บทที่ 5 ได้พบกัน 2 (2) [รีไรท์อ่านฟรี]
บทที่ 5 ได้พบกัน 2 (2)
คาร์ลเดินไปตามถนนอย่างสบายๆ หากผู้ใดสังเกตเห็นว่าเป็นเขาต่างก็รีบหันหลังและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่นี่ต่างหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้เขากันทั้งนั้น
‘มันต่างจากเกาหลีจริงๆสมกับที่เป็นเมืองแห่งจินตนาการ’
คาร์ลมองไปรอบๆถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าย่อมๆเรียกว่าเป็นตลาดที่อยู่ในโลกจินตนาการอย่างแท้จริง
“อืมมม...” “เฮ้ย..” “ห๊ะ..”
เมื่อใดก็ตามที่เขาหยุดทักทายพ่อค้าตามร้านค้าต่างๆก็มักจะได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกใจ พวกเขาพยายามหลบหน้าไม่สบตาใดๆกับเขาหรือแม้แต่ส่งเสียงตอบรับการทักทายใดๆกลับมา
‘ชื่อเสียงเลื่องลือสมกับที่เป็นขยะจริงๆ’ เขาคุยกับตัวเองพลางเดินผ่านตลาดไปยังทางทิตตะวันตกของเมือง
ชุมชนสลัมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ต่อให้เป็นเมืองที่ร่ำรวยเช่นไรก็ต้องมีคนจนเสมอไป ในสถานการณ์แบบนี้คนส่วนใหญ่อาจมีความคาดหวังให้เกิดสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับสถานที่แบบนี้
‘ อ่า...นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้ทำสักครั้งก่อนตายก็คือการแบ่งอาหารให้กับผู้ยากไร้’
แต่นั้นคงใช้ไม่ได้กับกรณีนี้เขาไม่ได้คิดจะแจกขนมปังให้กับใคร
คาร์ลรู้ว่ามีคนแอบมองมาที่เขาทันทีที่ย่างกรายมายังเขตสลัมแห่งนี้ ที่นี่คือสถานที่สิ่งชั่วร้าย 2 สิ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน
ถึงแม้ว่าคนในสลัมไม่ได้สนใจเรื่องราวความเป็นไปของผู้อื่นมากนักแต่ชื่อเสียงของคาร์ลก็เป็นที่เลื่องลือ คนที่มักก่อเรื่องสร้างความเสียหายให้กับร้านค้ามากมายอาจจะมาก่อเรื่องสร้างความวุ่นวายที่นี่ได้เช่นกัน
“ตึงๆๆๆๆ”
แม้ว่าพวกเขาจะรู้กิตติศัพท์ของคาร์ลเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธต่อความหอมหวานของขนมปังในมือคาร์ลได้
คาร์ลไม่สนใจกับสายตาที่เหลือบมอง เขายังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป ปลายรองเท้าหนังราคาแพงของเขาเริ่มสกปรกจากน้ำครำและมาพร้อมๆกับกลิ่นเหม็นที่เริ่มเตะจมูกส่งผลให้ตาเขาหรี่ลงโดยอัตโนมัติ ก่อนที่จะก้าวเท้ายาวขึ้นเรื่อยๆ สลัมตั้งอยู่อีกด้านบนเนินเขาเล็กๆ ประกอบไปด้วยบ้านหลังเก่าๆเรียงกันทอดยาวออกไป คาร์ลกำลังมุ่งหน้าไปยังยอดของเนินเขาเมื่อใกล้ถึงที่หมายจำนวนคนที่จ้องมองมาที่เขาก็ค่อยๆหายไป สายตาคมจ้ามองทอดยาวออกไปจนสุดสายตา
‘อย่างน้อยจุดนี้ก็ยังดีกว่า’
หลังจากที่เดินออกมาพ้นจากกลิ่นเหม็นของน้ำครำแล้ว ตอนนี้เขายืนอยู่บนยอดของเนินเขา ก่อนจะมองลงไปยังเมืองเวสเทิร์นด้านล่าง แต่ถึงจุดนี้จะสูงเพียงใดก็ยังต่ำกว่าคฤหาสน์ของเจ้านายทั้งหลายที่อาศัยอยู่เมืองนี้ คาร์ลดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบันเขาเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ถูกล้อมด้วยรั้วไม้ผุๆที่มีขนาดใหญ่เท่าตัวของคาร์ล เขาผลักรั้วเข้าไปเบาๆ ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ดูเหมือนจะมีอายุหลายร้อยปี ต้นไม้ส่วนใหญ่ในสลัมมักจะถูกตัดนำไปทำเป็นฟืนหรือโค่นทิ้งไปเฉยๆ แต่ต้นไม้ต้นนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เหตุผลก็คือการที่คาร์ลได้ยินคนจากสลัม 2 คนพูดกรอกหูมาตลอดทางตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในสลัมแห่งนี้
“นายน้อยไม่ควรเข้าใกล้ต้นไม้นั่น”
คาร์ลไม่สนใจในคำเตือนนั้น และเข้าก็ได้ยินเสียงของอีกคนที่เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
“นายน้อยอย่าเข้าไปเลย มันเป็นต้นไม้กินคนนะ”
สาเหตุที่ทำให้คนที่นี่เรียกว่าต้นไม้กินคนเป็นเพราะหากมีผู้ใดมาผูกคอตายใต้ต้นไม้แห่งนี้ ศพของเขาจะกลายเป็นมัมมี่เพียงชั่วข้ามคืน ไม่มีแม้แต่รอยเลือดใดๆบนต้นไม้หรือแม้แต่เถาวัลย์หรือต้นหญ้ารอบต้นไม้ก็ไม่มีรอยเลือดใดๆเช่นกัน
นี่คือต้นไม้ที่คาร์ลกำลังมองหา
ในอดีตนานมาแล้วมีเรื่องเล่าว่ามีนักบวชคนหนึ่งที่เป็นผู้ที่มีความโลภต่อเงินทอง ได้นำเงินที่ได้จากแรงศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวก่อนจะถูกขับไล่ออกมาและจบชีวิตลงด้วยความหิวโหย ต่อมาไม่นานร่างกายก็มีต้นไม้ผุดขึ้นมาจากร่าง ด้วยความแค้นและจิตที่แข็งแกร่งทำให้วิญญาณและต้นไม้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวและถูกเรียกว่าเป็นต้นไม้กินคนมาถึงบัดนี้
โล่นิรันดร์กาลที่เขามองหามันอยู่ในนี้
มันอาจเป็นเรื่องที่แปลกแต่ส่วนใหญ่พลังจากยุคโบราณก็มักเป็นเรื่องลึกลับเช่นนี้ล่ะ
คาร์ลหยิบขนมปังออกจากถุงกระดาษก่อนจะสังเกตบริเวณรอบๆ มันมีโพรงขนาดใหญ่เท่าหัวคนอยู่บนต้นไม้นี้ ก่อนที่เขาจะลงมือทำอะไรเขาต้องให้คนจากสลัมออกไปจากบริเวณนี้ก่อน แต่ก่อนที่เขาจะได้ส่งเสียงพูดอะไรออกไปก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากด้านนอก เพราะตอนนี้คนข้างนอกมองไม่เห็นเขาอีกทั้งตนยังก้มหน้าต่ำลงอีก ยิ่งสร้างความกังวลให้คนข้างนอกเพิ่มอีกเท่าตัว เสียงสั่นเล็กๆค่อยๆเอ่ยขึ้น
“นายน้อยอย่าทำเช่นนั้น ! มันถึงตายเลยนะ”
คาร์ลสะบัดมือตนเองเล็กน้อย ‘เฮ้ออออออ........’
จำนวนคนที่เดินตามเขาตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในสลัมแห่งนี้ต่างทยอยถอยห่างจากเขาตั้งแต่รู้ว่าคาร์ลต้องการมายังสถานที่ตั้งของต้นไม้กินคน แต่ก็คงจะมีเพียงเจ้าของเสียงนี่ละที่ยังคงตามเขามาอยู่
‘ไม่ว่าโลกไหนก็ต้องมีพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านสินะ’
คาร์ลลูบจมูกตัวเองเบาๆก่อนหันไปยังบริเวณรอบๆอีกครั้งก่อนสายตาจะไปปะทะกับเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบในมือของเธอยังจูงมือเด็กผู้ชายมาด้วย สายตาที่สบมายังเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นว่าคาร์ลขมวดคิ้วจ้องหน้าเธออย่างไม่ละสายตาก่อนเอ่ยปากพูด
“มันเป็นต้นไม้กินคน ท่านอาจตายได้นะเจ้าค่ะ”
“ไม่ตายหรอก”
คาร์ลหยิบขนมปังออกมาจากห่อก่อนโยนไปให้เด็กหญิง ไม่ต้องกังวลว่ามันจะเปื้อนดินเพราะมันได้ถูกห่อไว้อย่างแน่นหนา
“เอาไปกินสิ”
น้องชายของเธอรีบหยิบขนมปังขึ้นมาทันทีแต่เด็กหญิงยังคงลังเลอยู่ เขาจำเป็นต้องใช้ตัวตนของการเป็นไอ้ขยะคาร์ลเพื่อให้เด็กน้อย 2 คนไปให้พ้นตนเองให้เร็วที่สุด ก่อนจะลุกขึ้นยืนและชะโงกศีรษะตนให้พ้นรั้วเล็กน้อย
“พวกเธอ 2 คนไม่รู้จักขยะไร้ค่าคาร์ล เฮนิตัสเหรอ ?” ใบหน้าของเด็กหญิงหันไปมองหน้าน้องชายทันที น้องชายของเธอเหลือบมองไปที่คาร์ลก่อนหยิบขนมปังอีกชิ้นสำหรับพี่สาวของตนเอง ก่อนออกแรงดึงพี่สาวตัวเองเบาๆ
“พี่จ๋า...”
“อืมๆๆๆๆ” เด็กสาวหันไปมองยังต้นไม้สลับกับมองใบหน้าของคาร์ล
“ท่านต้องไม่ตายนะเจ้าค่ะ”
คาร์ลเดาะลิ้นส่งเสียงออกมาเบาๆก่อนหันไปมองรอบๆอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้อีกก่อนจะนั่งลงใต้ต้นไม้ ไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งที่เขาทำได้จนกว่าจะมีใครเข้ามาภายในรั้วนี้
“มาเริ่มกันเลย”
เขาเริ่มจากการเอาขนมปังออกจากห่อก่อนยื่นลงไปในโพรงต้นไม้ก่อนจะต้องชักมือออกมาด้วยความรวดเร็วเมื่อขนมปังในมือหายเข้าไปในโพรงนั้น เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งลำตัวรู้สึกว่าหากชักมือออกช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีมือของเขาอาจจะต้องถูกดูดเข้าไปภายในโพรงนั้น ความมืดในโพรงต้นไม้ยังคงเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หากตายด้วยความแค้น ก็ต้องแก้ไขด้วยการแก้แค้น”
ต้นไม้กินคนนี้ไม่ใช่ต้นไม้ที่กินคนจริงๆมันเป็นต้นไม้ที่สามารถกินอะไรก็ได้ เป็นผลข้างเคียงจากความแค้นและพลังที่ถูกทิ้งไว้โดยคนที่ตายจากความหิวโหย ถ้าจะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องคงจะเป็นพลังลึกลับที่แข็งแกร่งภายในต้นไม้ต้นนี้... มันอาจเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็คือเรื่องจริง
‘ถ้าจำไม่ผิด เราต้องให้อาหารกับมันจนกว่าความมืดในโพรงจะหายไป’ ความมืดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากร่มเงาของต้นไม้แต่มันเกิดขึ้นจากความแค้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ทำได้ต้องใช้อาหารจำนวนมากถึงจะทำให้ความมืดหายไป ก่อนที่จะมีแสงสว่างที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ปรากฏขึ้น เมื่อมันกินแสงสว่างนี้เข้าไปโล่นิรันดร์กาลจะตกอยู่ในมือของคาร์ลทันที
“กินทุกอย่างที่แกต้องการ”
คาร์ลเทขนมปังทั้งหมดที่อยู่ภายในถุงลงในโพรงทั้งๆที่โพรงเล็กๆควรเต็มไปด้วยขนมปังกลับมีแต่ความว่างเปล่าและมืดมิด
“ต้องหาถุงใหญ่ๆกว่านี้สัก10ถุงแล้วสิ”
ความมืดภายในโพรงพลันสว่างขึ้นเล็กน้อย
10 ถุง อาจฟังดูมากไปสำหรับคนอื่นแต่สำหรับคาร์ลที่จ่ายค่าขนมปังไปถึง 3 ล้านแกลลอนไม่ได้เป็นกังวลเลยสักนิด
~ อร๊างงงงงงงงงงง ~
เสียงแปลกๆที่ดังก้องมาจากต้นไม้ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณที่บอกว่ามันยังคงหิวและขออาหารเพิ่มมากขึ้น คาร์ลรู้สึกว่าความมืดในหลุมอาจคว้าเขาเข้าไปแทนขนมปังก็เป็นได้
“....มันน่ากลัวนิดหน่อย” คาร์ลรีบลุกขึ้นยืน เขารู้สึกว่าไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป
“ความแค้นโง่ๆสามารถทำอะไรได้บ้าง?” และความตะกละก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว
“ข้าจะกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้”
คาร์ลกล่าวบอกลากับต้นไม้ที่เอ่ยตอบรับเสียงดังก้องราวกับว่ามันเป็นคน ก่อนจะเดินออกไปนอกรั้วทันที คาร์ลสังเกตเห็น 2 พี่น้องที่กำลังนั่งกินขนมปังอย่างเอร็ดอร่อยทันทีที่ก้าวเข้าไปในสลัม สำหรับคนที่ขอร้องไม่ให้เขาเข้าไปใกล้ต้นไม้กินคนดูเหมือนจะกำลังเพลิดเพลินกับขนมปังเสียเหลือเกิน พวกเขาทั้งคู่ต้องชอบรสชาติของขนมปังที่กำลังกินอยู่เป็นแน่เพราะดูท่าทางช่างมีความสุข
“หนู...ของหนู”
คาร์ลสบถออกมาเล็กน้อยกับเสียงร้องของเด็กทั้ง2 ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่เด็กๆสงสัย ในถุงที่เต็มไปด้วยขนมปังก่อนหน้านี้มีเพียงแค่ความว่างเปล่าไม่แปลกถ้าเด็กทั้ง 2 จะสงสัย แต่จะทำอะไรได้ ? พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ?
เด็กๆอาจกลัวที่จะเข้าใกล้ต้นไม้กินคนแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีในด้านความปลอดภัย มันคงไม่ดีนักถ้าเด็กๆไปเล่นบริเวณต้นไม้แล้วเผลอเอาหัวลงไปในโพรงถ้าเป็นเช่นนั้นคงโดนมันจับกินอย่างแน่นอน
[เด็ก ๆ ในสลัมไม่มีความกลัว เป็นเพราะพวกเขารักข้าวเมล็ดเดียวแม้ว่าจะมีคมมีดหันมาทางตนเองก็ตาม ความตายอยู่รอบตัวพวกเขาเสมอดังนั้นพวกเขาจึงไม่กลัวความตาย พวกเขากลัวที่จะหิวมากกว่าความตาย]
นั่นคือสิ่งที่นิยายได้เขียนบอกไว้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คาร์ลตัดสินใจพูดกับสองพี่น้อง
“ถ้าอยากกินขนมอีก ห้ามพูดอะไรสักอย่างรู้มั้ย ?” สองพี่น้องไม่ได้กล่าวอะไรเพียงพยักหน้าทำตามคำสั่งของคาร์ลด้วยความเต็มใจ เด็กหญิงเอามือปิดปากของน้องชายแล้วแสร้งทำเป็นไม่เห็นคาร์ล เขายิ้มและคิดว่าเด็กหญิงฉลาดมากก่อนรีบออกมาจากสลัมอย่างรวดเร็ว
คนในสลัมต่างรู้ว่าคาร์ลไปที่ยอดเนินเขา พวกเขากำลังมองมาทางเขาด้วยความสงสัยว่าเขากำลังทำบ้าอะไรอยู่ แต่คาร์ลก็ชินกับการจ้องมองแบบนี้เสียแล้ว ส่วนคนนอกสลัมก็มองมายังเขาด้วยความแปลกใจเช่นกันแต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก
“อา.....นายน้อยคาร์ลกลับมาแล้ว”
เมื่อคาร์ลกลับมายังร้านชาอีกครั้งบิลอสก็ปรี่มาทักเขาด้วยรอยยิ้มสดใส
“ใช่แล้ว....ขอชาแก้วใหม่ให้ข้าด้วยนะ”
คาร์ลเดินกลับไปที่นั่งบนชั้น 3 เช่นเดิม ทั้งๆที่ตอนนี้ควรมีลูกค้าคนอื่นแต่กลับไม่มีใครนั่งอยู่บนชั้น 3 เลย พวกเขาต่างพยายามหลีกเลี่ยงขยะของตระกูลเฮนิตัส นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คาร์ลรู้สึกผ่อนคลาย
“นี่ชาขอรับ...ส่วนนี่เป็นของหวานสำหรับทานแกล้มกับน้ำชา”
“โอ้...เยี่ยมมาก ขอบคุณนะ”
คาร์ลยังคงมองไปยังประตูเมืองอย่างต่อเนื่องสลับกับการจิบชาช้าๆ บิลอสมองหน้าคาร์ลด้วยความแปลกใจก่อนที่จะเดินออกจากชั้นสามไปอย่างเงียบๆ มันแปลกที่จะได้ยินนายน้อยคาร์ลพูดขอบคุณใครสักคน
คาร์ลยังคงสั่งชาและขนมมาทานเรื่อยๆก่อนมองไปนอกหน้าต่างซึ่งตอนนี้ท้องฟ้าได้เปลี่ยนสีเป็นสีส้มและพระอาทิตย์กำลังตกดิน เขาลุกขึ้นเพื่อสลัดความเมื่อยล้า ถึงเวลาต้อนรับเพื่อนที่สุดแสนอันตราย ผู้ที่มาจากนอกกำแพงเมืองซะแล้วซิ