Chapter 22: ความลับของรูปปั้นหิน
ในหุบเขาด้านล่างหน้าผาได้มีเสียงอันดังสนั่นดังก้องออกมาเรื่อยๆทำให้ใบไม้ต่างก็ปลิวว่อนไปทั่ว นกในภูเขาต่างก็กระพือปีกบินหนีไม่กล้าอยู่บริเวณนั้น
ที่หุบเขา ลิงปิศาจได้พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับกอดก้อนหินก้อนใหญ่เอาไว้ฟาดเข้าใส่ ฉินมู่ ที่อยู่กลางอากาศ
ฉินมู่ นั้นหลบมันได้อย่างรวดเร็วและในตอนที่ลิงนั้นเห็นว่าโจมตีพลาด มันก็ได้หยิบก้อนหินอีกก้อนเพื่อหวังที่จะใช้มันโจมตีเข้าอีกครั้งแต่ ฉินมู่ นั้นได้กระโดดไปที่ก้อนหินนั้นแล้วดีดตัวไปที่จมูกมันอีกครั้งพร้อมกับใช้มือฟาดเข้าไปอีกรอบ
ฝ่ามือสายฟ้า 8 ทบ, เก้ามังกรแห่งความวุ่นวาย !
ฝ่ามือนี่มีแรงถึง 9 ชั้น แรงชั้นแรกนั้นระเบิดออกมาจากใจกลางฝ่ามือเหมือนกับแรงคำรามของมังกรที่โกรธเกรี้ยว ทำให้ลิงปิศาจนั้นต้องกระเด็นกลับไป ไหล่และสะโพกของ ฉินมู่ นั้นเคลื่อนที่ไปด้วยกัน เขาใช้แรงเหวี่ยงตัวส่งไปยังฝ่ามือ ในการระเบิดครั้งที่สองนั้นหัวของลิงปิศาจได้อัดเข้ากับพื้นทำให้พื้นดินตรงนั้นแตกกระจาย
กล้ามเนื้อในตัว ฉินมู่ นั้นเหมือนมังกรที่บิดเบี้ยวตัวไปมา แรงระเบิดครั้งที่สามจากท่านี้นั้นได้ทำให้หินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
กล้ามเนื้อของเขาสั่นอย่างรุนแรงและได้มีแรงระเบิดครั้งที่สี่ตามมาทำให้หัวของลิงนั้นฝังลงไปที่พื้น
การระเบิดครั้งที่ห้านั้นทำให้หัวของมันถูกฝังไปที่พื้นทั้งหมด !
การระเบิดครั้งที่หกนั้นเหมือนกับแรงของมังกรหกตัวแต่ในตอนที่ระเบิดครั้งที่สี่ ลิงปิศาจก็ได้ใช้หมัดที่เหมือนกับภูเขาของมันต่อยเข้าที่ด้านข้างอัดเข้าที่ ฉินมู่ จนกระเด็นออกไปอย่างกับแมลงวัน
ฉินมู่ พุ่งชนกับพื้น ลิงปิศาจได้โซเซพยายามดึงหัวมันขึ้นมาก่อนจะสะบัดหน้าเอาเศษหินที่ติดอยู่ตามขนของมันออก
ในอีกด้าน ฉินมู่ ได้ดีดตัวขึ้นมาและพุ่งเข้าหาลิงปิศาจอีกครั้งอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ทั้งกลัวและหงุดหงิด ลิงปิศาจได้คิดสักพักก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหน้าผาแล้วนั่งยองๆพร้อมกับโบกมือ – “เด็กน้อย ไม่”
ด้วยความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ของเขา ฉินมู่ ได้วิ่งไต่หน้าผาขึ้นไปก่อนจะเข้าโจมตีลิงปิศาจต่อ
ลิงปิศาจนั้นคลั่งเต็มที่ มนุษย์และลิงคอยกระโดดไปมาที่หน้าผาในตอนที่สู้กันอย่างชุลมุน
เวลาได้ผ่านไปสักพัก พลังของยาในร่าง ฉินมู่ ได้ถูกใช้หมดแล้ว ลิงปิศาจเองก็หมดแรงซะจนเดินไม่ไหว มนุษย์และลิงต่างก็หอบหายใจนอนอยู่ที่พื้นไม่อาจที่จะขยับได้
ห้านาทีต่อมา ฉินมู่ ก็เริ่มลุกขึ้นนั่งเพื่อทำการปรับลมหายใจ เขาเห็นว่าพลังฉีของเขานั้นได้พัฒนาขึ้นมาในเวลาสั้นๆ พลังฉีภายในของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นและเขาก็รู้สึกถึงมันได้ทุกอณูของร่างกาย
ร่างกายของเขานั้นเต็มไปด้วยคราบสกปรกซึ่งอาจจะเกิดมาจากการสู้กับลิงปิศาจและการที่ยานั้นทำให้ส่วนภายในของเขาแข็งแกร่งขึ้นจนขับสิ่งปนเปื้อนออกมา
ฉินมู่ ลองฟาดมือดูจนทำให้เกิดเสียงแหวกลมราวกับเสียงของธนูที่พุ่งตัดอากาศออกไป
ลิงปิศาจอึ้งและได้ลุกขึ้นนั่งตั้งท่าป้องกันทันที
ฉินมู่ เหยียดตัวไปมาและรู้สึกได้ถึงความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ เขาส่ายหน้า – “ไม่ต้องสู้กันอีกแล้ว”
ลิงปิศาจเข้าใจคำพูดของเขาและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก มันเหยียดแขนของมันอกมาและดึงเอาต้นไม้ขนาดพอๆกับแขนของมันขึ้นมา มันกอบเอาใบไม้ขึ้นมาก่อนจะเคี้ยวมันแล้วเอาต้นไม้นั้นมาวางตรงหน้า ฉินมู่ แล้วพูดด้วยเสียงพึมพำ – “กินซะ เด็กน้อย”
ฉินมู่ เด็ดผลไม้สีแดงออกมาแล้วปลอกเปลือกก่อนที่จะกินมัน รสหวานและความสดชื่นที่ผ่านลำคอของเขาจนไปถึงท้อง
ลิงปิศาจมองมาที่เขาด้วยความไม่พอใจและหงุดหงิดที่เขากินเพียงแค่เล็กน้อย มันตบอกตัวเองและพูดขึ้น – “กิน ! แข็งแรง !”
การต่อสู้กับลิงปิศาจนั้นทำให้หน้าของ ฉินมู่ นั้นเต็มไปด้วยรอยแผล เขาฝืนทนเจ็บและยืนขึ้นพร้อมกับใช้ทักษะฝ่ามือสายฟ้า 8 ทบออกมาก่อนจะตบอกตัวเอง – “ฝึกแล้วแข็งแกร่ง !”
ลิงปิศาจกรอกตาและค่อยๆเคี้ยวใบไม้และตอบกลับด้วยท่าทีเหยียดหยาม – “เชื่อ ผี”
หลังจากที่ ฉินมู่ พักผ่อนเสร็จ เขาก็กระโดดลงจากหน้าผาแล้ววิ่งไปที่กำแพง – “สู้กัน พรุ่งนี้ !”
ลิงปิศาจกระพริบตาปริบๆรอจนกว่า ฉินมู่ จะจากไปไกลก่อนจะยืนขึ้นและทำการเลียนแบบการเคลื่อนที่ของ ฉินมู่ แม้ว่าฝ่ามือสายฟ้า 8 ทบนั้นจะแข็งแกร่งแต่มันยังคงใช้แรงจำนวนมากกว่าฝ่ามือนี้จะทำให้เกิดเสียงของสายลมและสายฟ้าได้
ลิงปิศาจอึ้งและเผยสีหน้าดีใจออกมา มันทำการโจมตีต่อไปเรื่อยๆจนหน้าผานั้นเต็มไปด้วยเสียงของสายลมและเสียงตะโกน – “แข็งแกร่ง ! แข็งแกร่ง ! แข็งแกร่ง !”
ในตอนที่ ฉินมู่ กลับมาที่หมู่บ้าน ปู่หมอก็เข้ามาตรวจอาการเขาด้วยความกังวลและได้ทายาบางอย่างที่หน้าของเขาพร้อมกับถามขึ้นมา- “มีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ ?”
ฉินมู่ พยักหน้าซึ่งทำให้ปู่หมอนั้นกังวลยิ่งกว่าเดิม
“ยาวิญญาณของปู่หมอแน่นอนว่าต้องได้ผล พลังฉีภายในของข้านั้นแข็งแกร่งขึ้นแล้ว” – ฉินมู่ ตอบ
ในที่สุดปู่หมอนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและยิ้มออกมา – “ยาวิญญาณนั้นอันที่จริงส่งผลแค่กับร่างราชันย์ ตราบใดที่เจ้าไม่ตายเพราะกินมัน มันหมายความว่าความคิดข้าถูก ถือหม้อนี่ไว้ก่อน ข้าจะไปจัดเตรียมของอย่างอื่น !” – เขาพูดเสร็จก็รีบออกไปด้วยความตื่นเต้น
ปู่บอดได้เดินเข้ามาหาพร้อมกับไม้เท้าและยิ้มออกมา – “เจ้าเหนื่อยหรือไม่ มู่เอ๋อ ? ถ้าเจ้าเหนื่อย ข้าจะสอนทักษะตาให้เจ้า”
ฉินมู่ กระแอมออกมาและตอบกลับ – “ปู่บอด ข้าอยู่นี่ ทางนั้นมันห้องน้ำ”
ปู่บอดหันกลับมาหาปู่เชือดที่กำลังทำงานอยู่ – “ข้าสงสัยมานานแล้ว เพราะร่างราชันย์ของเจ้านั้นไม่ได้มีคุณสมบัติใดๆ เจ้าไม่สามารถบ่มเพาะโดยใช้ทักษะของข้าได้แต่ทักษะตานั้นไม่จำเป็นต้องใช้พลังฉีที่มีคุณสมบัติแต่อย่างใด ดังนั้นร่างราชันย์เองก็สามารถบ่มเพาะมันได้ มากับข้า ทักษะของข้านั้นเรียกว่าการตื่นของตาสวรรค์ทั้ง 9....”
ฉินมู่ ปวดหัว เขารู้สึกเสมอว่าปู่บอดนั้นเชื่อถือไม่ค่อยได้แต่เขาก็ยังคงเดินตามปู่บอดไปอยู่
เขากระอักกระอ่วนอย่างมากในตอนที่ปู่บอดบอกว่าจะสอนทักษะนี้แต่กลับไม่ได้สอนวิธีใช้ตาของเขา แต่เขากลับพา ฉินมู่ ไปดูและศึกษารูปปั้นทั้งสี่ของหมู่บ้าน
ทั้งสองคนนั่งอยู่หน้ารูปปั้นที่อยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน แม้ว่าปู่บอดนั้นจะไม่มีตาแค่เขาก็มองไปที่รูปปั้นนั่นราวกับว่าเขาเห็นบางอย่าง
ฉินมู่ รู้ว่ารูปปั้นพวกนี้ไม่ได้สูงแต่มันหนักอย่างมาก พวกมันหนักซะจน ฉินมู่ ไม่อาจทำให้มันขยับได้เลยสักนิด
พลังของเขาตอนนี้นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากได้ดื่มเลือดวิญญาณทั้งสี่เข้าไป เมื่อไม่นานมานี้พลังฉีของเขาได้ชำระล้างร่างกายและทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นและแม้ว่าจะแข็งแกร่งขึ้นแล้วแต่เขาก็ยังไม่อาจที่จะทำให้รูปปั้นขยับได้เลยสักนิด
ในตอนที่เขายังเด็ก เขามักจะมาปีนรูปปั้นนี้แต่ ย่าซี และคนที่เหลือมักจะอุ้มเขาลงและบอกเขาว่ามันเป็นการไม่เคารพรูปปั้นพวกนี้ ในตอนปีใหม่และเทศกาลอื่นๆ ย่าซี และคนอื่นๆจะเอาของมาบูชาและยังมีธูปมาไหว้ด้วยเพื่อขอพรให้รูปปั้นนั้นทำให้คนในหมู่บ้านใช้ชีวิตอย่างสงบสุข รูปปั้นทั้งสี่นั้นไม่ได้เป็นลักษณะของมนุษย์ พวกมันแค่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ รูปปั้นทางทิศใต้นั้นมีหัวเป็นนกและทำท่าหมอบอยู่ มือสองข้างจับไปที่เข่า มีปีกสองข้างงอกออกมาจากหลังราวกับเตรียมพร้อมที่จะบิน
รูปปั้นทางทิศเหนือนั้นคือรูปปั้นชายที่มีหลังเป็นเต่า มีแส้หางม้าอยู่ในมือแต่แส้นั้นมีรูปงูสีขาวงอกออกมา งูนั้นรัดไปทั่วตัวของชายหลังเต่า ถ้ามองดูไกลๆจะเข้าใจว่ารูปปั้นนี้มีหัวเป็นงู
ที่ด้านทิศตะวันตก มีรูปปั้นผู้หญิงที่สวมมงกุฎแต่มีขาเป็นเสือทั้งสี่ข้าง
รูปปั้นนี้แปลกอย่ามาก ตรงหว่างคิ้วนั้นตาข้างหนึ่งยังคงอยู่ดีแต่อีกข้างกลับมีรังนกสลักไว้อยู่ด้านในตาที่ซึ่งข้างในเองก็มีนกอยู่สามตัว
ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือรูปปั้นทางทิศตะวันออกซึ่งมีหัวเป็นมันกร ตัวของรูปปั้นนี้มีตะกร้าสมุนไพรที่มีสมุนไพรอยู่ข้างในนั้นด้วย
ปู่บอดบอกให้เขาดูรูปปั้นให้ดีๆแต่ ฉินมู่ นั้นเคยเห็นรูปปั้นนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้วและยังเคยปีนรูปปั้นนี้มาแล้วด้วย เขาไม่รู้จริงๆว่าเขาต้องมามองรูปปั้นนี้ไปเพื่ออะไร
“มู่เอ๋อ เจ้ายกรูปปั้นนี้ได้หรือไม่ ?” – ปู่บอดถามในตอนที่เห็นว่า ฉินมู่ เหม่อ
“ข้าทำไม่ได้”
ฉินมู่ ส่ายหน้า รูปปั้นนี้มันหนักเกินไป หนักซะจนไม่คิดว่าทำขึ้นมาจากหิน หินที่มีความสูงเท่าๆคนนั้นหนักอย่างมากก็แค่ไม่กี่พันกิโลกรัมและด้วยแรงของ ฉินมู่ ตอนนี้ มันง่ายอย่างมากแต่เขากลับทำให้มันขยับไม่ได้เลยสักนิด
ปู่บอดพูดเรื่องที่น่าสนใจต่อ – “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมรูปปั้นเหล่านี้ถึงได้หนักนัก ?”
ฉินมู่ ส่ายหน้าอีกครั้ง – “ข้าไม่รู้”
“จริงๆแล้วรูปปั้นนี้ไม่ได้หนักเลยสักนิด”
สีหน้าของปู่บอดยังคงดูสงบอยู่ – “สิ่งที่หนักนั้นไม่ใช่หินแต่เป็นสิ่งที่แกะสลักออกมามากกว่า”
ฉินมู่ งง ไม่ใช่ว่านี่ก็ยังคงเป็นหินหรอกเหรอแม้ว่าจะแกะสลักแล้วก็เถอะ ?
ปู่บอดพูดต่อ – “ยกตัวอย่างตอนที่เจ้าเรียนรู้เรื่องเขียนหนังสือและวาดรูปจากปู่หนวก การวาดรูปและเขียนของเจ้านั้นมีแต่ของไร้สาระแต่การวาดของปู่หนวกนั้นแม้แต่มีเงินเป็นจำนวนมากก็ซื้อไม่ได้ ! ทั้งสองอย่างนั้นวาดในกระดาษด้วยหมึกแต่เหตุใดภาพวาดของปู่หนวกจึงได้มีค่ามากกว่า ?”
ฉินมู่ เข้าใจที่ปู่บอดสื่อได้ครึ่งหนึ่งแต่ภาพวาดของปู่หนวกนั้นดีกว่าเขาจริงๆ
ปู่บอดยกไม้เท้าขึ้นมาและชี้ไป – “ถ้ารูปปั้นพวกนี้ถูกแกะสลักขึ้นโดยคนธรรมดา มันคงไม่หนักเลยสักนิดแต่เพราะคนที่แกะสลักมันขึ้นมานั้นมีภูมิหลังที่พิเศษและเนื้อหาภายในการแกะสลักนั้นยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ น้ำหนักของหินนี้จึงวัดไม่ได้ด้วยการวัดธรรมดา การแบกรูปปั้นนี้มันจะเท่ากับ...”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมก่อนจะพูดต่อ – “เท่ากับการแบกเทพไว้กับตัว !”