บทที่ 4 ได้พบกัน 1 (2) [รีไรท์อ่านฟรี]
บทที่ 4 ได้พบกัน 1 (2)
ตอนนี้บนโต๊ะมีแต่ความว่างเปล่า
กระดาษที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรเกาหลีอย่างเป็นระเบียบได้ถูกเผาเป็นจุณไปหมดแล้ว เขาจำเป็นต้องเผากระดาษพวกนี้เพื่อป้องกันตนเอง ในที่แห่งนี้อาจไม่มีใครรู้ภาษาเกาหลีแต่เขาก็ต้องระมัดระวัง เขาสั่งให้ข้ารับใช้ทุกคนห้ามเข้าห้องก่อนได้รับอนุญาตด้วยเช่นกัน
‘ฉันจำได้ทุกอย่างแล้ว’
คิมร็อคโซรู้สึกดีกับการเป็นคนช่างจดจำในสิ่งที่ตนชอบ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน นิยายหรือภาพยนตร์อะไรก็ตามที่เขารูสึกชื่นชอบ เขาจะจดจำได้ไม่เคยลืมไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือลักษณะของตัวละครหรือแม้แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบเขาก็ยังสามารถจำได้เช่นกัน
คาร์ลเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้และคิดถึงสิ่งที่ตนจะทำในอนาคต
‘สิ่งแรกที่ฉันต้องทำ...พรุ่งนี้ฉันต้องเจอเชวฮันก่อนแล้วค่อยทำตามแผน’
มุมปากถูกยกยิ้มขึ้นช้าๆ
‘ต้องหาทางป้องกันให้ดี......’
เขาจะต้องไม่ตายจะต้องมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุดและไม่คิดที่จะไปสู้รบปรบมือกับใครด้วย
เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อันดับแรกเขาจะต้องมีโล่นิรันดร์กาล สองต้องฟื้นตัวให้เร็วที่สุด สามต้องเร็วกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอและสี่จะต้องมีพลังที่ไม่สามารถทำร้ายตนเองแต่ใช้ฆ่าคนอื่นได้
คาร์ลวาดแผนการของตนอย่างมีความสุขก่อนจะค่อยหลับตาลงถึงแม้จะหลับไปเขาก็ยังคงคิดถึงแผนการอยู่ตลอดเวลา
‘อย่างน้อยฉันจะต้องไม่โดนใครตีแม้เหตุการณ์นั้นจะมาถึงในไม่ช้านี้แล้วก็ตาม’
เขาจะต้องมีโล่นิรันดร์กาลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถทำลายมันได้และถึงแม้เขาจะหลับไปแล้วแต่ริมฝีปากที่ถูกยกขึ้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะถูกยกลงเลย
‘การเผชิญหน้ากับศัตรูโดยปราศจากข้อผิดพลาดมักเป็นสิ่งที่เราได้เปรียบก่อนเสมอ’
วันสำคัญใกล้เข้ามาถึง เขาต้องหาอะไรทำเพื่อดับความฟุ้งซ่านของตนเพื่อไม่ให้แผนผิดพลาด ใช่แล้ว...สิ่งแรกที่ต้องทำคือการกินมื้อเช้าที่แสนอร่อย เขารู้สึกว่าสิ่งเดียวที่เขาทำอยู่ตลอดเวลาเมื่อเข้ามาอยู่ในนี้คือการสนุกไปกับการกินอาหารที่แสนอร่อยเหล่านี้ เขาต้องสนุกไปกับมันก่อนลุยกับศึกใหญ่ที่จะต้องสู้ในวันพรุ่งนี้
“อื้ม....พ่อได้ยินว่าลูกหลับไปตอนที่กำลังอ่านหนังสือเหรอ?”
“...ก็เป็นเช่นนั้นล่ะขอรับ”
คาร์ลตอบคำถามต่อท่านเคานต์เดอรัชอย่างไม่เป็นทางการและไม่คุยตอบโต้อะไรกับท่านเคานต์เดอรัชต่อ เขายังคงตั้งหน้าตั้งใจทานอาหารต่อไปจะเป็นไรไปในเมื่อความจริงที่ว่าเขาเป็นเพียงขยะไร้ค่าของตระกูลยังคงค้ำคอเขาอยู่ เขากินอาหารเสร็จก่อนจะลุกขึ้นยืน เสียงดังของพื้นที่โดนเก้าอี้ครูดอย่างแรงทำให้ทุกสายตาจ้องมาที่เขา
“กระผมขอตัวก่อนนะขอรับ”
แม้ไม่ใช่มารยาทที่ที่ดีนักแต่ดูเหมือนท่านเคานต์จะเข้าข้างลูกชายของตนทุกครั้งไปท่านเคานต์มองมาที่เขาก่อนยิ้มให้
“ได้สิลูก”
“ขอบคุณขอรับ”
คาร์ลจำเป็นต้องออกจากห้องอาหารก่อนเพราะมีสิ่งต่างๆมากมายที่เขาจำเป็นต้องจัดการภายในวันนี้แต่เคานต์เดอรัชหยุดคาร์ลไว้ก่อนที่จะได้เดินออกไป
“วันนี้อยากได้อะไรมั้ยลูก?”
“…กระผมอยากได้บางอย่าง.....”
จะแปลกอะไรครอบครัวนี้มีเงินมากมายถ้าเขาจะขอเพิ่มอีกสักหน่อยขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอก เขายกยิ้มเล็กน้อยเมื่อพ่อของเขาตกลงที่จะให้เงินเขาโดยจะมอบเช็คผ่านฮันส์ เขาสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจจากบาเซ็นแต่คาร์ลก็ไม่ได้สนใจรีบเดินออกจากห้องอาหารทันที ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่รอนจะตามเขาออกไป
“รอน...ข้ากำลังออกไป...ไม่ต้องมองหาข้า”
ไม่ต้องมองหาข้าที่คือสัญญาณลับที่คาร์ลใช้เมื่อจะไปผ่อนคลายด้วยการดื่มเหล้าที่ร้านหลังเมือง เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการอย่างนั้นรอนจะทำเพียงแค่ยิ้มและอวยพรให้เขาเดินทางปลอดภัย
“แล้ววันนี้นายน้อยไม่เรียนหรือขอรับ”
ก็นั่นล่ะรอนมักจะทำให้เขาอารมณ์ขุ่นมัวทุกครั้งไป..
“ข้าว่า...ข้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเจ้าหรอกนะ”
“ขอรับนายน้อย กระผมจะรอนะขอรับ”
หน้าผากของคาร์ลเริ่มย่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจเมื่อได้ยินว่ารอนจะรอเขา
“ก็บอกว่าไม่ต้องรอ....”
คาร์ลสะบัดมือเรียกข้ารับใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูก่อนจะเดินออกไปพร้อมกัน อารมณ์โกรธของคาร์ลปะทุขึ้นจนข้ารับใช้ที่เดินตามไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เมื่อเขาออกมาจากห้องอาหารจะมองเห็นสวนหย่อมขนาดใหญ่และประตูทางออกไกลออกไปจนลับจากสายตา เขาถอนหายใจช้าๆก่อนหันกลับไปมองทางด้านหลัง เขาทันเห็นสีหน้าของรอนก่อนที่ประตูจะปิดลง
‘ดีนะที่ฉันสลัดนายออกไปได้’
เขาดีใจที่รอนทำตามคำสั่งเขาแต่เขาก็กังวลกับการแสดงออกที่แข็งกระด้างของตนเองเช่นกันอย่างน้อยรอนก็คือนักฆ่า เอาเป็นว่าเขาจะแสดงออกต่อรอนให้ดีกว่านี้ไม่ใส่อารมณ์จนเกินไปแล้วกันก่อนจะก้าวไปนั่งรถม้าเพื่อไปยังจุดหมายที่ตนตั้งใจ
ใช้เวลาไม่นานคาร์ลก็ถึงที่หมาย
“นายน้อย ใช่ที่นี่หรือไม่ขอรับ”
คนบังคับรถม้าระมัดระวังก่อนที่จะเปิดประตูรถม้าให้ สายตาจ้องมองไปยังหน้าร้านด้วยความไม่แน่ใจ
“ใช่แล้วที่นี่ล่ะ”
คาร์ลสวมชุดที่ค่อนข้างแฟนซีจ๋าและเป็นจุดเด่นสำหรับคนอื่น..แต่มันก็เป็นชุดที่เด่นน้อยที่สุดในตู้เสื้อผ้าของคาร์ลแล้ว คาร์ลเดินออกจารถม้าทันทีซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปภายในร้าน
[ร้านกลิ่นชากับบทกวี]
มันเป็นร้านชาที่อนุญาตให้คุณอ่านบทกวีพลางจิบชาไปอย่างสบายอารมณ์ อาคารสามชั้นที่สะอาดสะอ้านหรูหรา เจ้าของร้านเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย ที่จริงแล้วเจ้าของร้านแห่งนี้เป็นบุตรนอกสมรสของหัวหน้าสมาคมการค้าที่มีฐานะมั่งคั่งกว่าคาร์ลเป็นเท่าตัว และสิ่งเดียวที่ทำให้เขาเลือกอยู่ที่นี่ก็คือการปกปิดตัวตนนั่นเอง
‘ถ้าจำไม่ผิด ในนิยายเล่มที่ 3 เจ้าของร้านจะไปยังเมืองหลวงเพื่อพบเชวฮันก่อนจะกล่าวว่าตนคือลูกชายนอกสมรสของหัวหน้าสมาคมการค้าผู้ชั่วร้าย และเขาจะต้องกลายเป็นหัวหน้าสมาคมการค้าที่ยิ่งใหญ่แทน’
คนที่ยืนตะโกนและสาบานต่อหน้าเชวฮันว่าจะเป็นหัวหน้าสมาคมการค้าให้ได้นั้นคาร์ลไม่รู้ว่าเจ้าของร้านแห่งนี้จะกลายเป็นหัวหน้าสมาคมการค้าจริงๆหรือไม่เพราะเขาอ่านนิยายเล่มที่ 5 ได้เพียงบทแรกๆเท่านั้นแต่เนื่องจากเขาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกทีมของเชวฮัน เจ้าของร้านคนนี้ก็อาจประสบความสำเร็จดังที่ตัวเองต้องการก็เป็นได้ คาร์ลหันกลับไปมองคนบังคับรถม้าที่ตอนนี้เหงื่อเริ่มออกจนกลายเป็นหมูทอดเสียแล้วก่อนออกคำสั่ง
“เจ้ากลับไปก่อน”
“อะไรนะขอรับ”
“ทำไมต้องให้ข้าพูดย้ำสองรอบด้วย?”
“เอ่อ...ไม่ขอรับ กระผมไม่ต้องรอนายน้อยขอรับ”
“ใช่..ข้าจะอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่”
คาร์ลมองคนขับรถม้าด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆก่อนเปิดประตูเพื่อพาตัวเองเข้าไปในร้าน
ตึงตึงตึงตึง...เขาได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของรถม้าทางด้านหลังเขา แต่เสียงกระดิ่งที่สั่นขึ้นเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปในร้านคือสิ่งที่คาร์ลสนใจมากกว่า เป็นเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำให้เสียงมันดังจนน่าตกใจ
คาร์ลยังยืนอยู่หน้าทางเข้าอาจเป็นเพราะตอนนี้ยังเป็นเวลาที่เช้าเกินไปคนในร้านจึงมีไม่ค่อยมาก แต่ก็นั่นล่ะทุกคนที่อยู่ในร้านต่างตกใจที่เห็นเขาที่นี่ รู้สึกนิยายจะให้บทเด่นเขาเหลือเกินที่คนในเมืองแห่งนี้ต่างก็รู้จักชื่อเสียงเขาเป็นอย่างดีโดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าที่หมายหัวเขาไว้เพราะกลัวว่าคาร์ลจะโมโหทำร้ายข้าวของในร้านของตน
“ยินดีต้อนรับขอรับ”
ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าของร้านก็ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดีจากเคาน์เตอร์ของร้านที่เขายืนอยู่
‘นี่คงเป็นเจ้าของร้านสินะ’
บิลอสเศรษฐีผู้มั่งคั่ง เขามีใบหน้ากลมและรูปร่างเต็มไปด้วยไขมันเขาดูคล้ายหมูน้อยเหมือนกับที่นิยายกล่าวไว้ไม่มีผิด เสน่ห์ของบิลอสก็คงจะเป็นรอยยิ้มอันแสนสดใสของเขานี่ล่ะ
‘เขาดูคล้ายหมูน้อยจริงๆ’
คาร์ลหยิบเหรียญทองวางไว้บนเคาน์เตอร์ก่อนเอ่ยปากบอกความต้องการ
“ข้าตั้งใจเลือกโต๊ะที่อยู่บนชั้น 3 ตลอดทั้งวันนี้นะ”
บิลอสจ้องมองไปยังคาร์ลด้วยรอยยิ้มก่อนผายมือชี้ไปยังชั้นหนังสือโดยที่คาร์ลแสร้งไม่สนใจ
“ชากลิ่นหอมดี….ท่าทางร้านนี้จะมีหนังสือเยอะมีหนังสือนิยายบ้างหรือเปล่าหรือมีแต่หนังสือกวี”
“แน่นอนนายน้อยคาร์ล ร้านเรามีหนังสือนิยายจำนวนมากเช่นกัน”
“งั้นเหรอ..หาหนังสือที่น่าสนใจให้ข้าสักเล่มและก็ชาสักถ้วยแล้วกัน”
“ได้ขอรับ...”
เหรียญทองในมือคาร์ลถูกยัดใส่มืออวบอ้วนของบิรอสอย่างรวดเร็ว เขาทำท่าชะงักไปสักครู่
“ข้ายังต้องดื่มชาอีกเยอะเลย”
“แต่นี่มันมากเกินไป นายน้อยคาร์ล”
เหรียญทองมูลค่า 1 ล้านแกลลอนก็เทียบได้กับ1ล้านวอน(29109.92 บาท) คาร์ลมีเหตุผลบางอย่างที่ทำเช่นนี้
“ข้ามีเงินเยอะมาก แค่นี้ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยจากข้าแล้วกัน”
ถ้าพูดถึงว่าใครมีเงินมากกว่าคำตอบก็คงเป็นบิลอส เขายังรู้ถึงกิจการต่างๆที่บิลอสจะทำต่อไปในอนาคตและนั่นจะทำให้บิลอสสร้างเงินได้อย่างมหาศาล คาร์ลเพียงแค่ทำตัวสบายๆก่อนส่งสายตาไปยังลูกค้าที่อยู่ภายในร้านทั้งหมด
“ถ้ามันมากเกินไปก็ปฏิบัติกับคนที่อยู่ในร้านนี้เหมือนที่ปฏิบัติต่อข้าล่ะกัน”
บิงโก!! เขาอยากจะทำอะไรแบบนี้สักครั้ง หลังจากที่เขาเอ่ยปากขอเงินจากพ่อเขาก็ได้รับเงินเป็นจำนวน 3 เหรียญทองที่มีมูลค่ากว่า 3 ล้านแกลลอน(87329.77 บาท)
“แต่นายน้อยคาร์ล...มัน”
“พอแล้ว ไปเอาชามาให้ข้าได้แล้ว”
ข้อดีของการเป็นขยะก็คือไม่ต้องสนใจเรื่องมารยาทใดๆ ในขณะที่เขาเดินขึ้นชั้น 3 เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบตามหลังมาเป็นระยะแต่เขาก็ไม่เป็นกังวลเพราะยังไงเขาก็มีชื่อเสียงมากพอตัวอยู่แล้ว(ในด้านที่ไม่ดีด้วยนะ)
‘เป็นอย่างที่คิด...’ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บนชั้น 3 เลยเพราะนี่มันเป็นเวลาที่เช้ามาก เขาเลือกนั่งมุมข้างในสุดของชั้น 3 ก่อนที่จะหันมองออกนอกหน้าต่าง
‘มุมดีซะด้วย’ ถ้ามองจากจุดนี้เขาสามารถมองเห็นประตูเข้าเมืองได้อย่างชัดเจน และเขาก็มีแผนที่จะมองดูเชวฮันจากจุดๆนี้นั่นเอง