Chapter 6: ตาย !
“เป็นไปได้มั้ยว่านางนั้นใช้ด้ายนี้เพื่อควบคุมดาบ ? แต่...คิดจากด้ายที่บางนี้แล้ว นางจะทำให้ดาบเปลี่ยนทิศทางได้อย่างไร ?”
ก่อนที่เขาจะคิดถึงเรื่องด้ายนนี่ต่อ ฉินมู่ ก็รีบวิ่งหนีไปทันที
ต่อมาดาบได้พุ่งผ่านเขาไปแทงปักเข้าไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่พร้อมกับเสียงทีดังอึกทึก
ราวกับว่าดาบนั้นมีชีวิต มันบิดไปมาในต้นไม้แต่ดึงตัวเองออกมาไม่ได้ ไม่นานเด็กสาวก็บินเข้ามาและคว้าที่ด้ามดาบไว้ก่อนจะดึงออกมาด้วยท่าทีหงุดหงิ – “พลังฉีพยัคฆ์ขาวของข้านั้นยังไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมดาบได้เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย...”
“ศิษย์น้องฉิง มันถือว่าดีแล้วที่เจ้าสามารถก่อพลังฉีออกมาให้เป็นเส้นด้ายได้และใช้มันควบคุมดาบของเจ้าที่ใช้ต่อสู้”
เด็กชายวิ่งข้ามแม่น้ำมาหายืนข้างๆเด็กสาวและยิ้มให้กับเธอ – “เจ้ายังขาดประสบการณ์ไม่ใช่การบ่มเพาะ นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมอาจารย์ถึงได้พาเรามาที่นี่ – เพื่อฝึกและพัฒนาสิ่งที่เราขาดไป ในอดีตนั้นสิ่งที่เราสนก็แค่การบ่มเพาะ ดังนั้นเราจึงขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ ปิศาจน้อยนี่คือโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้เรื่องการต่อสู้ เจ้าน่ะจะได้สามารถควบคุมดาบของเจ้าด้วยพลังฉีได้อย่างอิสระยังไงล่ะ”
เด็กอีกสามคนก็ได้วิ่งเข้ามา คนหนึ่งยิ้มและพูดขึ้น – “ปิศาจน้อยได้เปลี่ยนไปเป็นกวาง เพราะกวางมันว่องไว้ทำให้มันหลบการโจมตีไปได้”
เด็กสาวที่ชื่อ ฉิง ก็ได้รวบรวมสติคืนและใช้ดาบของเธอในการไล่ล่า ฉินมู่ ต่อ เธอหัวเราะออกมาและพูดขึ้น – “ศิษย์พี่กู่ อย่าเพิ่งโจมตี ปล่อยปิศาจน้อยนี่ให้ข้าฝึกทักษะการควบคุมดาบก่อน”
ศิษย์พี่กู่นั้นเป็นเด็กผู้ชายที่วิ่งอยู่บนแม่น้ำกับเธอ เขาพยักหน้าและพูดขึ้น – “ มาเถอะศิษย์น้องทั้งหลาย มาชมทักษะดาบของศิษย์น้อง ฉิง กัน”
มีคำถามวนเวียนอยู่ในหัวใจของ ฉินมู่ ในตอนที่เขาหลบการโจมตีของดาบที่ไล่หลังมา – “ควบคุมดาบด้วยพลังฉีงั้นหรือ ? งั้นด้ายที่เชื่อมต่อนั้นก็เป็นพลังฉีภายในของนางและคงไม่ได้ยาวเท่าไหร่ ? พลังฉีภายในนั้นสามารถใช้ควบคุมดาบได้ขนาดนั้นเชียวรึ ? ข้าจะทำแบบนั้นได้หรือไม่ ?”
ในตอนที่เขาเรียนรู้วิธีใช้มีดฆ่าหมู คนฆ่าสัตว์สอนเขาเกี่ยวกับการใช้มือทั้งสองข้างในการควบคุมมีด ปู่ฆ่าสัตว์นั้นไม่เคยสอนเขาในการใช้พลังฉีในการควบคุมมีดเลย ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ถึงเรื่องนี้
เมื่อเห็นเด็กสาวนั้นใช้พลังฉีควบคุมดาบ เขาก็เกิดความคิดขึ้นมา เมื่อพลังฉีสามารถใช้ควบคุมดาบได้ งั้นเขาก็ใช้พลังฉีภายในควบคุมสิ่งอื่นได้ด้วยงั้นหรือ ?
แต่เขาไม่ได้มีเวลามาขบคิดคำถาม เด็กผู้หญิงคนนั้นควบคุมดาบของเธอให้ไล่ตาม ฉินมู่ อีกอย่างเนื่องจาก ท่านย่าซี ได้เปลี่ยนให้เขาเป็นกวางแล้ว เขาเห็นว่าขาขาของเขาเคลื่อนที่ได้ไม่สะดวก แม้แต่พลังฉีภายในของเขาเองก็ไม่ได้ตอบรับเหมือนปกติเลย
ชี่---- !
ดาบที่ส่องแสงขึ้นมาในตอนที่ปักลงด้านหลัง ฉินมู่ เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาซึ่งไม่นานก็รู้สึกได้ถึงการเผาไหม้ที่เจ็บปวด เขาบอกได้เลยว่า ศิษย์น้องฉิง คนนี้น่ะได้สร้างบาดแผลที่หลังของเขา
“ไม่เลว ! กวางอาจจะเร็วแต่มันก็ยังช้ากว่าคนที่มีร่างวิญญาณ ถ้าข้าบาดเจ็บได้อีก ข้ากลัวว่ามันคงจะยากที่จะหนีในสภาพนี้ได้..”
ไม่นานเขาก็คิดเสร็จ เขารู้สึกว่าอยู่ปากของเขาก็เริ่มแยกเศษเสี้ยววิญญาณออกจากกัน
แต่ไม่ใช่ว่าปากเขาเองที่ทำแบบนั้นแต่เป็นผิวกวางต่างหากที่เริ่มลอกออกจากปากของเขา
ฉิมู่ จำที่ ท่านย่าซี บอกเขาให้วิ่ง ตอนนั้นเธอแอบเอาเข็มออกจากช่องตรงหว่างคิ้วของเขา มันเป็นเข็มที่แทงไว้ในจุดจิตวิญญาณสวรรค์ !
ไม่นานหัวเขาก็เริ่มลอกออกจากผิวของกวาง
ดาบนั้นเฉือนผ่านอากาศเข้ามาฟันเข้าที่ ฉินมู่ เพื่อที่จะเอาชีวิตของเขา ฉินมู่ กระโดดไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนสลัดตัวเองออกจากหนังกวางได้ เขาล้มลงไปที่พื้นห่างจากจุดเดิมหลายหลาก่อนจะกลับขึ้นมายืนและเริ่มวิ่งอีกครั้ง
ด้านหลังเขานั้นดาบที่เด็กผู้หญิงควบคุมนั้นได้เข้าตัดหนังกวางออกเป็นชิ้นๆ การเคลื่อนที่ของมันเหมือนขนนกที่ร่วงหล่นแต่เร็วอย่างกับสายฟ้า การไล่ตาม ฉินมู่ นั้นกลับทำให้ทักษะของเธอพัฒนาขึ้นอย่างมาก
การสลัดหนังกวางออกทำให้เขาเสียเวลาไปนิดหนึ่ง ผลก็คือมีเด็กคนหนึ่งได้มาดักรอเขาอยู่ด้านหน้าตัดทางหนีของเขาไว้
ทั้งคู่ห่างกันแค่ 10 หลา ด้วยระยะห่างเท่านี้ พวกเขาจะสามารถวิ่งเข้าใส่กันได้ในเสี้ยววินาที !
ฉินมู่ ไม่ได้มีเวลามาเปลี่ยนทิศทาง ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เทคนิคขาที่ปู่ด้วนสอนเขา เหมือนเขาจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแต่ ฉินมู่ กลับเอามือลงไปที่พื้นและยกขาตัวเองขึ้นฟ้าพร้อมกับบิดตัวเพื่อเพิ่มความเร็วจนกระทั่งเกิดลมหมุนขึ้นมา เขาหมุนตัวอย่างกับลูกข่างพร้อมกับพุ่งเข้าหาเด็กที่อยู่ตรงหน้าเขา !
เด็กคนนั้นแก่กว่า ฉินมู่ ไม่กี่ปี เขาได้ยิ้มออกมา
เขายกมือทั้งสองข้างป้องกันเอาไว้และได้มีเกล็ดสีเขียวส่องแสงออกมาเหมือนกับเกล็ดของมังกรเขียวที่โผล่ขึ้นมาบนผิวของเขา
“แขนมังกรเขียว !” – เด็กคนนั้นร้องออกมา
เสี้ยววินาทีต่อมา ขาของ ฉินมู่ ได้เข้าปะทะกับแขนของเด็กคนนั้น มีเสียงเหล็กปะทะกันดังขึ้นสองครั้งและก่อนที่รอยยิ้มบนหน้าของอีกฝ่ายจะหายไปเขาก็ได้กัดฟันและเสียสมดุลของตัวเองไป การหมุนตัวของ ฉินมู่ ทำให้เขาต้องถอยหลังกลับไป
แขนของเด็กนั่นเหมือนโดนฉีกขาดเป็นชิ้นๆพร้อมกับเศษเสื้อผ้าที่ปลิวกระจายว่อนอย่างกับกระดาษ รอยสักกงเล็บมังกรนั้นเผยให้เห็นที่แขนทั้งสองข้างของเด็กนั่น กงเล็บนั้นพันรอบไปที่แขนอย่างกับมีชีวิตและมันชัดเจนแล้วว่าเกล็ดเองก็ออกมาจากกงเล็บพวกนั้น
แต่แขนทั้งสองข้างกลับเป็นสีแดงและปูดขึ้นมาเมื่อรับลูกเตะของ ฉินมู่
“เจ้าซ่อนเหล็กไว้ที่ขาด้วยรึ ?” – เด็กคนนั้นอุทานออกมาด้วยท่าทีหงุดหงิดและตะลึง
แขนทั้งสองข้างของเขาสั่นด้วยความเจ็บปวด เขามองลงไปที่เท้าของ ฉินมู่ – “แม้แต่รองเท้าเจ้าก็ทำมาจากเหล็กงั้นรึ ?”
ฉินมู่ กลับมายืนและรีบวิ่งต่อทันที
แต่คำพูดของเด็กนั่นทำให้เขาจำได้ว่าเขายังใส่เหล็กถ่วงสองอันไว้ที่ขาของเขาอยู่
เนื่องจาก ฉินมู่ นั้นเรียนทักษะขามา ปู่ด้วนจึงของให้เขาใส่ที่ถ่วงน้ำหนักไว้ตลอดเวลาและให้เขาสัญญาว่าจะไม่ถอดมัน
เพราะปู่ด้วนคอยติดตามผลตลอดจึงเห็นได้ว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆจึงได้ทำการเพิ่มน้ำหนักที่ถ่วงเข้าไป อีกอย่างปู่ด้วนได้ไปบอกให้ช่างตีเหล็กทำรองเท้าเหล็กให้กับ ฉินมู่ อีกด้วยเพื่อเพิ่มน้ำหนักขึ้นไปอีก
รองเท้าคู่นี้นั้นหนักรวมกันถึง 5 กก. ส่วนเหล็กถ่วงแต่ละข้างนั้นหนักถึง 10 กก. น้ำหนักรวมทั้งหมดที่ถ่วงอยู่ที่ขาของ ฉินมู คือ 25 กก. !
ปู่ด้วนได้ของให้ ฉินมู่ ฝึกจนกว่าเขาจะไม่รู้สึกถึงความหนักของเหล็กพวกนี้อีกต่อไป ถ้าทำได้แล้วปู่จึงจะอนุญาติให้เขาถอดมันออกได้ ฉินมู่ นั้นเพิ่งเคยชินกับมันเลยจำไม่ได้ว่าเขาใส่มันอยู่ในตอนที่หลบหนี
แต่ถ้าเขาพยายามที่จะถอดมันตอนนี้ แน่นอนว่าเขาต้องโดนจับได้ ไม่มีทางที่เขาจะหยุดวิ่งได้เลย
‘ การเหยียบย่ำของภูเขาเมรู ! ‘
ในตอนที่ ฉินมู่ วิ่งอยู่นั้น อยู่ๆเขาก็รวบรวมแรงไปที่ขาขวาและใช้ทักษะการเหยียบย่ำของภูเขาเมรูออกมา รองเท้าเหล็กหนาๆได้แหลกออกเป็นชิ้นๆอย่างกับโคลนและแตกเป็นเสี่ยงๆกระเด็นออกไป
ในเวลาเดียวกันกล้ามเนื้อตรงน่องก็ขยายตัวระเบิดเหล็กที่ถ่วงออกพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ราวกับลูกธนู
ฟุซ !
ทันทีที่กระโดดขึ้นไปบนอากาศ ฉินมู่ ก็รู้สึกเบาตัวอย่างมาก ! เขาสามารถไปถึงยอดไม้ได้ง่ายๆซึ่งเขาเองก็ตกใจอย่างมากเช่นกัน
เมื่อขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยเท้าเปล่าทำให้น้ำหนักที่เขามีนั้นทำให้กิ่งไม้โค้งลงมาเล็กน้อย
ดาบแสงส่องประกายออกมาจากด้านล่างและพุ่งขึ้นมาด้านบน เมื่อมองลงไปแล้ว ฉินมู่ เห็นว่าปลายดาบนั้นเปลี่ยนเป็นดาบนับสิบ !
ดาบของเธอนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่สามารถควบคุมดาบนับสิบได้แต่เธอสามารถสร้างภาพลวงของดาบนับสิบจากดาบหนึ่งเล่มได้ !
อยู่ๆ ฉินมู่ ก็จำคำพูดของปู่ด้วนได้
“อย่าคิดสิ่งที่เราเหยียดจะรับน้ำหนักเราได้หรือไม่ ตราบใดที่เจ้าเร็วพอ เจ้าสามารถวิ่งบนน้ำได้เหมือนกับพื้นดิน,หญ้า..อากาศเองก็ไม่ต่างอะไรจากพื้นดิน !”
เขาใช้นิ้วโป้งเท้าดีดตัวออกจากกิ่งไม้ ฉินมู่ ได้กระโดดออกไปข้างหน้า ดาบแสงนั้นระเบิดขึ้นมาฉีกกิ่งไม้นันให้กลายเป็นชิ้นเล็กๆ
เด็กสองคนกระโดดขึ้นมาและมายืนอยู่บนกิ่งข้างๆและพบว่า ฉินมู่ นั้นได้ดีดตัวออกไปข้างหน้าอย่างกับสายลมที่พัดผ่านไป พวกนั้นได้แค่จ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยท่าทีอึ้งกับความเร็วที่ ฉินมู่ แสดงออกมา
“ทำไมเขาถึงเร็วขนาดนี้กัน ?” – หนึ่งในนั้นถามออกมา - “เด็กนั่นเด็กยิ่งกว่าเราอีกแต่การบ่มเพาะของเขานั้นดูเหมือนจะ..จะแข็งแกร่งกว่าเราเล็กน้อย...”
ในตอนที่สองคนนั้นคิด พวกเขาก็เห็นศิษย์พี่กู่หายตัวไปราวกับหมอกควันและเริ่มไล่ตา ฉินมู่ ด้วยความเร็วที่มากกว่า
“สมกับเป็นศิษย์พี่กู่ ! เขาน่ะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเรา เขาไปถึงขั้นจุดสุดยอดของแก่นวิญญาณแล้ว”
ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาด้วยความชื่นชม – “ด้วยการที่ศิษย์พี่ออกไล่ล่าด้วยตัวเอง ไม่มีทางที่ปิศาจน้อยนั้นจะหนีไปได้แน่”
ในตอนนั้นเองก็ได้มีเงาดำก่อตัวขึ้นในป่า
มีฝ่ามือที่เต็มไปด้วยขนขนาดพอๆกับที่รองแก้วพุ่งเข้าหาศิษย์พี่พู่แล้วตบเขาเข้าในตอนที่เขาวิ่งอยู่กลางอากาศ
เด็กชายคนนั้นกระเด็นกลับไปแล้วกลิ้งอยู่หลายรอบก่อนจะหล่นลงไปกองที่พื้น เขาไถลไปสักหน่อยก่อนที่จะหยุดลง เขาไอออกมาพร้อมกับกระอักเลือดก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่ง - “อย่าไป ! มีปิศาจลิงอยู่ ! นั่นคือความน่ากลัวของปิศาจลิง ! ”
ทั้งสี่คนเลิกไล่ตามทันที
ในตอนที่เงาที่โผล่มาจากต้นไม้นั้น ทั้งห้าคนก็ได้เห็นว่ามันเป็นลิงสีดำตัวใหญ่ดูน่ากลัว ตาของมันมีสีแดงและเขียวของมันเองก็งอกออกมาจากปาก
มันตีอกตัวเองอย่างกับกองและร้องอกอมา – “ตายยย !”
ฉินมู่ ที่ซึ่งวิ่งออกไปก่อนหน้านี้แล้วก็ปะทะเข้ากับอากาศที่ลิงนี้สร้างขึ้มา ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่ที่เท้าของลิงนี่ เด็กคนที่ไล่ตามมาบอกไม่ได้เลยว่าเขาตายหรือยัง
เด็กสาว ฉิง มองไปที่ ฉินมู่ และพึมพำออกมา – “เนื่องจากฝ่ามือเดียวของลิงนี่ยังทำให้ศิษย์พี่กู่ได้รับบาดเจ็บและปิศาจนั่นก็โดนโจมตีเหมือนกัน เขาน่าจะตายแล้ว..ถูกหรือไม่ ?”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอก็ต้องสะดุ้งด้วยความแปลกใจ ฉินมู่ ที่ซึ่งนอนอยู่ที่พื้นตรงหน้าลิงปิศาจนั้นได้เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อดูสถานการณ์
“เด็กนั่นยังไม่ตายอีกหรือ ?” – เธอพุดออกมาด้วยท่าทีเหลือเชื่อ
ลิงปิศาจได้คำรามอยู่หลายรอบและได้หยุดลงเมื่อมันเห็นว่าพวกที่ไล่ตามมานั้นไม่กล้าเดินหน้าเข้ามาอีก จากนั้นมันได้มองมาที่ ฉินมู่ แล้วใช้สองนิ้วเขี่ยดู
“เด็กน้อย เจ้าตายรึยัง ?”
เมื่อเห็นว่าตาของ ฉินมู่ เบิกกว้างและมีเลือดท่วมทั้งใบหน้า อีกทั้งลิ้นยังแลบออกมา มันก็ชัดเจนแล้วว่าเด็กนี่น่ะตายแล้ว !
มันฮึดฮัดด้วยความพอใจ ลิงปิศาจได้โยนร่างของ ฉินมู่ ไปข้างๆ จากนั้นมันจึงได้นั่นลงและเริ่มเก็บใบไม้จากต้นไม้ใกล้ๆแล้วกินมัน
“แม้ว่ามันจะโหดร้ายแต่ลิงปิศาจนี่มันเป็นสัตว์กินพืช...”- ฉินมู่ ยังคงเลือดไหลออกมาที่ใบหน้าและทำตาเบิกกว้างตลอด เขาค่อยๆคลานหนีออกมาโดยใช้ศอกของตัวเอง
อยู่ๆลิงปิศาจก็ได้หันกับมามองที่ร่าง ฉินมู่ ซึ่งนอนนิ่งอีกครั้ง มันยังคงมองไปที่ ‘ ร่าง ‘ ของ ฉินมู่ ที่ไม่ได้ขยับใดๆ
มันเหยียดนิ้วออกมาและเขี่ยดูราวกับคิดว่าเป็นศพ มันพบว่าร่างของ ฉินมู่ นั้นแข็งและเย็นไปเรียบรอยแล้ว
“เด็กน้อย ตายแล้ว” – มันพูดขึ้นด้วยความพอใจอีกครั้ง จากนั้นจึงหันหลังกลับไปกินใบไม้ต่อโดยไม่สนสิ่งใด
เด็กสาวที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากไกลๆนั้นพุดกลับตัวเอง – “ ไอ้ลิงโง่ ! แกไม่คิดว่ามันแปลกหน่อยหรือที่ศพนั้นจะแข็งและเย็นได้เร็วขนาดนี้ ?”
ดูเหมือนว่ามันจะรู้ความคิดของเธอ ลิงปิศาจได้ตบหน้าผากตัวเองและหันกลับมาทันที ‘ ศพ ‘ ของเด็กตรงหน้าได้ยืนขึ้นและเริ่มที่จะหนีไปแล้ว