บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 113 พ่อลูกที่แตกต่าง
ตอนที่ 113
พ่อลูกที่แตกต่าง
ครั้งแรกที่ไป๋จูเหวินเข้ามาในเมือง มันสัมผัสได้ถึงจิตอสูรจำนวนมากชนิดที่ว่าเหมือนเมืองกลายเป็นเขตอสูรก็ไม่ปาน แต่พอลองพิจารณาทีละจิตอย่างละเอียดถึงได้พบว่าจริงๆแล้วเหล่าอสูรในเมืองส่วนใหญ่เป็นเพียงอสูรระดับต่ำ และจะมีอสูรระดับสูงอยู่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ต่างจากกลุ่มนักล่าอสูรที่ภายในเมืองส่วนใหญ่จะเป็นอสูรระดับสูงและปล่อยให้อสูรระดับต่ำอยู่ในเขตเมืองด้านนอกแทน
ตุบ....ร่างของกระรอกอสูรที่มีขนสีแดงเพิลงไปทั้งตัวตกลงบนไหล่ของไป๋จูเหวินราวกับมันจงใจที่จะขึ้นมาบนไหล่ไป๋จูเหวินเสียอย่างนั้น
“หืม..”ไป๋จูเหวินมองกระรอกบนไหล่ครู่หนึ่งพลางจับมันมาถือไว้ในมือ แม้จะเป็นอสูรระดับต่ำ แต่มันก็มีปลอกคอที่ทำจากหนังสีดำสวมเอาไว้เพื่อบอกว่าตัวมันเป็นอสูรเลี้ยงอยู่
ตุบ...ตุบ...ตุบ.... อยู่ๆบนหัวของไป๋จูเหวินก็ปรากฏกระรอกหลากหลายสีตกลงมาราวกับวันนี้ฝนตกเป็นกระรอกเสียอย่างนั้น โดยนับทั้งหมดแล้วพวกมันมีกัน 5 ตนแบ่งออกเป็นสี แดง ฟ้า เขียว เหลือง และน้ำตาล
“หนูเบญจธาตุ?”ไป๋จูเหวินขมวดคิ้ว กระรอกเหล่านี้เหมือนกลุ่มหนูเบญจธาตุ อสูรระดับต่ำที่อยู่กันเป็นกลุ่ม 5 ตัวไม่มีผิด แต่พวกมันกลับระดับสูงกว่าหนูเบญจธาตุเสียอีก หรือจะเป็นกระรอกเบญจธาตุแทนกัน?
ตุบ.. อยู่ๆที่ด้านหลังของไป๋จูเหวินก็มีแรงบางอย่างมาสัมผัส ทำให้ไป๋จูเหวินหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้
“มออออ”วัวสีน้ำตาลทั้งตัวที่กำลังเอาจมูกชนหลังของไป๋จูเหวินอยู่ค่อยๆเอาแก้มมาทาบกับหลังของไป๋จูเหวินอย่างน่าเอ็นดู ทำให้ไป๋จูเหวินอดไม่ได้ที่จะลูบหัวมันเบาๆ
“เป็นเช้าที่สดใสดีนะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มออกมา เพราะเมื่อคืนหัวหน้าหวงหลงนั่งพูดคุยกับหัวหน้าถังทั้งคืน เจ้าเมืองเลยจัดที่พักให้ไป๋จูเหวินนอนพักเสียก่อน แถมดูท่าหัวหน้าหวงหลงจะวางแผนเดินทางไปพร้อมกับหัวหน้าถังเสียแล้ว การเดินทางของพวกมันเลยไม่ค่อยเร่งรีบอะไรนัก ในเช้าวันต่อมาไป๋จูเหวินเลยมีเวลาว่างออกมาเดินเล่นที่หลังจวนเจ้าเมืองเช่นนี้
แต่ก็อย่างที่คาด เหล่าอสูรในเขตจวนเจ้าเมืองพากันเดินมาหาไป๋จูเหวินกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทำเอารอบๆตัวของไป๋จูเหวินเริ่มมีแต่อสูรเดินตามไปอีกครั้ง แต่เพราะวันนี้ไป๋จูเหวินไม่ได้มีธุระอะไรมันเลยอยู่เล่นกับพวกอสูรอย่างอารมดี
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของไป๋จูเหวิน แม้จะไม่ค่อยคุ้นเคยกับเสียงของอีกฝ่ายนักแต่เมื่อคืนนางก็แนะนำตนเองไปแล้วไป๋จูเหวินจึงยังจำได้ว่าเสียงข้างหลังคือเสียงของใคร
“ข้ามาเดินเล่น”ไป๋จูเหวินตอบพลางมองเหล่าอสูรที่กำลังอออยู่รอบๆตัว ตอนแรกมันก็กะจะมาเดินเล่นจริงๆนี่นา
“แล้วเจ้ากำลังจะทำอะไรกับอสูรของข้า”ถังซินว่าพลางเดินเข้ามาหาเหล่าอสูรที่ห้อมล้อมไป๋จูเหวินเอาไว้
“พวกมันเป็นของเจ้างั้นเหรอ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีประหลาดใจ นางให้ความรู้สึกผ่อนคลายแม้สีหน้าจะบึ้งตึงอยู่ก็ตาม
“ใช่”ถังสินตอบเสียงห้วนพลางลูบหัวเจ้าวัวอย่างเอ็นดู แถมพอเจ้านายตนเองมาพวกอสุรก็พากันเข้าไปห้อมล้อมนางไม่ต่างจากที่ห้อมล้อมไป๋จูเหวินเมื่อครู่เลย
“เจ้าคงไม่ได้เอาอะไรแปลกๆให้อสูรข้าหรอกนะ”ถังซินถามพลางมองไป๋จูเหวินด้วยท่าทีจับผิด
“ทำไมข้าต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”ไป๋จูเหวินถามพลางกระพริบตาถี่ๆ นี่ชื่อเสียงของกลุ่มนักล่าอสูรเป็นเช่นไรกันแน่ นางถึงสงสัยอะไรมากมายเช่นนี้
“งั้นเหรอ”ถังซินตอบเสียงเรียบพลางสำรวจตามร่างกายของเหล่าอสูรราวกับไม่ไว้ใจที่ไป๋จูเหวินตอบ
“สำหรับเจ้าแล้ว นักล่าอสูรเป็นแบบไหนเหรอ”ไป๋จูเหวินอดไม่ได้ที่จะถามมออกไป เห็นนางมีท่าทีไม่ชอบใจนักล่าอสูรนักก็อดกังวลไม่ได้
“พวกเจ้านะเหรอ”ถังซินว่าพลางมองเครื่องแบบสีดำที่ไป๋จูเหวินสวมอยู่
“พวกเจ้าเป็นพวกเลือดเย็นที่สังหารอสูรอย่างโหดเหี้ยม”ถังซินว่าพลางเอื้อมมือไปจับกระรอกตนหนึ่งออกมาจากกลุ่ม 5 ตัวของมัน
“เจ้าพวกนี้แต่เดิมมีพ่อแม่อยู่กันเต็มป่า แต่เพราะพวกเจ้าพ่อแม่ของพวกมันเลยโดนเผาตายจนหมด”ถังซินว่าพลางเลื่อนมือมาจับตัววัวอสูรที่อยู่ข้างๆแทน
“เจ้านี่ก็โดนกลุ่มนักล่าอสูรโจมตีจนเกือบตาย ทั้งๆที่มันไม่ใช่อสูรที่โจมตีมนุษย์ก่อนแท้ๆ”ถังซินว่าพลางมองอสูรวัวด้วยสีหน้าเศร้าๆ ตัวนางได้เห็นตอนมันซมซานใกล้ตายเพราะคมดาบของหน่วยนักล่าอสูรหน่วยหนึ่งที่มาทำงานบริเวรนั้นพอดี คำตอบที่นางได้รับจากหน่วยนักล่าอสูรตอนนั้นคือ มันเห็นอสูรวัวตัวนี้ขวางทางก็เลยจะจัดการซะเท่านั้น
“แล้วเจ้าล่ะ สังหารอสูรไปกี่ตนแล้ว”อยู่ๆถังซินก็โยนคำถามมาทางไป๋จูเหวินผู้สวมชุดของกล่มนักล่าอสูรอยู่
“ข้าไม่เคยฆ่าอสูรเลยแม้แต่ตัวเดียว”ไป๋จูเหวินตอบออกไปตามตรง แน่นอนว่ามันเคยกินเนื้ออสูรที่พวกท่านน้าล่ามาให้ แต่มันกลับไม่เคยลงมือฆ่าเองแม้แต่ตัวเดียว เพราะอสูรทุกตัวที่เจอหน้ามันจะเชื่องกับมันอย่างน่าประหลาด พอพกมันเชื่องเช่นนั้นแล้วไป๋จูเหวินก็ฆ่าไม่ลงทุกที มันเลยมอบหน้าที่ล่าให้พวกท่านน้าไป
“ไม่เคย?”ถังซินขมวดคิ้ว กลุ่มนักล่าอสูรขึ้นชื่อเรื่องการฆ่าอสูร มันจะมีนักล่าอสูรที่ไม่เคยฆ่าอสูรอยู่งั้นเหรอ?
“ข้าเป็นหน่วยสำรวจ เลยไม่ได้ฆ่าอสูร”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มออกมา ตัวมันไม่ได้ต่อต้านการฆ่าอสูรแต่อย่างไรเพราะถือว่ามันเป็นวิถีธรรมชาติที่จะมีการล่าระหว่างอสูรและมนุษย์ แม้แต่อสูรด้วยกันยังมีการล่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร ตัวมันเลยไม่ได้มองการฆ่าอสูรเป็นเรื่องโหดร้ายมากมายนัก
“หน่วยสำรวจ..”ถังซินมีท่าทีงุนงงทันทีเมื่อไป๋จูเหวินพูดเรื่องหน่วยของตนออกมา
“พวกเราหน่วยสำรวจไม่ได้ฆ่าอสูร แต่ทำหน้าที่สำรวจและศึกษาชีวิตของอสูรขอรับ”ไป๋จูเหวินว่าพลางเลื่อนมือไปจับตัวอสูรสุนัขตนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ แน่นอนว่ามันไม่มีท่าทีดุร้ายแต่อย่างไรเมื่อไป๋จูเหวินสัมผัสมัน
“ข้าเองก็ไม่ทราบว่านักล่าอสูรคนอื่นๆเป็นเช่นไร แต่ตัวข้าก็ไม่ได้อยากจะฆ่าอสุรเพราะมันขวางทางหรอก”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางมองอสูรสุนัขที่เริ่มหันมาเลียมือของไป๋จูเหวิน
“ถึงเจ้าจะไม่ทำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้กลุ่มนักล่าอสูรดีขึ้นหรอกนะ”ถังซินว่าพลางหลบสายตาไปทางอื่น
“ก็แค่ไม่อยากให้พี่ถังซินเข้าใจข้าผิดเท่านั้นเอง”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มบางๆ แม้ไป๋จูเหวินจะไม่ได้ทำร้ายอสูร แต่นักล่าอสุรก็กระทำเรื่องที่ถังซินเล่ามาจริงๆ มันไม่อาจเปลี่ยนความจริงในข้อนั้นได้ แต่มันก็ไม่อยากให้ถังซินตัดสินมันจากการที่มันเป็นนักล่าอสูรเท่านั้น
ในช่วงสาย เหล่าผู้ฝึกอสูรต่างก็มารวมตัวกันที่ประตูตะวันตกของเมืองเพื่อจะเดินทางต่อ แน่นอนว่าพวกมันแปลกใจกับการมีเพื่อนร่วมทางเป็นกลุ่มนักล่าอสูรกันไม่น้อย แต่เพราะหัวหน้าของพวกมันเป็นคนออกคำสั่งเอง พวกมันก็ทำอะไรไม่ได้ แม้จะมีสายตาเย็นชามาจากเหล่าลูกน้องเป็นระยะ แต่หวงหลงกับหัวหนาถังก็ยังนั่งอยู่บนหลังของราชสีห์ดำและเสือขาวพูดคุยกันราวกับมีเรื่องมากมายต้องปรึกษากัน
“โอ้ แมงมุมของเจ้าเป็นธาตุทองบริสุทธิ์งั้นเหรอ”ขณะกำลังจะเริ่มเดินทาง อยู่ๆหัวหน้าถังก็เข้ามาหาหลินหลินที่พึ่งจะกลายร่างเป็นแมงมุมไปหมาดๆ ท่าทีตื่นเต้นของมันทำเอาหลินหลินถึงกับผงะถอยหลังเลยทีเดียว
“ขอรับ...”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองหลินหลินที่ออกอาการตกใจจนแทบจะถอยไปชนอสูรตนอื่นๆพลางถอนหายใจออกมาเพราะนางไม่ได้ชนอะไร
“ผิวของนางงดงามจริงๆ แถมยังแข็งอีกต่างหาก นางเอาโลหะชนิดใดมาเคลือบงั้นเหรอ”หัวหน้าถังถามพลางยิ้มกว้าง
“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ทราบ”ไป๋จูเหวินเลือกที่จะปิดบังเอาไว้เพราะแร่ที่หลินหลินนำมาเคลือบร่างตอนนี้เป็นแร่ที่น้าไก่ฟ้าหามาเองกับมือ มันคงไม่ใช่เรื่องปกติแน่หากมันบอกออกไป
“น่าเสียดาย... ส่วนทางนี้ก็ เป็นน้าหงเยว่นี่เอง”หัวหน้าถังว่าพลางมองมาทางหงเยว่ที่ยังอยู่ในร่างมนุษย์
“ยังจำข้าได้ด้วยงั้นหรือ”หงเยว่ถามพลางยิ้มบางๆ ตัวนางเป็นอสูรที่มีชีวิตยืนยาว สมัยที่หัวหน้าถังอยู่ที่เมืองร้อยแปดอสูรตัวนางเองก็อยู่ที่นั่นแล้ว
“แน่นอน ท่านเป็นอสูรตัวโปรดของอดีตอาวุโส 6 ทำไมข้าจะจำท่านไม่ได้ล่ะ”หัวหน้าถังยิ้มกว้างพลางประสานมือให้หงเยว่
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ตอนนี้ท่านเป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้ฝึกอสูรแล้ว ส่วนข้าเป็นเพียงอสูรของคุณชายไป๋เท่านั้น”แม้แต่ก่อนหงเยว่จะมีฐานะสูงกว่าหัวหน้าถัง แต่มันก็เป็นเรื่องเมื่อหลายร้อยปีก่อน ตอนนี้นางเป็นเพียงอสูรระดับหยกที่อยู่กับไป๋จูเหวินเท่านั้น
“อสูรทั้งสองตนของเจ้าเป็นแมงมุมทั้งคู่ หรือว่าเจ้าจะมีแก่นอสูรที่เกี่ยวกับแมงมุมงั้นเหรอ”หัวหน้าถังถามด้วยท่าทีกระตือรือร้นเช่นเดิม ต่างจากถังซินที่ไม่ชอบกลุ่มนักล่าอสูรลิบลับ
“ขอรับ แก่นอสูรของข้าเป็นแก่นอสูรของแมงมุมจริงๆ”ไป๋จูเหวินตอบพลางดึงใยแมงมุมออกมาจากฝ่ามือ
“โอ้ น่าสนใจๆ”หัวหน้าถังว่าพลางจ้องมองใยแมงมุมของไป๋จูเหวินนิ่ง มันไม่ได้แค่มองเพียงอย่างเดียว แต่มันกำลังประเมินอยู่ว่าใยแมงมุมของไป๋จูเหวินเป็นใยชนิดใดเพื่อวิเคราะห์ว่าแก่นอสูรเป็นของอสูรแมงมุมตัวไหน แต่น่าเสียดายต่อให้มันคิดหัวแทบแตกก็ไม่ทราบได้เลยว่าเป็นใยแมงมุมของอสูรแมงมุมตัวใด
“ท่านพ่อ เราต้องเดินทางต่อแล้วนะเจ้าคะ”ถังซินเห็นบิดาของตนเอาแต่ถามโน่นนี่ไป๋จูเหวินไม่ยอมเดินทางเสียที นางเลยเดินมาบอกให้มันเริ่มเดินทางได้แล้ว
“นะ นั่นสินะ เอาไว้เรามาคุยกันใหม่นะ”หัวหน้าถังว่าพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะกลับขึ้นราชสีห์ดำไป