Chapter 9: โครงกระดูก
ในตอนที่เขาวิ่งพร้อมกับได้ยินเสียงสัตว์อสูร ฉินมู่ เห็นว่าดินแดนตรงหน้าก็เป็นทางชันลงไปที่หุบเขา มีสิ่งก่อสร้างที่ดูโบราณอยู่ที่นั่นเหมือนกับปราสาทที่พังทลาย
“งั้นนี่คือเศษซากสินะ !” - ฉินมู่ อุทาน
ตรงหน้าของซากนั้นมีประตูหอคอยที่กว้างจนครอบคลุมไปทั้งทางเข้าของหุบเขา มีเสาอันสง่างามตั้งอยู่บ่งบอกว่านี่คือประตูและยังมีการแกะสลักมังกรพัน ที่เสานั้นด้วย
กลุ่มของสัตว์อสูรได้หันกลับไปที่ประตูนั้นแล้ววิ่งเขาไปที่ซากปรักหักพังแห่งนั้น
ฉินมู่ มองไปที่ข้างบนโดยไม่ตั้งใจและน่องของเขาก็รู้สึกชาขึ้นมา ความมืดมิดนั้นทะลักลงมาที่หุบเขานี่อย่างกับหมึกดำ !
“มันมาแล้ว ! ” - เขากรีดร้องออกมา
ความมืดมิดไม่นานก็มาถึงที่ประตูก่อนที่จะกลืนกินมัน
เหมือนกับพวกสัตว์เองก็รู้สึกได้ พวกมันเริ่มกรีดร้องออกมาด้วยความหงุดหงิด พวกมันได้วิ่งไปที่ประตูด้วยความเร็วที่มากว่าเดิม บางตัวถูกชนจากสัตว์อสูรตัวอื่นจนตายเลยก็มี
แน่นอนแล้วว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาใจเย็นอีกต่อไป ถ้าใครไปถึงซากตรงหน้าไม่ได้ก่อนความมืดจะมาถึง พวกเขาได้ตายแน่ !
ฉินมู่ วิ่งอย่างกับคนบ้าพร้อมกับคว้าเข้าที่หางของเบเฮมอธ เบเฮมอธนั้นเหมือนจะไม่รู้ตัวว่ามีมนุษย์ขี่มันอยู่ ด้วยตัวขนาดที่ใหญ่พอๆกับภุเขามันได้วิ่งผลักสัตว์อสูรทุกตัวที่ขวางทางออกไป
สัตว์อสูรบางตัวได้หลีกทางให้เบเฮมอธก่อนจะคว้าหางของมันไว้เพื่อให้เบเฮมอธนั้นนำมันเข้าไปที่ซากปรักหักพังด้วย
ในตอนที่เขาจับหางของเบเฮมอธอยู่นั้น ฉินมู่ ได้มองลงไปด้านล่างและพบว่าสัตว์อสูรทุกตัวที่โหดร้ายในตอนกลางวันนั้นตอนนี้กำลังสั่นด้วยความกลัว พวกมันต่างก็คว้าเอาหางเบเฮมอธเอาไว้ราวกับนี่คือความหวังเดียวของพวกมัน ในตอนที่เขามองไปด้านหลัง เขาก็เห็นเด็กห้าคนไล่ตามเบเฮมอธมาด้วย
ในที่สุดก่อนที่ความมืดจะกลืนกินประตู เบเฮมอธก็ได้พุ่งเข้ามาในซากปรักหักพังได้
ในเวลาเดียวกันเด็กทั้งห้าคนนั้นก็วิ่งเข้ามาที่ประตูด้วยแต่ในบรรดาห้าคนนั้นมีแค่ 3 คนเท่านั้นที่วิ่งผ่านประตูมาได้ก่อนที่ความมืดจะกลืนกิน ศิษย์พี่กู่, ศิษย์พี่ฉิง,และเด็กอีกคนรอดมากได้แต่อีกสองคนนั้นช้าไปเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ในสองคนนั้นมีคนหนึ่งผ่านมาได้แค่แขนและอีกคนนั้นผ่านมาได้แค่ครึ่งตัวเท่านั้น อีกครึ่งส่วนหลังนั้นโดนความมืดกลืนกินไปแล้ว
เพราะศิ ษย์พี่กู่ นั้นผ่านประตูมาได้ เขาจึงรีบคว้ามือศิษย์น้องอีกสองคนเอาไว้
เขาดึงมันมากหาเขาอย่างแรงจนทำให้เห็นโครงกระดูกสีขาวที่โผล่ออกมาจากความมืดมิด
ก่อนที่ ศิษย์พี่กู่ จะได้คว้าศิษย์น้องคนอื่น เขาก็ล้มลงไปกับพื้น
คนที่รอดมาได้นั้นขนลุก เนื้อ, เลือดและเสื้อผ้าของเด็กที่ผ่านมาได้แค่ครึ่งตัวตกอยู่ตรงหน้าพวกเขาแต่อีกครึ่งหนึ่งนั้นเหลือเพียงแค่กระดูกโดยส่วนที่เหลือโดนสิ่งที่อยู่ในความมืดกลืนกินไป
“ทำไมถึงมีความมืดนี่อยู่ !” - ฉิง กรีดร้องออกมา – “มันมีอะไรอยู่ข้างในกันแน่ !”
ศิษย์พี่กู่ พยายามรวบรวมสติและหายใจออกมาสั่นๆ
“ความตายก็เหมือนตะเกียงที่กำลังจะหมดไฟ ศิษย์น้องของเราสองคนนั้นกล้าหาญอย่างมาก พวกเขาตายเพราะพยายามจะกำจัดปิศาจ” – เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม – “เด็กปิศาจนั่นจงใจมาที่ซากแห่งนี้ในนาทีสุดท้ายเพื่อใช้ความมืดในการกำจัดเรา !”
“เขาอยู่ในซากแห่งนี้ เขาหนีเราไม่ได้แล้วเมื่อมีความมืดนี้อยู่” – เด็กอีกคนที่รอดมาได้พูดขึ้น ความหงุดหงิดนั้นแฝงในน้ำเสียงของเขาบ่งบอกได้ถึงความไม่พอใจกับการตายของเพื่อน – “ไปหาตัวเขากันเถอะ ! เราจะแก้แค้นให้ศิษย์น้องด้วยการสับไอ้เด็กปิศาจนั่นเป็นพันๆชิ้น ! ”
“เขาอยู่นั่น ! ” – ศิษย์พี่ฉิง อุทานออกมาเมื่อเห็น ฉินมู่ กระโดดออกมาจากหางของเบเฮมอธ – “เจ้ายังคงพยายามที่จะหลบหนีทั้งๆที่ทำให้ศิษย์น้องของข้าสองคนตายอย่างนั้นหรือ ปิศาจน้อย ?”
ข้อกล่าวหาของเธอทำให้ ฉินมู่ นั้นรำคาญ
“พวกเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามข้ามาเอง การตายของเจ้ามาเป็นความผิดข้าได้ยังไง เมื่อเจ้าเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะไล่ตามข้าจนกระทั่งมืดอย่างนี้ ? ข้าไม่ได้ไปก่อกวนเจ้าเลยแต่เจ้ากลับไล่ตามข้าเพื่อหวังเอาชีวิต ไม่ใช่ว่าข้าคือคนบริสุทธิ์หรอกรึ ?”
ศิษย์พี่ฉิง กัดฟินแน่น – “เจ้ากล้าดียังไงถึงมาเถียงข้าง เจ้าปิศาจน้อย ... !”
ศิษย์พี่กู่ แสดงสีหน้ามืดหม่นออกมาและเดินออกมาข้างหน้า
“ปิศาจน้อยนั้นเก่งเรื่องการทำให้เราสับสน เราไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาพูดคุยด้วย....เราแค่ต้องฆ่าเขาซะ !”
ทันทีทีเขาพูดจบ ทั้งสามคนก็เตรียมพร้อมเข้าโจมตี
แต่ในตอนที่เข้าโจมตีนั้นก็ได้มีเสียงคำรามเบาๆดังก้องไปทั่วซากบริเวาณนั้น พวกเขามองไปรอบๆว่ามันดังมาจากที่ไหนและพบกับสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องตกใจกลัว สิ่งที่มารวมตัวกันนี้คือสัตว์อสูรนับแสนๆตัว มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังพอที่จะจัดการอาณาเขตของตัวเองได้ สัตว์อสูรทุกตัวมองไปที่เด็กสามคนด้วยท่าทีดุร้ายพร้อมกับสายตาที่แสดงความต้องการฆ่า
เมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ ศิษย์พี่กู่ จึงถอยหลังกลับมาซึ่งนี่เป็นการบ่งบอกคนอื่นๆว่าจะไม่เข้าโจมตีและนี่ทำให้พวกสัตว์อสูรรอบๆเงียบลง
ฉินมู่ มองไปที่ฉากที่เกิดขึ้นด้วยท่าทีตกใจ ในตอนกลางวันนั้นสัตว์อสูรพวกนี้จะสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอาณาเขตและล่าเหยื่อแต่ในตอนกลางคืน พวกมันทุกตัวจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันช่างเป็นฉากที่แปลกประหลาดซะจริง
“รึว่าสัตว์พวกนี้จะตั้งกฎที่ห้ามต่อสู้กันในซากแห่งนี้ ?”
ฉินมู่ กระพริบตากับความคิดที่เขาคิดอยู่ สัตว์อสูรหลายตัวที่อยู่ที่นี่นั้นเป็นศัตรูกันแต่พวกมันกลับไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันเมื่อมาอยู่ในซากแห่งนี้ซึ่งนั่นเป็นสิ่งยืนยันความคิดของเขา คนในหมู่บ้านนั้นบอกเขาเสมอว่าสัตว์อสูรนั้นฉลาด ตัดสินจากลิงปิศาจที่มีความสามารถในการพูดแล้ว มีโอกาสเป็นไปได้ที่มันจะสร้างกฎแบบนี้ขึ้นมา
ศิษย์พี่กู่ เองก็ได้ข้อสรุปเหมือนกับ ฉินมู่ และได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับกระซิบ – “คืนนี้ยังไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไร เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เราจะฆ่าเขา !”
ศิษย์พี่ฉิง และเด็กอีกคนพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากที่มองสิ่งรอบข้างดีๆแล้ว ฉินมู่ ก็เห็นว่าซากแห่งนี้นั้นเหมือนกับเมืองที่อยู่ภายในหุบเขา มีสัตว์อสูรอยู่ทั่วทุกที่ในซากแห่งนี้
---- ทุกที่ยกเว้นแค่ตรงลาน
มีโครงกระดูกมนุษย์เป็นร้อยๆอยู่ที่ตรงลาน พวกเขาทุกคนใส่เสื้อผ้าที่หรูหราและท่าทางในการตายของพวกเขาก็อยากที่จะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ในตอนที่เขาเข้าไปที่ลาน ฉินมู่ ก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง
“คนพวกนี้เป็นผู้หญิงหมด”
สิ่งที่แปลกคือผู้หญิงพวกนี้นั่งขัดสมาธิในตอนที่ตาย มีโครงกระดูก 15 แถวและแต่ละแถวนั้นมีโครงกระดูกอีก 15 ตัว ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทำสมาธิในตอนที่เกิดเรื่องขึ้นจนฆ่าพวกเขาอย่างรวดเร็วจนไม่มีโอกาสที่จะได้หลบหนี
เมื่อมาถึงตรงหน้าลาน ฉินมู่ ค่อยๆสำรวจพื้นที่รอบๆและพบว่าโครงกระดูกที่นั่งอยู่ตรงหน้าแถวแรกนั้นชัดเจนแล้วว่าเป็นผู้นำของโครงกระดูกที่เหลือ
โครงกระดูกทุกตัวรวมถึงผู้นำเองหันหน้าไปทิศทางเดียวกัน
พวกเขาหันไปทางที่ประตูอยู่
“ ศิษย์พี่ ดูนั่น !
ตาของ ศิษย์พี่ฉิง เป็นประกายพร้อมกับชี้ไปที่โครงกระดูกที่ลาน – “ มีสิ่งประดิษฐ์อันล้ำค่าอยู่ในมือโครงกระดูกเหล่านั้น ! โครงกระดูกทุกตัวมีอย่างละอัน ! ”
ศิษยพี่กู่ มองไปยังทางที่เธอบอกและหัวใจเขาก็เริ่มเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น โครงกระดูกแต่ละตัวมีสิ่งประดิษฐ์ที่แตกต่างกันไปและทุกอันล้วนแต่เป็นอาวุธ
สิ่งประดิษฐ์ล้ำค่าเหล่านี้ส่องแสงสดใสออกมาราวกับว่ามันเพิ่งถูกหลอมขึ้นมา ทั้งหมดชัดเจนแล้วว่าเป็นสมบัติ !
สิ่งที่ดูสะดุดตาที่สุดก็คือไข่มุกที่ลอยอยู่ในฝ่ามือของโครงกระดูกที่เป็นผู้นำ มีหมอกหม่นวนเวียนอยู่ในไข่มุกนั้นด้วย
ลานนี้คือคลังสมบัติ !
“ถ้าเราเอาสมบัติเหล่านั้นมาได้ ..” - ศิษย์พี่ฉิง กระซิบ การหายใจของเธอดูเหมือนจะกระสับกระส่าย
แม้แต่คลังสมบัติของผู้อาวุโสของพวกเขาก็ไม่ได้มีของที่ล้ำค่าขนาดนี้ !
ถ้าพวกเขาสามคนได้สมบัติเหล่านี้ไป พวกเขาสามารถตั้งสำนักของตัวเองขึ้นมาได้ถ้าพวกเขาต้องการ !
ศิษย์พี่กู่ มองไปรอบๆและหัวเราะออกมา – “สวรรค์ได้ตอบแทนเราแล้ว ! ศิษย์น้องที่ห้า ไปเอาของเหล่านั้นกลับมานี่”
เด็กน้อยทำตาที่ศิษย์พี่บอกและเข้าไปที่ลาน ในตอนที่เขาเข้าไปนั้นเขาก็เห็นว่าเปียผมหางม้าของโครงกระดูกนั้นกระพือเบาๆ ทันใดนั้นพวกมันก็เริ่มยาวขึ้นทีละนิดและเปียผมหนึ่งก็ได้พุ่งเข้ามาหาเขาราวกับมันมีชีวิต
เปียผมนั้นทำให้นึกถึงงูที่คอยยกหัวขึ้นสำรวจเด็กคนนั้น
“ศิษย์พี่กู่ ..”- เสียงของเด็กนั่นเต็มไปด้วยความกลัวในตอนที่เรียกศิษย์พี่ตัวเอง เขาไม่กล้าที่จะหันหน้าหนีเลย
“เจ้าของสิ่งประดิษฐ์พวกนี้ตายแล้ว -” ศิษย์พี่กู่ พูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม – “ไม่ต้องกังวล น้องห้า ..”
ก่อนที่ ศิษย์พี่กู่ จะพูดจบ เปียผมนั้นก็พุ่งเข้ามาอย่างกับสายฟ้าแล้วแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กนั้น เปียผมอีกอันเองก็พุ่งออกมาด้วยแล้วเจาะเข้าไปในดวงตาอีกข้าง
เด็กนั่นอ้าปากกรีดร้องออกมาแต่กลับไม่มีเสียง
ที่ใกล้ๆเด็กนั่นนั้นมี ฉินมู่ ที่เห็นว่าร่างของเด็กนั่นเหมือนโดนสูบอะไรบางอย่างออกไปแล้วเปลี่ยนกลายเป็นศพที่แห้งกรอล
เปียผมนั้นไมได้หยุดแค่นั้นแต่มันกลับรัดเข้าที่ตัวของเด็กคนนั้น ไม่นานทั้งผิวหนังและกระดูกของศพนั้นก็ละลายเหลือแค่เพียงเสื้อผ้าและรองเท้าตกอยู่ที่พื้น