Chapter 2: เลือดวิญญาณของสัตว์ทั้งสี่
ท่านย่าซี ยิ้มออกมาพร้อมกับดึง ฉินมู่ เข้ามาในหมู่บ้าน – “หยุดมองไปด้านนอกได้แล้ว มานี่ เร็วเข้า ! ผู้ใหญ่บ้าน, เฒ่าหม่า , ทุกคน มานี่ !”
กองไฟถูกจุดขึ้นมาทันทีและได้มีคนแบกผู้ใหญ่บ้านเข้า เขาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด – “เจอวิญญาณทั้งสี่แล้วรึยัง ?”
“เจอแล้ว”
เฒ่าหม่า ชายแขนเดียวได้ลากงูสีเขียวมรกตที่ยาวหลายสิบเมตรออกมา งูนั้นกำลังเลือดไหลแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อโดน เฒ่าหม่า คว้าเอาไว้แค่เสี้ยววินาทีมันก็ขยับไม่ได้
ในเวลาเดียวกันช่างตีเหล็กที่เป็นใบ้ก็เดินออกมาพร้อมกับนกตัวใหญ่ที่ซึ่งใหญ่กว่าตัวเขาเล็กน้อย ปีกและขาทั้งสองของนกนั้นถูกมัดเอาไว้และเมื่อไหร่ที่มันดิ้นจะเกิดรอยประกายไฟขึ้นมาที่ขนของมัน มันส่งเสียงดังน่ารำคาญตอนมันดิ้นซึ่งดูน่ากลัวอย่างมาก
ชายตาบอดแบกเต่ายักษ์ที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าโต๊ะมา คงมีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเต่านี่มีชีวิตมานานแค่ไหน สำหรับกระดองของมันแล้วได้เปลี่ยนเป็นสีทองตามอายุที่มันอยู่มา ขาทั้งสี่ด้านของมันซ่อนอยู่ด้านในกระดอง จะมีกงเล็บยื่นออกมาเรื่อยๆและเมื่อไหร่ก็ตามที่มันทำ ฉินมู่ จะเห็นไอน้ำพุ่งออกมาจากล่างตัวของมัน ไอน้ำนี้ดูเหมือนจะแรงพอที่จะทำให้มันลอยตัวและหนีไปได้
เหตุผลเดียวที่เต่านี่ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะชายตาบอดนั้นเอาตะขอเกี่ยวจมูกมันไว้อยู่
“มังกรเขียว, พยัคฆ์ขาว, วิหคสีชาดและเต่าทมิฬ แม้ว่าพวกเราจะหาเลือดของวิญญาณทั้งสี่ไม่ได้แต่เราก็ใช้ได้เลือดของมังกรอสรพิษเขียว, เสือกระดูกเหล็ก, นกสายฟ้าและเต่าทองคำมาแทนได้ พวกมันคงพอทดแทนได้แน่”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าให้คนฆ่าสัตว์ คนฆ่าสัตว์ยิ้มและใช้มือและแขนของตัวเองเอื้อมไปด้านหน้า เขาคือคนที่มีแค่ร่างกายส่วนบนเท่านั้น ส่วนด้านล่างของเขาได้โดนสับออกไปไม่มีเหลือ
มีถังวางไว้ที่หน้าสัตว์ทั้งสี่ตัว เขาจัดการเชือดพวกมันทีละตัวๆ คนฆ่าสัตว์ปล่อยให้เลือดของสัตว์พวกนั้นไหลออกมาและไม่นานเลือดสดๆของสัตว์พวกนั้นก็ไหลออกมาจนหมดตัว
“หมอ” – หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนขึ้น
หมอของหมู่บ้านก้าวออกมา เขาไม่มีหน้า จมูก,ผิวบนหน้าและปากครึ่งหนึ่งดูเหมือนจะโดนคนตัดออกไป เขาคือคนที่น่าเกลียดและน่ากลัวที่สุดในหมู่บ้านแต่ ฉินมู่ รู้สึกว่าปู่หมอนี้ใจดีที่สุด
หมอก้าวออกมและหยิบใบไม้สีแดงสี่ใบออกมา บนใบไม้แต่ละใบนั้นมีไข่แมลงสีขาวอยู่ข้างบน หมอหยิบมันลงใส่ถังแต่ละใบ ในเวลาแค่หนึ่งวินาทีก็ได้มีตัวอ่อนฟักออกมาจากไข่พวกนั้น มันไต่มาพักอยู่บนใบไม้และดื่มเลือดในถัง
ยิ่งมันกินเลือดมากเท่าไหร่ยิ่งตัวโตมากเท่านั้น เลือดในถังทั้งสี่หายไปอย่างรวดเร็วเหลือทิ้งไว้แค่หนอนตัวอ้วนอยู่ในถัง
หมอหยิบเอาโฟมคริสตัลที่รวมตัวกันเป็นก้อนเกลือใส่ลงไปในถังและ ฉินมู่ ก็เห็นหนอนทั้งสี่นั้นหดตัวไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาต้องเดาะลิ้นด้วยความแปลกใจ
ต่อมาหมอได้หยิบหนอนทั้งสี่ขึ้นมา หนอนแต่ละตัวนั้นมีขนาดแค่ประมาณฝ่ามือคน เขาหยิบเอาแก้วสีขาวออกมาจากนั้นจึง บีบหนอนพวกนั้นดูอย่างแรงจนทำให้มันกรีดร้องออกมา เลือดสีเหลืองใสราวกับคริสตัลไหลออกมาจากปากของมันเติมไปที่แก้วพวกนั้น
เขาทำแบบเดิมกับหนอนอีกสามตัว หมอนั้นได้บีบเอาเลือดจากท้องหนอนแต่ละตัว จากนั้นจึงเอาหนอนทั้งสี่วางไว้ตรงหน้า ฉินมู่ พร้อมกับส่ายหน้า – “มีเพียงเลือดวิญญาณที่มากขนาดนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำการชำระล้างได้ พวกมันไม่ใช่สัตว์อสูรวิญญาณที่แท้จริงอยู่แล้ว”
“มู่เอ๋อ มีคลังสมบัติอยู่ 7 อันในร่างกายมนุษย์ แก่นวิญญาณ, ธาตุทั้งห้า, ทิศทางทั้งหก, ดวงดาวทั้งเจ็ด , นภาสวรรค์, ชีวิตและความตาย, และบันไดสู่สวรรค์ เจ็ดคลังสมบัตินี้ถูกปิดผนึกไว้แน่นหนาเหมือนกับสมบัติที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างดี ดังนั้นแล้วพวกมันหมายถึงสมบัติระดับสวรรค์ทั้งเจ็ด”
“สมบัติระดับสวรรค์ทั้งเจ็ดปกติจะถูกปิดผนึกไว้และจำเป็นต้องให้นักรบนั้นปลดมันด้วยตัวเอง” – หัวหน้าหมู่บ้านพูดขึ้นมา ออร่าของเขานั้นแผ่ออกมาราวกับแสงจากกองไฟที่เต้นมาตรงหน้าของเขา – “กำแพงคือสิ่งที่ขวางกั้นนักรบที่พยายามปลุกสมบัติเหล่านั้น นี่คือหนึ่งในสมบัติเหล่านั้น กำแพงแก่นวิญญาณ, กำแพงธาตุทั้งห้า, กำแพงทิศทางทั้งหก, กำแพงดวงดาวทั้งเจ็ด, กำแพงนภาสวรรค์, กำแพงแห่งชีวิตและความตาย,และกำแพงของบันไดสวรรค์ การฝ่ากำแพงพวกนี้ไปนั้นเรียกว่าการทลายกำแพง”
ปู่หม่า ลูบหัว ฉินมู่ ด้วยความเอ็นดูและยิ้มออกมา – “มันเป็นไปไม่ได้ที่คนจะบ่มเพราะได้ถ้ากำแพงพวกนั้นทำลายไม่ได้ บางคนน่ะได้รับการอวยพรจากสวรรค์ ในตอนที่คนแบบนั้นเกิดมากำแพงแก่นวิญญาณของพวกเขาจะพังทลายไปแล้วและทำการปลดผนึกสมบัติแก่นวิญญาณสวรรค์ไปด้วย ภาวะที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่าร่างวิญญาณซึ่งเป็นของขวัญที่สวรรค์มอบให้โดยมันเหมาะกับการบ่มเพาะที่สุด คนที่มีร่างวิญญาณนั้นจะมีพรสวรรค์เหนือกว่าคนธรรมดาทำให้พวกเขาบ่มเพาะได้เร็วกว่าคนอื่นสองเท่า”
“มีสี่ธาตุสำหรับแก่นวิญญาณซึ่งหมายถึงร่างวิญญาณเองก็มีสี่แบบ : ร่างวิญญาณมังกรเขียว, ร่างวิญญาณพยัคฆ์ขาว, ร่างวิญญาณวิหคสีชาด, และร่างวิญญาณเต่าทมิฬ เลือดของสัตว์วิญญาณทั้งสี่นี้จำเป็นในการใช้เพื่อตรวจสอบว่าคนๆนั้นมีร่างวิญญาณแบบไหน”
“ถ้าเจ้ามีร่างวิญญาณมังกรเขียว เจ้าก็จะปลุกพลังฉีของมังกรเขียวได้ขึ้นจากการดื่มเลือดวิญญาณของมังกรเขียวเข้าไปเหมือนกับ เฒ่าหม่า” - หมอพูด
ชายแขนเดียว เฒ่าหม่า ถอดเสื้อออกและไปยืนอยู่ต่อหน้า ฉินมู่ เขาหันหลังให้เด็กน้อยก่อนที่จะตะโกนออกมาดังๆ
ฉินมู่ เห็นพลังฉีสีเขียวปะทุกออกมาจากหลังของเฒ่าหม่า จากกระดูกสันหลังจนไปถึงด้านหลังหัวนั้นมีพลังฉีสีเขียวค่อยก่อตัวกันขึ้นมาเป็นมังกร มันมีทั้งเกร็ดและเคราอีกทั้งผมของมังกรโผล่ออกมา กงเล็บมังกรนั้นงอกออกมาจากแขนข้างเดียวของเขา ในขณะที่มีกงเล็บอีกสองข้างโผล่มารอบขาของเขา
“นี่คือร่างวิญญาณมังกรเขียว” - เฒ่าหม่า ใส่เสื้อกลับคืน – “ยัยแก่ซี นั้นมีร่างวิญญาณพยัคฆ์ขาว”
ท่านย่าซี กรอกตาและพูดขึ้น – “ข้าไม่ถอดเสื้อผ้าให้พวกเฒ่าดูข้าหรอก ข้าจะแสดงให้ ฉินมู่ เห็นเป็นรูปร่างพลังฉีแทน”
ร่างของ ท่านย่าซี เริ่มสั่นขึ้นเบาๆพร้อมกับมีเสือขาวรูปร่างโหดร้ายโผล่ออกมาด้านหลังของเธอ มันคำรามออกมาเสียงดังสนั่น
“ทุกคนในหมู่บ้านนั้นมีร่างวิญญาณ เมื่อก่อนเรานั้นโด่งดังแต่ตอนนี้เราก็แค่พวกผู้เฒ่าและคนพิการเท่านั้น”
ท่านย่าซี ยิ้มออกมา – “ ไม่มีอะไรที่เรากลุ่มผู้เฒ่าจะให้เจ้าได้ แก้วเลือดพวกนี้มาจากวิญญาณที่แตกต่างกันซึ่งเป็นกุญแจในการปลุกร่างวิญญาณ มันก็เหมือนกับร่างมังกรเขียว ถ้าเจ้ามีร่างมังกรขาว เจ้าก็ดื่มเลือดของพยัคฆ์ขาวเพื่อปลุกพลังฉีของพยัคฆ์ขาวภายในแก่นวิญญาณของเจ้า ถ้าเจ้ามีร่างวิญญาณวิหคสีชาด เจ้าก็ดื่มเลือดของวิหคสีชาดเพื่อปลุกพลังฉีของวิหคสีชาดภายในแก่นวิญญาณของเจ้าและร่างวิญญาณเต่าเองก็เช่นกัน
“เอาล่ะดื่มซะ”
ผู้ใหญ่บ้าน, ท่านย่าซี,และทุกคนต่างก็มองมาที่ ฉินมู่ พร้อมกับเผยสีหน้าคาดหวังออกมา
หัวใจของ ฉินมู่ เต้นรัว แม้ว่าเขาจะดื่มเครื่องดื่มแปลกๆไปนับไม่ถ้วนอีกทั้งยังเรียนรู้วิธีจำแนกสมุนไพรจากหมอแต่มันก็ยังไม่เคยแปลกขนาดนี้มาก่อน
ฉินมู่ ยกแก้วหนึ่งขึ้นมา เพราะแก้วที่ถืออยู่นั้นเป็นเลือดวิญญาณของวิหคสีชาดทำให้ของเหลวด้านในนั้นร้อน เขาดื่มมันเข้าไปรวดเดียวและรู้สึกได้ว่าความร้อนเริ่มแผ่ซ่านจากลำคอไปถึงแขนและขาของเขา จากนั้นจึงไปที่กระดูกของเขา เขารู้สึกเหมือนมีไฟปะทุขึ้นในตัวราวกับเลือดเขากำลังเดือด
หลังจากนั้นสักพักการเผาไหม้ก็ได้หายไป
“ไอ้ใบ้ เขามีร่างวิญญาณวิหคสีชาดหรือไม่ ?” – ผู้ใหญ่บ้านถามออกมา
ช่างตีเหล็กใบ้ส่ายหน้า
“เอาต่อ ฉินมู่” – ผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้น
ฉินมู่ จับแก้วที่สองที่เป็นเลือดวิญญาณของพยัคฆ์ขาวขึ้นมาดื่ม มันรู้สึกเหมือนกับกินน้ำเหล็กที่มีสนิม,รสชาติอย่างกับทองแดงและมีกลิ่นแปลกๆในปาก เขารู้สึกเหมือนข้างในโดนกัดกร่อนแต่ไม่นานอาการเหล่านั้นจะหายไป
“เขาไม่ได้มีร่างวิญญาณพยัคฆ์ขาว” - ท่านย่าซี ส่ายหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
“ฉินมู่ แก้วที่สาม” – ผู้ใหญ่บ้านพูดด้วยท่าทีจริงจัง
ฉินมู่ ดื่มแก้ที่สามที่มีเลือดวิญญาณของมังกรเขียวเข้าไป แก้วนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเลือดในกล้ามเนื้อของเขาเริ่มกระเพื่อม อีกทั้งเขายังรู้สึกอึดอัดในอวัยวะภายในของตัวเองแต่ความรู้สึกนี้ไม่นานก็หายเช่นกัน
เฒ่าหม่า ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง – “เขาไม่ได้มีร่างวิญญาณมังกรเขียว”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาคงมีร่างวิญญาณเต่าดำ” – หมอเผยรอยยิ้มที่ยากจะเห็นได้ออกมาซึ่งดูชั่วร้ายกว่าปกติ
ฉินมู่ ดื่มเลือดแก้วสุดท้ายเข้าไป ร่างกายของเขาเบาขึ้นราวกับขนนกในตอนที่เขาดื่มมัน มันรู้สึกราวเขาจมอยู่ในน้ำแต่ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ความรู้สึกมันคงอยู่แค่ไม่นาน
“เขาไม่ได้มีร่างวิญญาณเต่าดำ” - หมอส่ายหน้า
ชาวบ้านที่อยู่รอบๆกองไฟนั้นเงียบลง ตอนนั้นเองคนฆ่าสัตว์ก็ได้พูดขึ้นมา – “ถ้าอย่างนั้นเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา”
ท่านย่าซี ร้องออกมาทันทีและพยายามมที่จะพูด – “เราทุกผู้เฒ่าและพิการ ฉินมู่ คงมีชีวิตต่อไปไม่ได้แน่ถ้าเราตายไปแล้ว ที่นี่มันอันตรายมาก เขาคงรอดได้ไม่ถึงวัน ..”
ฉินมู่ จับมือ ท่านย่าซี และพูดขึ้นอย่างสุภาพ – “อย่าร้องเลยย่า ท่าและปู่ๆย่าๆทุกคนน่ะคือคนดี ไม่มีใครตายหรอก....”
“คนดีงั้นหรือ ? ฮี่ฮี่..” - เฒ่าหม่า หัวเราะกับตัวเอง – “เราน่ะต้องถูกบังคับให้มาอยู่ในดินแดนหายนะแห่งนี้พยายามดื้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด ดินแดนแห่งนี้มันอันตรายเกินไป แน่นอนว่า มู่เอ๋อ คงยากที่จะรอดไปได้ถ้าไม่มีเรา เราควรส่งเขาออกจากดินแดนนี้ให้เร็วที่สุดมันคงจะปลอดภัยกว่า....”
“เขาจะโดนพบเจอและโดนฆ่าถ้าเราส่งตัวเขาออกไป เพราะเขานั้นถือว่าเป็นพวกเดียวกับเราแล้ว เขาจะตายด้วยเช่นกัน” - คนฆ่าสัตว์ พูดขึ้นอย่างเย็นชา
หมู่บ้านคนพิการเริ่มกลับมาเงียบกันอีกครั้ง
ทันใดนั้นผู้ใหญ่บ้านก็พูดขึ้น –“ ดี”
ท่านย่าซี งุนงงและถามขึ้นมา – “มีอะไรดีงั้นรึ ?”
หัวหน้าหมู่บ้านยิ้ม – “ข้าหมายถึงส่วนบ่มเพาะของเขามันดี --- ไม่สิมันยอดเยี่ยมต่างหาก”
คนฆ่าสัตว์,หมอและคนที่เหลือในหมู่บ้านต่างก็มองหน้าเขาด้วยท่าทีงงไม่เข้าใจว่าทำไมส่วนบ่มเพาะของ ฉินมู่ ถึงดีได้ หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มและอธิบาย – “ข้าเดาว่า มู่เอ๋อ นั้นมีส่วนบ่มเพาะแบบอื่น ต้องมีความแข็งแกร่งจากการบ่มเพาะทั้งสี่รวมกัน --- ร่างราชันย์ !”
“ร่างราชันย์งั้นรึ ?” – ท่านย่าซี และคนที่เหลือต่างก็ตกใจ ทุกคนนั้นเป็นคนที่มีประสบการณ์,ความรู้แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
“ใช่ ร่างราชันย์”
ผู้ใหญ่บ้านยิ้ม – “มันยากที่เลือดวิญญาณธรรมดานั้นจะปลุกร่างราชันย์ขึ้นมาได้ เลือดจากสัตว์อสูรทั้งสี่ที่ยิ่งใหญ่ต้องถูกรวบรวมมาเพื่อให้ร่างราชันย์เผยตัวออกมา ไม่มีอสูรวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่อยู่ในดินแดนหายนะแห่งนี้แล้ว แต่มันไม่น่ายากเกินไปที่จะหาลูกหลานของมัน คอยจับพวกสัตว์อสูรไปเรื่อยๆและกลั่นเลือดมันออกมา เมื่อ ฉินมู่ ดื่มเลือดพวกนั้นเข้าไปมากพอ ร่างราชันย์ของเขานั้นจะตื่นขึ้นมาเอง”
ทุกคนนั้นเชื่อในตัวผู้ใหญ่บ้า ดังนั้นจึงดีใจเมื่อได้ยินแบบนั้น –“พรุ่งนี้ข้าจะไปกับไอ้ด้วนเพื่อจับเสือ ! รีบนอนซะ มู่เอ๋อ ข้าจะเอาเลือดมาให้เจ้ากินอีกในวันพรุ่งนี้ !”
เมื่อทุกคนแยกย้ายกันแล้ว หมอและปู่ใบ้ก็ได้พาผู้ใหญ่บ้านกลับไปที่ห้อง หลังจากที่ปู่ใบ้กลับไปแล้ว หมอที่ยังอยู่ในห้องอยู่นั้นก็พูดขึ้นเบาๆ – “ร่างราชันย์นั้นไม่ได้มีอยู่จริง”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า – “ข้าพูดโดยไม่คิดแต่ถ้าข้าไม่พูดอะไรออกไปมันคงยากที่ทุกคนจะมีชีวิตอยู่ต่อได้”
หมอไม่รู้จะตอบกลับยังไง ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็มีประวัติศาสตร์ของตัวเองแต่พวกเขาถูกบังคับให้มาอยู่ที่นี่เพื่อให้อยู่รอดไปได้ ความเศร้าที่ทุกคนมีนั้นได้เป็นภาระอันหนักหน่วง ฉินมู่ นั้นเป็นเหตุผลที่ทำไมทุกคนถึงมีชีวิตต่อมาได้ถึงขนาดนี้
ปรากฏว่าเด็กสุขภาพดีคนหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงความเศร้าที่ทุกคนมีไป เพราะพวกเขาเลี้ยงดู ฉินมู่ มา พวกเขาจึงถือว่าเด็กน้อยนี่คือลูกหลานที่ล้ำค่าที่สุดในครอบครัวของพวกเขา ฉินมู่ นั้นคือผู้ที่รวมจิตใจของทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียวได้
ถ้าชาวบ้านรู้ว่า ฉินมู่ นั้นเป็นแค่เด็กน้อยธรรมดาและไม่สามารถอยู่รอดจากดินแดนหายนะแห่งนี้ได้ด้วยตัวเอง ทุกคนคงควบคุมตัวเองและคิดอะไรไม่ออกเป็นแน่
หมอไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร – “ท่านปิดความจริงจากคนอื่นไปตลอดไม่ได้หรอก ทุกคนจะต้องตายและทิ้ง ฉินมู่ เอาไว้”
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่บอกเขาว่าร่างราชันย์นั้นไม่มีจริง เก็บความลับนี้ไว้กับเราไปตลอดกาล” – ผู้ใหญ่บ้านพูดด้วยท่าทีจริงจัง – “ให้เขาเชื่อว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีร่างราชันย์ !”
หมออึ้งพร้อมกับมองดูหน้าผู้ใหญ่บ้าน ด้วยแสงที่มาจากตะเกียง หน้าของผู้ใหญ่บ้านดูเหมือนจะบิดเบี้ยวเล็กน้อยในตอนที่ยิ้ม – “ข้าอยากเห็นว่าถ้าคนธรรมดาที่มีความเชื่อมันที่หาใครเทียบไม่ได้นั้นจะทำสิ่งที่แม้แต่เราคนที่มีร่างวิญญาณยังทำไม่ได้ !”
หมอมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า – “ร่างมนุษย์....สู่ร่างราชันย์งั้นหรือ ?”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า – “ตราบใดที่มีความเชื่อ ร่างมนุษย์นั้นก็จะเปลี่ยนเป็นร่างราชันย์ได้ !”