บทที่ 25 เขาเซ็นมัน
บทที่ 25
เขาเซ็นมัน
แปลโดย : ราตรีสีทา
เกลาสำนวนโดย : ราตรีสีเทา
แก้คำผิดโดย : ราตรีสีเทา
เจียงซิ่วเป็นชื่อที่เขารู้สึกขอบคุณมาก แต่ก็แค้นใจและหวาดกลัวไปพร้อมกัน แม้แต่พ่อแก่ที่นอนอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินชื่อ
มันเป็นเขา! เขาปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง!
แม้แต่หลินเฉิ่นไบ๋ ที่กำลังไล่ล่าเหล่าผู้รับใช้เต๋าอยู่ ก็ยังบังเกิดความรู้สึกกลัว เมื่อได้เผชิญหน้ากับเจียงซิ่ว สมุนปลายแถวเช่นยิ่งใหญ่เหล่ยหรือ จะเป็นศัตรูกับเขาได้?
ไร้สาระเกินไป!
“ฉันจะไปที่นั้น!”
หลังจากสิ้นสุดการโทร อาด๊งก็มองไปยังถังเฉิ่นเชียน เขารู้ว่าพ่อแก่เองก็ได้ยินเรื่องนี้แล้ว เจียงซิ่วเป็นคนที่ตัดมือเขา และทำให้เขาพิการ “พ่อแก่ เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เราควรจะทำยังไง?”
ถังเฉิ่นเชียนลูบคลำแขนข้างที่พิการของเขา “ตั้งแต่ที่มิสเตอร์เจียงตัดแขนฉัน และก็จากไปในวันนั้น ความกตัญญูที่ตระกลูถังมีก็ได้จบลงไปแล้ว สำหรับเรื่องความเกลียดชังต่อเขาที่ทำให้แขนของฉันพิการ ตามเรื่องราวแล้วฉันอยากที่จะลืมมันไปมากกว่า”
อาด๊งพยักหน้า บ่งชี้ว่าเข้าใจแล้ว
“แต่เราเองก็ไม่สามารถลืมได้ ว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ คนที่แม้แต่หลินเฉิ่นไบ๋ยังหวาดกลัว ตระกลูถังของเราต้องปฏิบัติกลับเรื่องนี้อย่างพินอบพิเทา อาด๊ง แกเข้าใจเรื่องนี้หรือเปล่า?”
สำหรับเวลานี้ พวกเขาจะต้องเลือกที่ระหว่างความขุ่นข้องใจหรือความกตัญญู เลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เจียงซิ่วแม้เป็นพียงแค่คนที่บ่มเพาะพลังอยู่ตามลำพัง แต่ตระกลูถังก็ให้ความสำคัญกับเขามาก
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะถาม มิสเตอร์เจียง สำหรับเรื่องขออภัยสำหรับการกระทำที่ขาดสติของฉันในวันนั้น”
อีกด้านนึง ยิ่งใหญ่เหล่ยวางสายลง และคลานขึ้นมาจากพื้นด้วยความยากลำบาก โงนเงนไปมา เขาเอนตัวลงไปบนผนัง และยิ้มกว้าง “ไม่คิดว่าแกจะต่อสู้ได้ดีทีเดียว”
“กบในกะลา แกเคยเห็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงรึเปล่า? รอประเดี๋ยวเดียว ปู่เหล่ยจะเปิดขอบเขตการรับรู้ของแกให้กว้างไกลขึ้นเอง ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง กำลังเดินทางมาที่นี่”
พูดถึงว่ากำลังมีบางคนมาที่นี่ ใบหน้าของยิ่งใหญ่เหล่ยไม่แสดงความดุร้าย หรือความไม่เห็นด้วย เขาค่อนข้างจะจริงจังด้วยซ้ำไป
“โอ้ จริงหรอ?”
ในทางตรงกันข้าม เจียงซิ่วกำลังมองตรงไปยังทางเข้า เขาอยากรู้ว่า ระดับของศิลปะการต่อสู้ในบ้านเกิดของเขา เป็นอย่างไร
ในวันนั้น หลินเฉิ่นไบ๋ทิ้งความประทับใจไว้ในความทรงจำของเจียงซิ่ว มันไม่ได้มาจากความแข็งแกร่งที่เขามี แต่มันคือเศษเล็กเศษน้อยของการบ่มเพาะลมปราณที่อยู่ในร่างเขา ทักษะการเคลื่อนไหวที่เขาใช้ มันไม่ใช่ทักษะศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรก็ตามที่ใกล้เคียง แต่ก็ยังมีร่องรอยนิดหน่อยอยู่ภายในนั้น
มันอาจเป็นไปได้ว่า จะมีตัวตนที่สามารถคุกคามชีวิตเขาได้ คงอยู่
กฎมากมายถูกสร้างขึ้น ถ้ามีการคงอยู่เช่นนั้นอยู่จริง เจียงซิ่วเชื่อมั่นว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นเมื่อเจอเขา เขาอาจจะสามารถฟื้นคืนพลังได้อย่างรวดเร็วจนถึงขั้นที่อาจทำลายความว่างเปล่าของจักรวาลได้(คล้ายเปิดประตูมิติ) และก็กลับไปเอาทรัพยากรย์ที่ทวีปการต่อสู้นิรันดร์
มองไปที่เจียงซิ่วที่กำลังครุ่นคิด ยิ่งใหญ่เหล่ยกล่าว “ตอนนี้แกกลัวแล้วรึไง?”
“แต่มันสายไปแล้ว!”
“ใครก็ตามที่กล้ารุกรานปู่เหล่ยคนนี้ ไม่เคยมีใครกลับออกไปแม้แต่คนเดียว”
ยิ่งใหญ่เหล่ยยิ้มแย้ม ร่างกายของเขาเปื้อนเลือด ไปจนถึงใบหน้าของเขาเองก็เช่นกัน เขาดูซีดเซียวลงกว่าเดิมมาก แต่ก็ยังคงหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ
มันเป็นเพราะเขารู้ว่าลูกปืนใหญ่ได้อยู่ที่ลานจอดรถเขาเรียบร้อยแล้ว ผู้ชนะคนสุดท้ายยังคงเป็นเขา
นี่เป็นอารมณ์ที่น่าสะพรึงกลัวของอันธพาลในโลกใต้ดิน!
เขาไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ก่อนที่จะได้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
ปู่เหล่ย จะไปพ่ายแพ้ให้ใครบางคน ที่ครอบครัวขายผลไม้ได้อย่างไร? นี้ไม่ใช่เรื่องเล่าสำหรับเด็กนะ!
พนักงานสาวสวยหลายคน ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น และแม้แต่ลูกน้องของยิ่งใหญ่เหล่ย ที่ยังหมอบคลานอยู่บนพื้น ก็ยังอยากที่จะรู้ด้วยเหมือนกัน พวกเขาเคยได้ยินมาว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังของยิ่งใหญ่เหล่ย และดูเหมือนว่าวันนี้เป็นวันที่โชคดีแล้ว
นี่คือการพลิกสถานการณ์กลับ
เสียงดังขึ้นมาจากหน้าประตูเมืองสถานบังเทิง(ไอ้นี้เหมือนจะเป็นชื่อร้านนะ) หัวใจของยิ่งใหญ่เหล่ยเต้นผิดจังหวะ เขามาแล้ว ชายวัยกลางคนที่กำลังส่วมเสื้อกันหนาวอยู่ ก้าวเข้ามา ร่างของเขาเล็กและเตี้ย เขาดูเหมือนจะไม่มีคุณสมบัติอะไรเป็นพิเศษ แต่ภาพเงานี้มีค่าเทียบเท่าเทพสงคราม และก็ไม่อาจมีใครเทียบเท่าได้ ในหัวใจของยิ่งใหญ่เหล่ย
เขาเดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยคนที่กำลังนอนอยู่เกลือนกลาด คนเหล่านั้นยังมีเจ็บปวดเหลืออยู่ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะเบี่ยงตัว กระดึบๆ ออกไปด้านข้าง เพื่อให้ทางเดินแก่เขา
เจียงซิ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาคนนั้น และอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่เหล่ยเรียกมา ไม่คาดคิด ว่าเขาจะเป็นคนขับรถของถังเฉิ่นเชียน ซึ่งเขาเองนี่แหละ ที่เป็นคนล็อกเขาไว้ในห้อง และก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาออกไป โดยอ้างว่า เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง
ไม่ใช่ว่ามันบังเอิญมากเกินไปหรือ?
อาด๊งไม่ได้ให้ความสนใจกับคนที่บาดเจ็บอยู่บนพื้น และแสร้งทำเป็นให้ใบหน้าดูเด็ดเดี่ยว และทำให้มีร่องรอยดูโกรธกริ้วขนพองสยองก้าว และเมื่อเขามองไปยังใบหน้านี้ของอาวุโสด๊ง ที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความโกรธ ยิ่งใหญ่เหล่ยก็ยิ้มอย่างมีความสุข พี่ชายด๊งกำลังโกรธ! เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พี่ชายโกรธ มันเกิดขึ้นเมื่อประมาณ10ปีก่อน คนเหล่านั้นมีช่วงเวลาที่... นั้น ไม่อาจจำกัดความอธิบายได้ ตอนนี้เขารู้สึกเห็นใจกับเจียงซิ่วอย่างมาก
“พี่ชายด๊ง!”
ยิ่งใหญ่เหล่ยไอออกมาเป็นเลือดทันทีที่เปิดปาก เนื่องจากอาการตื่เต้นทำให้เลือดเขาสูบฉีดมากเกินไป ลูกเตะของเจียงซิ่วร้ายกาจมาก ยิ่งใหญ่เหล่ยบินย้อนกลับไปทางเดิมหลายเมตร ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า อาการบาดเจ็บของเขา อยู่ห่างจากคำว่าปลอดภัยไปเป็นปีแสง
เลือดไหลออกจากปากของเขา แต่เขายังคงสวมรอยยิ้ม
อาด๊งเดินไปตรงหน้าของยิ่งใหญ่เหล่ย
“พี่ชายด๊ง!”
ยิ่งใหญ่เหล่ยเรียกเขาอีกครั้ง เขาเช็ดเลือดจากปากของเขาและพูดอย่างหนักแน่น “ไม่เป็นไร น้องเล็กคนนี้เกือบจะถึงชีวิต แต่ฉันก็สามารถทนมันได้”
เพี๊ยะ!
อาด๊งตบอย่างโหดเหี้ยม ยิ่งใหญ่เหล่ยที่เพิ่งยืนขึ้นมาได้อย่างยากลำบากก่อนหน้านี้ ด้วยการตบนั้น จึงทำให้เขาเอนตัวลงกำแพงไปอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยอัศจรรย์ใจ เขางงงวยขีดสุด
“พี่ชายด๊ง?”
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอาด๊งถึงตบเขา ไม่ใช่ว่าพี่ควรไปตบเจ้าเด็กสารเลว?
อาด๊งหันตัวกลับไป ก้มตัวลงและคุกเข่า เข่าเขาติดพื้นติด และแม้แต่กระทั่งกระจกที่แตกบนพื้น ก็ติดจมลงไปในหัวเข่าเขา เขาก้มศีรษะลง คุกเข่าโดยไม่พูดอะไร การคุกเข่าของเขาถูกตามประเพณี และดูมีความเคารพมาก
บึ้ม!
ตาของยิ่งใหญ่เหล่ยเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา
“อะไรนี่...”
อาวุโสด๊งกำลังคุกเข่า? และไม่แม้แต่จะพูดอะไร? มีสถานการณ์ที่แย่กว่านี้อีกไหม? แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็รู้ว่ามันคงเป็นอะไรบางอย่าง ที่เขาไม่อยากคาดคิดถึงมัน ความกลัวกลายร่างเป็นคลื่นสึนามิลูกใหญ่ ได้พัดพาให้ยิ่งใหญ่เหล่ยต้องจมลงไป
เงียบ สถานที่แห่งนี้ทั้งหมดกลายเป็นเงียบ
อาด๊งเองก็เป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน เลือดไหลออกจากหัวเข่าของเขา แต่เขาก็ยังเงียบ ถ้าเจียงซิ่วไม่เอ่ยปาก อาด๊งก็ตั้งใจที่จะไม่ส่งเสียง
ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก เวลาได้ผ่านไป
อารมณ์แปรปรวนมากเกินไป จนทำให้คนไม่สามารถหายใจได้
หนึ่งนาที!
นาทีสั้นๆ นี้ ดูเหมือนจะยาวนานมากกว่าหนึ่งปีสำหรับยิ่งใหญ่เหล่ย หัวใจของเขากำลังประสบพบเจอกับความเจ็บปวด เขาเป็นใคร? ใครกัน? ยิ่งใหญ่เหล่ยเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
สามนาที!
เหงื่อเย็นหยดไปตามหน้าผากของเขา
ห้านาที!
ยิ่งใหญ่เหล่ยรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นบ้า ทุกๆนาทีที่อาด๊งกำลังคุกเข่า ความกลัวในหัวใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกเพิ่มขึ้น เขาตัวสั่น และแขนขาของเขาก็หนาวเหน็บ ความกลัวได้สะสมไปถึงจุดที่มันต้องระเบิดออกมา ซึ่งทำให้เขาสูญเสียสติ และล้มลงไปกับพื้น
จริงๆ แล้วมันเป็นอะไรบางอย่าง ที่เขาเรียกคนมาจัดการกับเจียงซิ่ว ก็เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะหมดสติไปเช่นนี้เอง
อาด๊งไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนการคุกเข่ามีความสำคัญมากกว่าชะตากรรมของยิ่งใหญ่เหล่ย
เจ็ดนาที!
แปดนาที!
…
เจียงซิ่วลุกขึ้นและเดินออกไป
เขาไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง
หลังจากที่เขาจากไป อาด๊งก็ปิดตาแล้วลุกขึ้นยืนหลังจากนั้นสักครู่ เขาเอื้อมมือออกไป และตบใบหย้ายิ่งใหญ่เหล่ยเบาๆ เพื่อปลุกเขาให้ตื่นขึ้น หลักจากนั้นไม่นาน สิ่งแรกที่ยิ่งใหญ่เหล่ยทำคือการมองหาเงาของเจียงซิ่ว แต่ที่เก้าอี้กลับว่างเปล่า และเขาก็ไม่เห็นตัวตนของเขาเลย “อาวุโสด๊ง!”
อาด๊งหัวเราะ “ความกล้าหาญของแกยิ่งใหญ่มาก แกกล้าที่จะก้าวก่ายเพื่อนของพ่อแก่! แกและพี่น้องของแก ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับเขา!”
“อะไรนะ?! เขาเป็นเพื่อนของพ่อแก่!” คนที่มีลักษณธที่น่าเลื่อมใสเช่นพ่อแก่ เป็นเพื่อนกับคนขายผลไม้เช่นเจียงซิ่ว? เขาเพียงมีดีที่การต่อสู้ มีคนมากมายเหมือนเขาอยู่ในกองทัพ ยิ่งใหญ่เหล่ยตกใจมาก
ถ้าแกรู้ว่าเขาเป็นตัวการที่ทำให้พ่อแก่ต้องพิการ ฉันหล่ะสงสัยจริงๆ ว่าแกจะรู้สึกยังไง “ฉันมาที่นี่ ในวันนี้ ก็เป็นเพราะคำสั่งของพ่อแก่”
“และสิ่งที่ฉันทำ ก็เป็นคำแนะนำของพ่อแก่เช่นกัน”
ระลึกถึงการปรากฏตัวของอาด๊ง และกับการที่เขาเขาคุกเข่าลงบนพื้น ยิ่งใหญ่เหล่ยรู้สึกชาวาบจากหลังคอเขาไปจนถึงศีรษะ เหงื่อเย็นไหลลงมาอีกครั้ง เจียงซิ่วเป็นคนที่สามารถทำให้แม้แต่พ่อแก่ต้องส่งคำพูดลงมา ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า เขาเกือบที่จะกระตุ้นความหายนะเข้าแล้วในวันนี้
“เขาเป็นใคร?”
อาด๊งส่ายหัว “มันไม่สำคัญว่าเขาเป็นใคร ความจริงที่สำคัญที่สุดก็คือสิ่งที่เขาสามารถเป็นได้ พ่อแก่บอกว่าเด็กคนนี้มีความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด และอาจกลายเป็นผู้รับใช้เต๋าได้”
“ผู้รับใช้เต๋า?”
อาด๊งกล่าวต่อ “ระดับศิลปะการต่อสู้ถูกแบ่งออกเป็นสามอาณาจักรใหญ่ กำลังภายนอก กำลังภายใน และระดับสูงที่สุด คือระดับขั้นหลังจากที่พวกเขาได้กลายเป็นผู้รับใช้เต๋าไปแล้ว ไม่รู้ว่าผู้รับใช้เต๋ามีอยู่จริงรึเปล่า ฉันก็แค่ได้ยินข่าวลือมา ที่ว่ากันว่า ขอบเขตนี้คืออำนาจที่แท้จริงเหนือสิ่งอื่นใด”
“ลืมมันไปเถอะ แกไม่สามารถเข้าใจมันได้ แม้ว่าฉันจะพูดมันทั้งหมดก็ตาม”
นักเรียนวิ่งออกจากเมืองสถานบังเทิงราวกับมันเป็นนรก พวกขึ้นรถและเหยีบคันเร่งเต็มสูบ อย่างเช่นเย่เหวินเฉินซึ่งได้บาดเจ็บหนัก จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลทันที และแม้ว่าเฉิงเหลิงซูและหญิงสาวคนอื่นๆ จะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่พวกเธอก็ตกใจและกลัวมาก พวกเธอพบร้านอาหารธรรมดาๆ จึงเข้าไปกินมัน เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
“มันทำให้ฉันกลัวแทบตาย!” หลี่ดันตบลงไปที่หน้าอกของเธอ “ฉันจะไม่ไปที่นั่นอีก”
“มันน่ากลัวจริงๆ แต่ฉันก็รู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้นมาก” โอหยางเชียนวางนิ้วลงบนปาก
“ใช่แล้ว เขาจะเป็นอะไรไหม?”
โดยธรรมชาติ หลี่ดันย่อมหมายถึงเจียงซิ่ว
“วางใจเถอะ เนื่องจากเขาสามารถต่อสู้กับพวกนั้นได้หลายร้อยคน แม้ว่ายิ่งใหญ่เหล่ยจะเรียกผู้เชี่ยวชาญมาอีก เขาก็คงสามารถที่จะหนีได้อยู่ดี” โอหยางเชียนเรียกร้องออกมา “ฉะนั้น พวกเราควรต้องไปขอบคุณเขานะ ใช่มั้ย? ซูซู...”
“อาา... อืม!” เฉิงหลิงซูรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เขาเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ซูซู มีอะไรบางอย่างโผ่ลออกมาจากกระเป๋าเสื้อเธอด้วย”(เสื้อกันหนาว)
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่”
เฉิงหลิงซูรู้สึกงง และล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เธอหยิบกระดาษออกมา หลังจากที่คลี่มันออก เธอก็อุทานออกมาตามสัญชาตญาณ มันเป็นสัญญาที่เธอให้เจียงซิ่วไป และเพราะอะไรซักอย่าง มันจึงได้เข้ามาอยู่ในกระเป๋าเสื้อเธอ
ที่ด้านล่างของกระดาษ มีคำสองคำที่ถูกเขียนอย่างบรรจงเอาไว้ – เจียงซิ่ว
“เขาเซ็นมัน!”
เฉิงหลิงซูลุกขึ้นยืน เธอเสียการควบคุมตัวไปโดยสิ้นเชิง
ติดตามข่าวสารได้ก่อนใครที่ เพจ INdy-Novel