Chapter 29: การโกง
ฉินมู่ ตอบด้วยความเคารพ –“ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าทำการบ่มเพาะตั้งแต่เด็ก ไตของข้าแข็งแกร่งและพลังหยางเองก็มีมากพอ สายตาของข้าก็ดีและข้าสามารถเห็นในความมืดได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ข้าเห็นมันได้อย่างชัดเจน”
เงาบนกำแพงสั่นไหวนิดหน่อยแต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรอีก มันทำการโคจรพลังฉีให้เด็กน้อยได้ดูต่อไป
ท่าที่สามนั้นคือความฉลาดอันยิ่งใหญ่ ท่านี้นั้นซับซ้อนกว่าเดิมมาก การโคจรพลังฉีของเงานั้นเร็วขึ้นๆและแม้ว่าเขาจะใช้ตาสวรรค์แต่ ฉินมู่ ก็ยังไม่สามารถที่จะมองดูเส้นทางพลังฉีทั้งหมดได้ ทำให้เขาคงต้องเข้าไปในห้อง
ฉินมู่ ลังเลสักพักก่อนจะก้าวขาหนึ่งเข้าไปในห้องโดยอีกขานั้นยังคงอยู่นอกห้องอยู่ ด้วยการทำแบบนี้ทำให้เขาสามารถจดจำกระแสการไหลของพลังฉีของเงานั่นได้
ฉินมู่ พยายามที่จะจดจำเส้นทางนั้นแต่ไม่นานเงานั่นก็โคจรได้สำเร็จ เขาพยายามลองทำดูและแม้ว่ามันจะใช้ออกมาได้แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ขาดหายไปอยู่
เขาจดจำการออกท่าความฉลาดอันยิ่งใหญ่นี้ได้ไม่หมด
“นี่คือท่าที่สี่ของการปลดปล่อยอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นท่าที่แข็งแกร่งที่สุด พลังของสามท่าแรกนั้นได้มารวมกันที่ท่านี้”
เงาบนกำแพงนั้นดูเหมือนไม่ได้มีความแข็งแกร่งพร้อมกับหดตัวให้เล็กลงๆ เสียงของมันเบาขึ้นเรื่อยๆ – “แต่ท่านี้นั้นซับซ้อนกว่าเดิมเล็กน้อย ข้ากลัวว่าเจ้าจะจำได้ไม่หมด”
“ท่านไม่ต้องกังวล”
ฉินมู่ ยิ้มออกมา – “ข้าทำการบ่มเพาะตั้งแต่เด็ก ไตของข้าแข็งแกร่งและพลังหยางเองก็มีมากพอ สายตาของข้าก็ดีและข้าสามารถเห็นในความมืดได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ข้าเห็นมันได้อย่างชัดเจน”
เงาบนกำแพงเงียบและตอบด้วยเสียงอ่อนแรงพร้อมกับถอนหายใจ – “แต่ข้ารักษาสภาพนี้ได้ไม่นาน เข้ามาเถอะ มีเล็บทองแดงอยู่ที่มุมห้องทั้งสี่ เจ้าแค่ต้องดึงพวกมันออกเพราะมันทิ่มหลังข้าอยู่ ทันทีที่เจ้าดึงมันออก ข้าจะสามารถหายใจได้สะดวก เมื่อข้าหายใจได้ดีแล้วข้าก็สามารถสอนเจ้าได้อย่างเต็มที่”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเลห์ – “เจ้ายังเรียนรู้ท่าที่สามไม่ได้อย่างสมบูรณ์ถูกหรือไม่ ? ความฉลาดอันยิ่งใหญ่นั้นซับซ้อนอย่างมากแต่พลังของมันก็แข็งแก่รงอย่างมากเช่นกัน ถ้าเจ้าไม่เรียนรู้มันให้ได้อย่างสมบูรณ์ เจ้าก็ไม่อาจจะปลดปล่อยพลังมันออกไปได้ ไม่ใช่แค่นั้น ความแข็งแกร่งที่สุดของทักษะนี้ยังอยู่ในท่าที่สี่ การปลดปล่อยเจ้าปิศาจ ! เมื่อเจ้าดึงสลักพวกนั้นออกแล้ว...”
“ข้าคิดว่าข้าจะไม่เรียนรู้มันอีก” - ฉินมู่ ส่ายหน้าพร้อมกับถอยเท้าซ้ายกลับออกมาจากห้อง- - “มันยุ่งยากเกินไปและด้วยความโง่ของข้า ข้าคงไม่อาจชำนาญมันได้”
เงาบนกำแพงพยายามยุ ฉินมู่ – “ข้าสอนเจ้าได้อีกตราบใดที่เจ้าดึงสลักพวกนั้นออก ...”
ฉินมู่ ส่ายหน้า – “ไม่ใช่ท่านบอกเองรึว่าสอนข้าได้เพียงแค่รอบเดียว ? ถ้าข้าให้ท่านสอนอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่ว่าทำให้ท่านกลับคำพูดรึ ? นั่นยิ่งทำให้ข้ารู้สึกผิด ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านผิดหวังเพราะการที่ข้าโง่ถึงเพียงนี้”
“ไม่ เจ้าน่ะฉลาดอย่างมาก”
เสียงจากเงานั้นฟังดูนุ่มนวลขึ้นราวกับพี่ปลอบน้อง – “เจ้าได้เรียนรู้สองท่าแรกไปแล้วทั้งๆที่เห็นมันเพียงครั้งเดียว เจ้าเรียนรู้เส้นทางของการโคจรพลังในท่าที่สามได้ ความฉลาดของเจ้านั้นสูงและแน่นอนว่าเจ้าจะเรียนรู้ความฉลาดอันยิ่งใหญ่ได้ ถ้าได้เห็นมันอีกครั้ง ข้าชอบความคิดและความฉลาดของเจ้า ข้ายอมกลับคำพูดและสอนเจ้าอีกรอบ.....”
เมื่อพูดมาถึงตรงนั้นเสียงนั่นก็ได้หยุดก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเย็นชา – “เจ้าหลอกให้ข้าสอนทักษะของข้ารึ ?”
ฉินมู่ อึ้ง – “ทำไมท่านถึงได้พูดเช่นนั้น ?”
“เจ้าหลอกให้ข้าสอนทักษะให้ !”
เงาบนกำแพงนั้นเริ่มขยายขนาดขึ้นครอบคลุมทั้งห้องอีกครั้ง เงานั้นตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิด – “เจ้ากล้าหลอกข้าได้ยังไง ! เจ้าเด็กน้อย ข้าสอนเจ้าไปเพราะหวังดีแต่เจ้ากลับโกหกข้า !”
ฉินมู่ ยังคงยืนอยู่นอกห้องและปล่อยให้เงานั่นพร่ามออกมาพร้อมกับที่เขาส่ายหน้า – “ท่านต้องล้อเล่นข้าแน่ๆ ไม่ใช่ว่าท่านพยายามหลอกให้ข้าปลดปล่อยท่านหรอกรึ ?”
ประตูห้องได้เปิดกว้างออก หน้าตานั้นเป็นเหมือนตาและประตูนั้นเป็นเหมือนปาก มันดูน่ากลัวอย่างมากและมันได้พูดออกมา – “เจ้ารู้ ?”
“เรานั้นต่างเผ่าพันธุ์กันแต่ท่านกลับโกหกข้าโดยบอกว่าเราเป็นเผ่าเดียวกัน จากนั้นท่านได้ล่อหลอกข้าโดยแสดงทักษะการปลดปล่อยอันยิ่งใหญ่ออกมาให้ข้าเข้าไปใกล้ท่านโดยมีจุดประสงค์สองอย่าง”
ฉินมู่ ยิ้มออกมาคล้ายๆกับรอยยิ้มของปู่ด้วน – “อย่างแรกของการเข้าไปในห้องและล่อข้าเข้าไปใกล้กำแพงที่ซึ่งท่านสามารถที่จะจับข้าได้ก่อนจะควบคุมข้าให้ดึงสลักออกจากทั้งสี่มุมของห้อง อย่างที่สองคือใช้ความต้องการที่ข้าอยากได้ทักษะนี้เพื่อถอนสลักออกด้วยความต้องการของข้าเอง ถ้าข้าดึงสลักนั้นออก มันคงไม่ใช่แค่ทำให้ท่านหายใจได้สะดวก ที่ทำจะทำหลังจากนั้นคือกินข้าเหมือนกับที่ท่านทำกับกวางนั่นแต่...”
ฉินมู่ ยิ้มออกมาดูจริงใจกว่าเดิม – “ข้าไม่ได้โง่เหมือนกวางนั่น ดังนั้นข้าจึงทำตามน้ำท่านไปและหลอกให้ท่านสอนทักษะนี้มาได้ถึงสองท่ากับอีกครึ่งหนึ่ง”
ทั้งห้องเริ่มสั่นสะเทือนไม่หยุดพร้อมกับได้มีเสียงคำรามดังขึ้นจากประตู – “บัดซบ ! ข้าจะฆ่าเจ้า ! เมื่อข้าเป็นอิสระ ข้าจะทรมานเจ้าจนตาย !”
เด็กน้อยจากหมู่บ้านคนพิการเม้มปากแล้วหันกลับไป - “ปู่ด้วนเองก็ได้เคยหลอกข้านับครั้งไม่ถ้วน ข้าโดนหลอกมาตั้งแต่เด็ก ย่าซีจึงมาช่วยข้าที่โดนเขาหลอกตลอด สำหรับท่านที่คิดจะหลอกข้าแล้ว....”
“ข้าจะฆ่าปู่ด้วนของเจ้า ! ” - เงาบนกำแพงคำรามออกมาอย่างหงุดหงิด
ฉินมู่ หันกลับมาและเตือนเขาด้วยท่าทีจริงจัง – “อย่าลองเลย ข้าน่ะเตือนท่านไว้ก่อนว่าท่านอาจเป็นฝ่ายโดนหลอกซะเอง”
เงาบนกำแพงอยู่ๆก็ได้เงียบลง เงียบซะจนดูเหมือนมันสงบ มันกระซิบบางอย่างออกมา – “เจ้าไม่ได้เพิ่งบอกรึว่าเราไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน ? ฮี่ฮี่ เจ้าน่ะใสซื่อเกินไปเด็กน้อย...เจ้ากับข้าไม่ใช่เผ่าเดียวกันได้ยังไง....ฮี่ฮี่ เจ้าปิศาจน้อยของข้า..”
ฉินมู่ รู้สึกขนลุกขึ้นมาและอยู่ๆก็คิดถึงเสียงพระเจ้าที่ดังก้องในหัวตอนที่เขาทลายกำแพง เขาคิดว่าเขาใช้เสียงของปิศาจในการต่อต้านเสียงนั้น เมื่อคิดรวมกับการที่เงาบนกำแพงได้พูดออกมาแล้ว เขาน่ะเริ่มปะติดปะต่ออะไรเข้ากันได้
เขาส่ายหน้าทันทีและสลัดความคิดพวกนั้นทิ้งก่อนที่จะหันกลับออกไป
“ฮี่ฮี่ เจ้าก็เหมือนข้า เหมือนกัน เหมือนกัน..” – เงาด้านหลังนั้นยังคงหัวเราะออกมา
ฉินมู่ คิ้วขมวดพร้อมกับเดินออกมาจากปราสาท
ลิงยักษ์ลุกขึ้นรีบเดินไปหาเขาและแอบมองเข้าไปในห้อง มันโล่งใจเมื่อเห็นว่าเงานั้นหดกลับเข้าไปในห้องก่อนจะบอกด้วยท่าทีเคร่งขรึม – “เชื่อ ? ผี !”
ฉินมู่ พยักหน้ารู้สึกเหมือนกันลึกๆ – “ดินแดนนี้อันตรายเกินไป ถ้าผู้คนที่จริงใจไม่ทำตัวฉลาด พวกเขาต้องโดนหลอกจนกระทั่งเสียชีวิตของตน”
ลิงปิศาจมองไปที่เขาและทำปากเบี้ยว - “เชื่อ ผี”
หน้าของ ฉินมู่ เริ่มขึ้นสีเล็กน้อยและเถียงออกมา – “ข้าไม่ได้โดนหลอก ข้าแค่คิดในเรื่องเลวร้ายที่สุด ดังนั้นข้าต้องฉลาดเข้าไว้แต่ข้ากลัวว่าข้าไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นาน ด้วยการที่ปราสาทนี้จะถล่ม ข้าไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อมันถล่มลงมาแล้วปิศาจนั่นได้ปลดปล่อยความโกรธใส่เจ้าอย่างแน่นอน”
ลิงส่ายหน้าและมองไปที่เหล่าสัตว์ป่า
มีสถานที่ไม่มากที่ให้พักอาศัยได้ในดินแดนแห่งนี้ มีทั้งที่ที่โดนมนุษย์เอาไปรึโดนสัตว์อสูรเอาไป ถ้าลิงยักษ์พาสัตว์ป่าพวกนี้ย้ายไปที่อื่น มันกลัวว่าพวกนี้จะหาสถานที่ที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้และแน่นอนว่าคงต้องตายเพราะความมืด
ฉินมู่ เองก็ไม่ได้มีแผนรับรองเพราะหมู่บ้านเองก็มีขนาดเล็กเกินไปและไม่สามารถจุสัตว์ได้มากขนาดนี้
“มา เด็กน้อย”
ลิงได้เดินไปข้างหน้าพร้อมกับมี ฉินมู่ ที่ตามมา จากนั้นลิงก็ได้พาเขาไปที่ก้นหน้าผาแล้วชี้ให้เห็นถึงรอยมือที่สลักลึกอยู่ในหน้าผาพร้อมเผยให้เห็นสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
รอยมือนี้คือรอยมือของลิงยักษ์ มือของมันมีขนาดใหญ่อย่างมากและฝังลึกเข้าไปในหน้าผานั้น
รอยมือนี้แสดงให้เห็นว่านี่คืออาณาเขตของมัน เมื่อสัตว์ตัวอื่นเห็นรอยมือนี่ พวกมันจะรู้ว่านี่คืออาณาเขตของลิงยักษ์และต้องถอยกลับไป
“เจ้า ทำซะ” - ลิงได้พูดด้วยความตื่นเต้น
ฉินมู่ งงและไม่เข้าใจในคำพูดของมัน
ลิงปิศาจได้คว้าเอามือของเขาวางไว้ที่ข้างๆรอยมือของมันแล้วบอก – “ทำซะ”
ฉินมู่ เข้าใจสิ่งที่มันพยายามจะบอกและรู้สึกซึ้งขึ้นมา ด้วยการโจมตีอันรุนแรงข้างๆกับรอยมือของลิงยักษ์ก็ได้ทำให้เกิดรอยฝ่ามือของเขาโผล่ขึ้นมาทันที
ลิงยักษ์ยิ้มออกมาและชี้ไปที่หุบเขาพร้อมกับพูดขึ้น – “ของข้า ของเจ้า”
ความรู้สึกอันอบอุ่นปะทุขึ้นมาในใจของเขาแล้วทำให้เขาหัวเราะออกมา ลิงยักษ์เองก็หัวเราะออกมาด้วย
ตอนนั้นก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอยู่บนอากาศ -“ อาจารย์ มีคนอยู่ด้านล่างเรา”
ฉินมู่ เงยหน้าขึ้นไปมองและเห็นเรือกระดาษกำลังบินอยู่ เรือกระดาศนั้นยาวถึง 60-70 ฟุต มีพื้นที่มากมายในเรือและยังมีผู้คนมากมายที่สวมใส่ผ้าคลุมสีเขียวยืนอยู่ด้านใน
หลังจากนั้นเขาก็ได้เห็นของที่แปลกมากกว่าเดิม เขาได้เห็นกลุ่มนกกระเรียนกระดาษกระปือปีกของมันบินมาข้างๆเรือ ยังมีผู้ชายและผู้หญิงแปลกๆยืนอยู่บนนกเหล่านั้นและแต่ละคนนั้นมีดาบอยู่ที่หลัง
ในเรือลำที่สองนั้นมีคนอยู่เพียงแค่คนเดียวและมีของที่ ฉินมู่ มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
เรือนั้นได้หยุดและได้มีผู้อาวุโสที่อยู่ด้านในพูดขึ้นมา – “เฉียนกิว ลงไปถามทาง”
“เข้าใจแล้ว”
ชายหนุ่มบนนกกระเรียนได้มองลงไปข้างล่างและพูดขึ้น – “เด็กน้อย เจ้ารู้เส้นทางไปยังหมู่บ้านคนพิการหรือไม่ ?”
ฉินมู่ อึ้งและชี้ไปยังทิศทางที่หมู่บ้านอยู่
ชายหนุ่มมองไปตามทางและก้มหัวแสดงความขอบคุณ มีเหรียญสีทองหล่นลงมาจากนก พร้อมกับที่นกนั้นได้บินกลับไปหาเรือและบินจากไปพร้อมกัน
ฉินมู่ เก็บเหรียญนั่นขึ้นมา – “ทำไมคนเหล่านี้ถึงต้องการไปที่หมู่บ้านของเราด้วย ? พวกนี้เป็นพ่อค้าที่ผ่านมารึ ? แต่ถ้าพวกเขาเป็นพ่อค้าไม่ใช่ว่าควรจะไปที่เมืองแขตแดนมังกรหรอกรึ ?”