Chapter 4: ทักษะปิศาจสวรรค์
“ทั้งๆที่เทคนิคของปู่ด้วนนั้นเร็วจนวิ่งบนท้องฟ้าได้แล้วใครกันที่ตัดขาเขา ? หมัดของปู่หม่าเองก็ทรงพลังแต่ใครตัดแขนเขาออก ? และใครกันที่สับร่างกายส่วนล่างของปู่ฆ่าสัตว์ทิ้ง ?”
เมื่อได้เห็นความสามารถของทั้งสามคนแล้วก็ทำให้ ฉินมู่ รู้สึกทั้งสับสนและตกใจ
เมื่อได้ลองทักษะขากับปู่ด้วนแล้ว ในที่สุดร่างกายของ ฉินมู่ ก็ซึมซาบเลือดวิญญาณได้สำเร็จซึ่งพัฒนาส่วนก่อกำเนิดเขาได้อย่างมาก ตอนนี้แรงเขาได้หมดไปแล้วและเขาต้องการที่จะนอนและหลับไปเฉยๆ
แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของความทรมาน
แทบทุกวันนั้นผู้อาวุโสในหมู่บ้านจะจับสัตว์อสูรมาและปรับแต่งเลือดวิญญาณแล้วให้เขาดื่มมันทั้งหมด เมื่อเขากินแล้วก็จะต้องไปเริ่มการฝึกอันบ้าคลั่ง ทรมานเขาจนกว่าเขาจะร้องออกมา
นอกจากเรียนรู้การใช้ขา,หมัดและมีดแล้ว ฉินมู่ ยังคงต้องเรียนการตีเหล็กจากปู่ใบ้, การวาดรูปและการคัดลายมือจากยายหูหนวก เขายังได้เรียนรู้วิธีแยกแยะตำแหน่งเสียงจากชายตาบอดด้วย
ในตอนที่ ฉินมู่ หมดแรงที่จะทำต่อ ผู้ใหญ่บ้านจะเรียกเขาเข้าไปหาและให้เขาฝึกทักษะการหายใจ ทักษะการหายใจที่ผู้ใหญ่บ้านสอนเขานั้นคือเทคนิคร่างราชันย์อมตะสามชีวีตที่ทรงพลัง
แม้ว่า ฉินมู่ จะไม่รู้ว่าเทคนิคนี้ทรงพลังแค่ไหนแต่ความเมื่อยล้าที่เขามีซึ่งได้มาจากการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นได้หายไปในตอนที่เขาฝึกกับผู้ใหญ่บ้าน ไม่นาน ฉินมู่ ก็รู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้น ดังนั้นเขาจึงคิดว่าทักษะนี่เป็นทักษะที่วิเศษ
สายตาของหมอนั้นดูสั่นครอนเล็กน้อยในตอนที่ ฉินมู่ เดินจากไป จากนั้นเขาก็พูดขึ้นเสียงเบาๆ – “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านสอนเขาแค่เทคนิคเตาหยินธรรมดา ถูกหรือไม่ ?”
“ถูกต้อง มันแค่เทคนิคเตาหยิน”- ผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้นไม่ได้สนใจที่จะปฏิเสธแต่อย่างใด – “ร่างวิญญาณทั้งสี่นั้นมีเทคนิคเป็นของตัวเอง ร่างมังกรเขียวนั้นใช้พลังฉีของมังกรเขียวในการบ่มเพาะและร่างพยัคฆ์ขาวนั้นใช้พลังฉีของมังกรขาวในการบ่มเพาะ ร่างอื่นๆก็เช่นกันแต่ร่างของ ฉินมู่ นั้นไม่ได้มีพลังฉีของทั้งสี่ร่างนั้น เพื่อกันไม่ให้เขาใช้เทคนิคของทั้งสี่ร่าง ข้าเลยสอนทักษะที่ง่ายที่สุดไป เพราะมันเป็นทักษะเดียวที่ไม่จำเป็นต้องใช้ร่างทั้งสี่เหล่านั้น”
คำอธิบายนี้ทำให้หมอนั้นงุนงง – “แต่เทคนิคเตาหยินนั้นง่ายดายเกินไป..มันธรรมดาเกินไป ! คนที่เพิ่งฝึกฝนทักษะต่อสู้เองใช้มันได้แล้วแต่น้อยคนนักที่จะกลายเป็นคนประสบความสำเร็จ !”
“ตอนแรกข้าก็คิดแบบนั้น” – ผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้น จากนั้นก็แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา – “แต่ข้าคิดว่าเราควรอย่าดูถูกเทคนิคนี้ ข้าได้ให้ ฉินมู่ ฝึกทักษะนี้ตั้งแต่ยังเด็กและตอนนี้เขาก็มีพลังฉีภายในเยอะจนน่าตกใจ ทางเดียวที่เขาจะปล่อยพลังออกมาได้นั้นก็คือพลังฉีภายในเขามีความสามารถนี้”
หมอตกใจขึ้นมา – “พลังฉีภายในเขานั้นเยอะขนาดไหนกัน ?”
“ถ้าเทียบของเขากับของเจ้าแล้ว ความแข็งแกร่งของ ฉินมู่ น่าจะเท่ากับพลังของแก่นวิญญาณสวรรค์ของเจ้าครึ่งหนึ่ง”
คำพูดของผู้ใหญ่บ้านทำให้หมอช็อค
“ข้าได้ฝ่ากำแพงนภาสวรรค์มาแล้วและได้ปลุกสมบัตินภาสวรรค์มาแล้วด้วย” - เขาร้องออกมา – “ข้าใช้เวลาไปหลายปีกว่าจะปลุกแก่นวิญญาณ, ธาตุทั้งห้า, และทิศทางทั้งหกขึ้นมาได้ ! ครึ่งหนึ่งของพลังในแก่นวิญญาณของข้านั้นเท่ากับผู้ฝึกทักษะต่อสู้เริ่มต้นระดับสูง ! สำหรับความแข็งแกร่งของ ฉินมู่ ที่เทียบเท่าพวกนั้นโดยที่ไม่ได้ปลุกแก่นวิญญาณสวรรค์ขึ้นมานั้น....ถ้าเขาปลุกแก่นวิญญาณสวรรค์ขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าการที่เขามีร่างวิญญาณอย่างนั้นหรือ ? เทคนิคเตาหยินนี่มันอะไรกัน ?”
ผู้ใหญ่บ้านเองก็งงพอๆกับหมอ - “เทคนิคเตาหยินนั้นความจริงนั้นลึกลับ แม้ว่ามันจะเป็นเทคนิคการหายใจง่ายๆแต่คนที่คิดมันขึ้นมานั้นแข็งแกร่งน่าเหลือเชื่อ มู่เอ๋อ ได้บ่มเพราะมากว่าสิบปีซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เวลาน้อยๆ เทคนิคเตาหยินอาจจะพัฒนาได้ช้าในตอนที่เขาเริ่มใช้มันบ่เพาะ แต่ข้าเพิ่งเห็นว่าความแข็งแกร่งของ มู่เอ๋อ นั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด การพัฒนาของเขานั้นน่ากลัวในวันที่เขาได้กินเลือดวิญญาณทั้งสี่เข้าไป ! ถ้าเทคนิคเตาหยินนั้นไม่ใช่ทักษะทั่วไปล่ะก็ข้าคิดว่ามันอาจจะเป็นทักษะระดับพระเจ้าก็เป็นได้...”
ทั้งสองคนต่างก็แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา
หมอหอบออกมาและส่ายหน้า – “มันก็คงไร้ประโยชน์อยู่ดี ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งได้แค่ไหนแต่พลังฉีพายในของเขาคงไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้มาก ท่านคิดว่าเขาจะสามารถใช้เทคนิคเตาหยินบ่มเพราะไปได้นานแค่ไหนกัน ?”
สีหน้าบนใบหน้าของผู้ใหญ่บ้านเริ่มแปลกขึ้นไปอีก – “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หมอจึงได้พยักหน้าตอบรับด้วยความเข้าใจ
เทคนิคเตาหยินนั้นเป็นเทคนิคพื้นฐานที่เด็กธรรมดาใช้ในการฝึกเริ่มต้น เมื่อเด็กนั้นอายุได้สิบปี จุดกำเนิดนั้นจะพัฒนาได้มากพอที่จะทนแรงของเลือดวิญญาณได้ หลังจากยืนยันแล้วว่าเด็กนั้นมีร่างวิญญาณแบบไหน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคนี้ในการบ่มเพาะอีกต่อไป
เทคนิคที่ดีกว่านี้จะสามารถใช้งานได้เมื่อคนๆนั้นพังทลายกำแพงใดๆออกไปได้ ซึ่งเมื่อไปได้ไกลขนาดนั้นเทคนิคเตาหยินก็คงไม่จำเป็นอีกแล้ว
สำหรับคนธรรมดาที่ใช้เทคนิคเตาหยินในการบ่มเพาะ....พวกเขาไม่มีโอกาสได้ดื่มเลือดวิญญาณทุกวันเหมือนที่ ฉินมู่ มี
มีแต่ตระกูลที่มีอำนาจและแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะให้ของแบบนี้ได้ แต่ไม่มีใครคิดเสียแหล่งทรัพยาการให้กับคนธรรมดาแน่ ไม่มีตระกูลไหนจะทำแบบที่ผู้อาวุโสในหมู่บ้านนี้ทำและไม่มีทางไปจับสัตว์อสูรเพื่อช่วยในการบ่มเพราะกับคนธรรมดาอย่าง ฉินมู่ แน่
ผู้ใหญ่บ้านไม่เคยได้ยินว่ามีคนบ่มเพาะด้วยเทคนิคเตาหยินจนพัฒนาได้ถึงขึ้นสูงสุด แม้แต่ถึงระดับของ ฉินมู่ ตอนนี้ก็ยังไม่มี
ผลก็คือเขาไม่รู้ว่าระดับของ ฉินมู่ นั้นจะไปถึงระดับไหนในอนาคต
ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้หมอและผู้ใหญ่บ้านถึงกับช็อค การบ่มเพราะของ ฉินมู่ นั้นได้พัฒนาเกินกว่าที่คาดเอาไว้ เทคนิคเตาหยินธรรมดานี่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเขาทำให้จุดกำเนิดของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก !
ในเวลาแค่เดือนเดียว ฉินมู่ สามารถกินเลือดวิญญาณของสัตว์ทั้งสี่ได้มากขึ้นกว่าเดิมและพลังฉีภายในของเขาก็เข้มข้นมากกว่าการที่เขาปลุกแก่นวิญญาณสวรรค์ขึ้นมาซะอีก !
แต่แม้ว่าพลังฉีภายในเขาจะเข้มข้นแต่มันก็ขาดคุณสมบัติที่ทำให้เขาปล่อยพลังออกมาไม่ได้ นี่ทำให้ ฉินมู่ นั้นไม่สามารถแสดงความสามารถในการบ่มเพาะที่แท้จริงออกมาได้
แต่พลังฉีที่เขามีก็ถือว่าเป็นผลดีกับเขา ! ฉินมู่ นั้นทนการโจมตีได้มากขึ้นและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอย่างมาก การฝึกของเขานั้นไปถึงขั้นที่เกือบจะเทียบเท่ากับอาจารย์ตัวเองได้ เขาสามารถใช้มีดตัวเองเข้าสู้กับคนฆ่าสัตว์, ทนการโจมตีจากหมัดของเฒ่าหม่าได้,ฟาดท่อนไม้เข้าใส่ชายตาบอดได้ทั้งๆที่สวมผ้าปิดตาอยู่, ทนการฝึกขากับชายขาด้วยและจบการฝึกหลายๆอย่างกับช่างตีเหล็กแล้วยังหลอมอุปกรณ์ขึ้นมาได้ด้วยค้อนที่หนักกว่าร้อยปอนด์ แม้ว่าจะฝึกหนักขนาดนี้แต่ ฉินมู่ ก็แค่บ่มเพาะด้วยเทคนิค ‘ ร่างราชันย์สามชีวิต ‘ โดยการปรับลมหายใจเข้าออกและเขาก็จะฟื้นฟูแรงกลับคืนมาได้
ผลที่ได้จากการฝึกทักษะนี้ทำให้แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านเองก็ต้องช็อค เขากับหมอนั้นแอบไปตรวจดูสภาพร่างกายของ ฉินมู่ เพื่อดูว่ามีบาดแผลใดที่ซ่อนอยู่หรือไม่และเพื่อกันไม่ให้มันส่งผลในอนาคต
หลังจากตรวจสอบแล้ว หมอก็ได้กลับไปพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านด้วยสีหน้าแปลกๆทั้งคู่ – “ข้าไม่เห็นบาดแผลใดเลยที่ได้จากการฝึกรึหมดแรง อันที่จริงเพราะพลังฉีที่เข้มข้นของเขา มันจึงเริ่มพัฒนาการก่อกำเนิดของเขาขึ้นมาแล้ว”
ผู้ใหญ่บ้านเองก็อึ้ง แม้ว่าเขาจะมีความรู้มากมายแต่เขาไม่เคยเห็นคนที่เหมือน ฉินมู่ มาก่อน การบ่มเพาะด้วยเทคนิคเตาหยินที่ทำอยู่ตอนนี้นั้นเกินความเข้าใจของทุกคนไปแล้ว
“ฉินมู่ เจ้าจะได้เรียนการถักทอกับย่าในวันนี้ ไม่มีการฝึกหมัดอีกแล้ว” - ท่านย่าซี เรียก ฉินมู่
ยายแก่เดินเข้ามาพร้อมกับถือตะกร้าเล็กๆที่เต็มไปด้วยเข็มและก้อนด้าย แค่เธอเดินไปทีละนิดแต่ก็ออกจากหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว ฉินมู่ รีบตามไปทันทีและหยิบตะกร้าจากมือของเธอและถาม – “ย่า ทำไมเราไม่เรียนในหมู่บ้านกัน ? ทำไมเราต้องออกไปข้างนอกด้วย ?”
“เราจะออกไปข้างนอกเพื่อสอนให้เจ้ารู้ถึงการถักทอที่แท้จริงและการทำ....เสื้อผ้าที่แท้จริง”
ท่านย่าซี หัวเราะออกมาเบาๆ – “เฒ่าหม่า, ไอ้ด้วน,และไอ้แก่ที่เหลือนั้นสอนทักษะกับเจ้าก็จริง แต่ย่าคนนี้ก็ไม่ได้ขี้เหนียวหรอกนะ วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเองว่าการถักทอนั้นทำอะไรได้”
ถักทอทำอะไรได้ ? ฉินมู่ คิดด้วยความสับสน ไม่ใช่แค่ว่าใช้ทำเสื้อผ้าหรอกหรือ ?
ในตอนที่เขาสับสนนั้น ฉินมู่ ก็เดินตาม ท่านย่าซี ออกไปจากหมู่บ้านไปที่แม่น้ำ แม้ว่าย่านั้นจะเป็นคนหลังค่อมแต่การเดินของเธอนั้นเร็วจนน่าแปลกใจ ฉินมู่ ต้องใช้เทคนิคขาที่เรียนมาถึงตามเธอทัน หลังจากเดินมาหลายสิบไมล์ พวกเขาก็ได้มาถึงทุ่งหญ้าตรงตีนภูเขา ด้านหน้าพวกเขานั้นมีกลุ่มกวางกำลังกินหญ้ากันอยู่
ท่านย่าซี ดึงเข็มที่ปักอยู่บนก้อนด้ายออกมาและดีดมัน เข็มนั้นหายไปในเสี้ยวพริบตา ตอนนั้นเอง ฉินมู่ เห็นว่ากวางตัวหนึ่งได้ล้มลงไปที่พื้นและตัวอื่นๆก็ได้หนีไปด้วยความกลัว
ท่านย่าซี เดินไปข้างหน้าพร้อมๆกับมี ฉินมู่ ตามหลังมาติดๆ ในตอนที่พวกเขาเดินไปถึงกวาง เขาก็ตระหนักได้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่แต่เข็มของท่านย่าซีนั้นแทงทะลุเข้าไปในหว่างคิ้วของมันทำให้มันขยับไม่ได้
“ดูนี่ดีๆ มู่เอ๋อ จุดเข็มที่แทงอยู่นี้คือจุดวิญญาณสวรรค์”
ในตอนที่ ท่านย่าซี ให้ ฉินมู่ จำตำแหน่งที่เข็มแทง เธอก็เอาเข็มอีกเล่มออกมาและแทงเข้าไปที่กระดูกสันหลังของกวาง
“เข็มนี้แทงเข้าไปที่จุดวิญญาณปฐพี” - เธอพูดขึ้น
ท่านย่าซี หยิบเข็มอีกเล่มขึ้นมาและแทงเข้าไปที่หว่างคิ้วใกล้ๆเข็มเล่มแรก – “จุดวิญญาณที่สองนี้เรียกว่าจุดผนึกศร จุดนี้อยู่ที่ใบหน้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมอง แต่จำไว้ดีๆ ! มันง่ายที่จะสับสันระหว่างจุดวิญญาณสวรรค์กับผนึกศร เข็มทั้งคู่อาจดูเหมือนว่าแทงเข้าจุดเดียวกันแต่อันหนึ่งลึกกว่า อย่าคิดว่ามันเหมือนกัน”
“จุดที่สามคือจุดหยินของนกกระจอกซึ่งอยู่ที่ลูกกระเดือก” – เธอชี้ไปที่คอของ ฉินมู่ – “เจ้ารู้สึกถึงสามเหลี่ยมเล็กๆหรือไม่ตอนเจ้าจับมัน ? นั่นแหละคือที่ที่จุดหยินของนอกกระจอกซ่อนอยู่ เข็มนี้ต้องจะแทงผ่านจุดนั้นของกวางเข้าไป”
ท่านย่าซีขยับมืออย่างรวดเร็วและเอาเข็มอีกเล่มแทงเข้าไปในแต่ละจุดของกวาง
“จุดวิญญาณที่สี่นั้นคือสกัดใจ มันอยู่ตรงนี้ ในหัวใจที่ที่เลือดสูบฉีด”
“จุดวิญญาณที่ห้านั้นไม่ใช่จุดพิษ มันอยู่ที่สะดือ อย่าเข้าใจผิดคิดว่าจุดวิญญาณสลับกับจุดพิษ”
“จุดวิญญาณที่ห้านั้นคือจุดลบสิ่งปนเปื้อนซึ่งอยู่ตรงขาหนีบ ใกล้ๆกับจุดทิ้งของเสีย”
“จุดวิญญาณที่เจ็ดจุดปอด อยู่ตรงที่ซึ่งใช้ไหลเวียนลมหายใจ”
ย่าซึงแทงเข็มลงไปที่สามจุดจิตวิญญาณและจุดวิญญาณทั้งเจ็ดของกวางและพูดขึ้น – “การจำกัดจุดจิตวิญาณและจุดวิญญาณนั้นคือส่วนที่สำคัญที่สุดในการถักทอเสื้อผ้า มันเรียนว่าการผูกมัดจิตวิญญาณ เจ้าเข้าใจหรือไม่ มู่เอ๋อ ? เมื่อเจ้าเข้าใจแล้วเราจะเริ่มขั้นตอนต่อไป”
ฉินมู่ นั้นไม่ได้เข้าใจว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวกับการถักทอยังไงแต่เขาก็มีความจำที่ดีอยู่แล้ว เขาจึงได้พูดขึ้น – “ข้าจำได้แล้ว”
ท่านย่าซี หยิบเอากรรไกรออกมาจากตะกร้าและถลกหนังกวางตัวนั้นจากปากของมัน หนังของกวางนั้นถูกลอกออก น่าแปลกใจที่แม้ว่ามันจะถูกลอกหนังออกแต่ก็ไม่มีเลือดไหลออกมาเลยสักหยด
“ข้าได้มัดจิตวิญญาณของมันไว้ที่หนัง กักการไหลของเลือด,พลังงานและวิญญาณทั้งหมดให้อยู่ในนี้ ร่างกายของมันอาจจะตายแล้วแต่มันยังคงมีชีวิตอยู่ในหนังที่ลอกออกมาแต่ก็ยังคงต้องใช้ทักษะในการขึ้นรูปเพื่อไปทำเสื้อผ้าที่เหมาะสม ดูดีๆ มู่เอ๋อ จำที่ข้าทำไว้ดีๆ !”
ย่าหลังค่อมโยนหนังกวางขึ้นบนอากาศแล้วใช้นิ้วที่จับเข็มนั้นแทงถักไปตามหนังที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
ฉินมู่ เพ่งสมาธิจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นและพบกว่า ท่านย่าซี นั้นชี้จุด 316 จุดก่อนที่หนังกวางนั้นจะหล่นลงมาที่พื้น ทุกจุดนั้นแตกต่างกันและแต่ละการทะลวงของนั้นได้มีพลังฉีเข้าไปสู่หนังกวางนั้นด้วย
ในตอนที่หนังนั้นตกลงมาที่พื้น มันก็หล่นพับลงไปที่พื้น มันกลับตั้งตรงอย่างกับกวางที่ยังมีชีวิตอยู่ ! มันส่ายหน้าและส่ายหาง แทบไม่มีใครบอกได้รเลยว่ามันเป็นแค่หนัง !
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ ฉินมู่ ถึงกับอึ้ง
ท่านย่าซี หัวเราะออกมาและเปิดหนังกวางออกมาห่อตัว ฉินมู่ – “นี่คือเสื้อผ้าที่เรานักถักทอควรจะทำได้”
ทันใดนั้นหนังกวางก็เริ่มห่อตัว ฉินมู่ มันแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขารู้สึกว่ามันกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพร้อมกับกดทับเขาลงให้เดินสีเท้า
เขารู้สึกเหมือนเขากลายเป็นกวาง ! เขารู้สึกได้ถึงหางเล็กๆที่เขามี !
ท่านย่าซี หยิบกระจกออกมาวางไว้ตรงหน้าเขาให้เขาได้ดูภาพสะท้อนของตัวเอง เมื่อทำแบบนั้นเขาก็เห็นว่าตัวเองนั้นถูกเปลี่ยนเป็นกวางแล้ว !
ฉินมู่ ลองพูดดูแต่เขาก็ร้องออกมาเป็นเสียงกวาง
จากนั้นก็ได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากไหนไม่รู้
“เทคนิคการสร้างปิศาจสวรรค์ ! ช่างลึกลับซะจริง ! ข้าไม่คิดว่าจะเจอปิศาจที่กำลังสอนปิศาจน้อยเกี่ยวกับทักษะนี้ในดินแดนหายนะ !”