม้ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงกลัวเมื่อเห็นฉากนี้
หวูหลงรู้สึงพึงพอใจเมื่อเห็นทุกคนเป็นเช่นนั้น เขาถูกยกย่องว่าเป็นคนพิเศษ ก็เพราะเขามีทักษะที่ไม่ธรรมดา นี้ส่งผลทำให้คนจำนวนมากนับถือเขาประดุจเทพเซียน เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุคคลตัวเล็กกระจ้อยเช่นเจียงซิ่วมากนัก
อย่างไรก็ตาม เขายังเห็นเจียงซิ่วสงบอยู่ และแม้แต่กระทั่งแววตาของเขายังมีดูหมิ่นกระพิบผ่านสายตาของเขา เรื่องนี้ทำให้เขาโกรมากธ “สารเลว ฉันจะให้วิญญาณเหล่านี้กลืนกินแกในวันนี้”
เจียงซิ่วปล่อยให้หมอกดำวิญญาณร้ายเหล่านั้นเข้ามาหาตัวเขา
“เขาไม่กลัว?”
“ไม่ เขาต้องกลัวมากเกินไป จนไม่สามารถขยับออกจากที่เดิมได้!”
ทุกคนเห็นว่าเจียงซิ่วยังยืนอยู่ที่นั้นเหมือนกับคนโง่เง่า เขาไม่ยอมหนีออกมา เนื่องจากคนที่เขาต่อต้านอยู่ตอนนี้นั้น สามารถควบคุมผีเพื่อฆ่าคนได้ ฉะนั้นแล้วเขาไม่น่ามีทางให้หลบหนีหรือขอร้องการอภัยอีกต่อไปแล้ว พวกเขาคาดเดาว่าเขากลัวเกินไปที่จะขยับ
แม้บางส่วนของหมอผีในหมู่พวกเขาเองก็ยังกลัววิญญาณชั่วร้าย ที่จับกลุ่มเคลื่อนที่อยู่ตรงนั้น มันส่งผลทำให้ขาของำวกเขาสั่น สารเลวน้อย แม้ว่าแกจะตายหรือไม่ตาย แต่ความกลัวก็จะทำให้แกเป็นกลายเป็นคนโง่เง่าไปตลอดการแน่
ถังเหวินชงถอยหลังเดินถอยหลัง ก้นเขากระแทกกับพื้น “คุณเจียง หนีออกไปเร็ว ก่อนที่คุณจะถูกผีกิน”
เขาเหมือนเห็นเจียงซิ่วกำลังวาดยันต์อยู่ และมันก็ทำให้เขารู้สึกทรมาณจิตใจยิ่งขึ้นจากเหตุการณ์นี้ ถ้าเจียงซิ่วถูกฆ่าเพราะเหตุนี้ มันก็คงจะเป็นความอยุติธรรมแล้ว
เจียงซิ่วยังคงสงบและก็ยังใจเย็นเหมือนเมื่อกาลก่อน
“ความตายได้ไปหาแกแล้ว แต่แกก็ยังคงแสดงออกทำตัวเองเป็นเหมือนผู้เชี่ยวชาญ”
“ทำตัวเหมือนผู้เชี่ยวชาญ?”
เจียงซิ่วส่ายหัว รู้สึกหมดหนทางและผิดหวัง เขาเชื่อว่าเขาจะได้เห็นทักษะพิเศษบางอย่าง แต่มันเป็นเพียงบางอย่างเช่นการเลี้ยงผี แม้แต่มนุษย์ธรรมดาก็สามารถกำหราบมันลงได้ ถ้าหากพวกเขามีวิธีการที่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น วิญญาณที่ถูกใส่มารวมกันอย่างลวกๆ ดังนั้นแล้ววิญญาณจะไม่สามารถร่วมมือกันได้ และก็ยังขัดแย้งกันเอง
“แกกล้าที่จะเรียกตัวเอง เป็นเหมือนเทพเซียนด้วยทักษะเพียงเท่านี้?”
“แกยังกล้าที่จะพูดเยาะเย้ยเทพคนนี้อีกงั้นหรอ!”
ไร้สาระเกินไปแล้ว
แทนที่จะถอยกลับ เจียงซิ่วกลับก้าวไปข้างหน้า เขาคือเทพซิ่ว การที่เขาจะถูกเรียกว่าเทพได้นั้นแปลว่าเขาจะต้องเข้าใจกระแสลมและก้อนเมฆภายใต้ตัวเองก่อน(หมายถึงเข้าใจขีดจำกัดของตัวเอง) ฟ้าแลบก่อตัวออกมาข้างๆเขา
ขณะนี้ พายุก่อตัวขึ้นภายในห้องโถง
ในวินาทีถัดไป เสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นมาจากเมฆฟ้าและฝนฟ้าคะนอง
เวลานี้เอง โลกก็ดูเหมือนจะสั่นสะเทือน
“เก้าอนันย์สวรรค์ ศิลปะสายฟ้าสวรรค์คำราม!”
เจียงซิ่วตะโกนขึ้น และยกมือขึ้นไปสู่ท้องฟ้า มังกรแสงพุ่งทะยานมาจากกลุ่มเมฆทมิฬ และภายใต้สายดวงตาของมนุษย์ทุกคน สายฟ้าก็ถูกคว้าจับด้วยมือเปล่าอย่างหยิ่งทะนง
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น และห้องนี้ดูคล้ายกลับเหมือนจะเป็นเวลาช่วงกลางวัน เนื่องจากแสงที่กะพริบขึ้น
ผมของเขาตั้งชัน เสื้อผ้ากระพือด้วยแรงลม กลิ่นอายที่เหมือนจะปกคลุมทุกอย่างของโลกและสวรรค์ ทำให้เขาดูเหมือนทหารที่หยิ่งยโสซึ่งตกมาจากฟากฟ้า