ตอนที่แล้วChapter 1: อย่าออกไปข้างนอกในตอนที่มืด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 3: ทักษะสวรรค์

Chapter 2: เลือดวิญญาณของสัตว์ทั้งสี่


ท่านย่าซี ยิ้มออกมาพร้อมกับดึง ฉินมู่ เข้ามาในหมู่บ้าน – “หยุดมองไปด้านนอกได้แล้ว มานี่ เร็วเข้า ! ผู้ใหญ่บ้าน, เฒ่าหม่า , ทุกคน มานี่ !”

กองไฟถูกจุดขึ้นมาทันทีและได้มีคนแบกผู้ใหญ่บ้านเข้า  เขาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด – “เจอวิญญาณทั้งสี่แล้วรึยัง ?”

“เจอแล้ว”

เฒ่าหม่า ชายแขนเดียวได้ลากงูสีเขียวมรกตที่ยาวหลายสิบเมตรออกมา  งูนั้นกำลังเลือดไหลแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อโดน เฒ่าหม่า คว้าเอาไว้แค่เสี้ยววินาทีมันก็ขยับไม่ได้

ในเวลาเดียวกันช่างตีเหล็กที่เป็นใบ้ก็เดินออกมาพร้อมกับนกตัวใหญ่ที่ซึ่งใหญ่กว่าตัวเขาเล็กน้อย ปีกและขาทั้งสองของนกนั้นถูกมัดเอาไว้และเมื่อไหร่ที่มันดิ้นจะเกิดรอยประกายไฟขึ้นมาที่ขนของมัน มันส่งเสียงดังน่ารำคาญตอนมันดิ้นซึ่งดูน่ากลัวอย่างมาก

ชายตาบอดแบกเต่ายักษ์ที่ตัวใหญ่ยิ่งกว่าโต๊ะมา  คงมีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเต่านี่มีชีวิตมานานแค่ไหน สำหรับกระดองของมันแล้วได้เปลี่ยนเป็นสีทองตามอายุที่มันอยู่มา  ขาทั้งสี่ด้านของมันซ่อนอยู่ด้านในกระดอง จะมีกงเล็บยื่นออกมาเรื่อยๆและเมื่อไหร่ก็ตามที่มันทำ ฉินมู่ จะเห็นไอน้ำพุ่งออกมาจากล่างตัวของมัน  ไอน้ำนี้ดูเหมือนจะแรงพอที่จะทำให้มันลอยตัวและหนีไปได้

เหตุผลเดียวที่เต่านี่ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะชายตาบอดนั้นเอาตะขอเกี่ยวจมูกมันไว้อยู่

“มังกรเขียว, พยัคฆ์ขาว, วิหคสีชาดและเต่าทมิฬ  แม้ว่าพวกเราจะหาเลือดของวิญญาณทั้งสี่ไม่ได้แต่เราก็ใช้ได้เลือดของมังกรอสรพิษเขียว, เสือกระดูกเหล็ก, นกสายฟ้าและเต่าทองคำมาแทนได้  พวกมันคงพอทดแทนได้แน่”

ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าให้คนฆ่าสัตว์  คนฆ่าสัตว์ยิ้มและใช้มือและแขนของตัวเองเอื้อมไปด้านหน้า  เขาคือคนที่มีแค่ร่างกายส่วนบนเท่านั้น ส่วนด้านล่างของเขาได้โดนสับออกไปไม่มีเหลือ

มีถังวางไว้ที่หน้าสัตว์ทั้งสี่ตัว เขาจัดการเชือดพวกมันทีละตัวๆ  คนฆ่าสัตว์ปล่อยให้เลือดของสัตว์พวกนั้นไหลออกมาและไม่นานเลือดสดๆของสัตว์พวกนั้นก็ไหลออกมาจนหมดตัว

“หมอ” – หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนขึ้น

หมอของหมู่บ้านก้าวออกมา  เขาไม่มีหน้า  จมูก,ผิวบนหน้าและปากครึ่งหนึ่งดูเหมือนจะโดนคนตัดออกไป เขาคือคนที่น่าเกลียดและน่ากลัวที่สุดในหมู่บ้านแต่ ฉินมู่ รู้สึกว่าปู่หมอนี้ใจดีที่สุด

หมอก้าวออกมและหยิบใบไม้สีแดงสี่ใบออกมา บนใบไม้แต่ละใบนั้นมีไข่แมลงสีขาวอยู่ข้างบน  หมอหยิบมันลงใส่ถังแต่ละใบ ในเวลาแค่หนึ่งวินาทีก็ได้มีตัวอ่อนฟักออกมาจากไข่พวกนั้น มันไต่มาพักอยู่บนใบไม้และดื่มเลือดในถัง

ยิ่งมันกินเลือดมากเท่าไหร่ยิ่งตัวโตมากเท่านั้น  เลือดในถังทั้งสี่หายไปอย่างรวดเร็วเหลือทิ้งไว้แค่หนอนตัวอ้วนอยู่ในถัง

หมอหยิบเอาโฟมคริสตัลที่รวมตัวกันเป็นก้อนเกลือใส่ลงไปในถังและ ฉินมู่ ก็เห็นหนอนทั้งสี่นั้นหดตัวไปอย่างรวดเร็ว  สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาต้องเดาะลิ้นด้วยความแปลกใจ

ต่อมาหมอได้หยิบหนอนทั้งสี่ขึ้นมา หนอนแต่ละตัวนั้นมีขนาดแค่ประมาณฝ่ามือคน  เขาหยิบเอาแก้วสีขาวออกมาจากนั้นจึง  บีบหนอนพวกนั้นดูอย่างแรงจนทำให้มันกรีดร้องออกมา  เลือดสีเหลืองใสราวกับคริสตัลไหลออกมาจากปากของมันเติมไปที่แก้วพวกนั้น

เขาทำแบบเดิมกับหนอนอีกสามตัว หมอนั้นได้บีบเอาเลือดจากท้องหนอนแต่ละตัว จากนั้นจึงเอาหนอนทั้งสี่วางไว้ตรงหน้า ฉินมู่ พร้อมกับส่ายหน้า – “มีเพียงเลือดวิญญาณที่มากขนาดนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำการชำระล้างได้ พวกมันไม่ใช่สัตว์อสูรวิญญาณที่แท้จริงอยู่แล้ว”

“มู่เอ๋อ มีคลังสมบัติอยู่ 7 อันในร่างกายมนุษย์ แก่นวิญญาณ, ธาตุทั้งห้า, ทิศทางทั้งหก, ดวงดาวทั้งเจ็ด , นภาสวรรค์, ชีวิตและความตาย, และบันไดสู่สวรรค์   เจ็ดคลังสมบัตินี้ถูกปิดผนึกไว้แน่นหนาเหมือนกับสมบัติที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างดี ดังนั้นแล้วพวกมันหมายถึงสมบัติระดับสวรรค์ทั้งเจ็ด”

“สมบัติระดับสวรรค์ทั้งเจ็ดปกติจะถูกปิดผนึกไว้และจำเป็นต้องให้นักรบนั้นปลดมันด้วยตัวเอง” – หัวหน้าหมู่บ้านพูดขึ้นมา  ออร่าของเขานั้นแผ่ออกมาราวกับแสงจากกองไฟที่เต้นมาตรงหน้าของเขา – “กำแพงคือสิ่งที่ขวางกั้นนักรบที่พยายามปลุกสมบัติเหล่านั้น  นี่คือหนึ่งในสมบัติเหล่านั้น  กำแพงแก่นวิญญาณ, กำแพงธาตุทั้งห้า, กำแพงทิศทางทั้งหก, กำแพงดวงดาวทั้งเจ็ด, กำแพงนภาสวรรค์, กำแพงแห่งชีวิตและความตาย,และกำแพงของบันไดสวรรค์  การฝ่ากำแพงพวกนี้ไปนั้นเรียกว่าการทลายกำแพง”

ปู่หม่า ลูบหัว ฉินมู่ ด้วยความเอ็นดูและยิ้มออกมา – “มันเป็นไปไม่ได้ที่คนจะบ่มเพราะได้ถ้ากำแพงพวกนั้นทำลายไม่ได้  บางคนน่ะได้รับการอวยพรจากสวรรค์  ในตอนที่คนแบบนั้นเกิดมากำแพงแก่นวิญญาณของพวกเขาจะพังทลายไปแล้วและทำการปลดผนึกสมบัติแก่นวิญญาณสวรรค์ไปด้วย  ภาวะที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่าร่างวิญญาณซึ่งเป็นของขวัญที่สวรรค์มอบให้โดยมันเหมาะกับการบ่มเพาะที่สุด  คนที่มีร่างวิญญาณนั้นจะมีพรสวรรค์เหนือกว่าคนธรรมดาทำให้พวกเขาบ่มเพาะได้เร็วกว่าคนอื่นสองเท่า”

“มีสี่ธาตุสำหรับแก่นวิญญาณซึ่งหมายถึงร่างวิญญาณเองก็มีสี่แบบ : ร่างวิญญาณมังกรเขียว, ร่างวิญญาณพยัคฆ์ขาว, ร่างวิญญาณวิหคสีชาด, และร่างวิญญาณเต่าทมิฬ  เลือดของสัตว์วิญญาณทั้งสี่นี้จำเป็นในการใช้เพื่อตรวจสอบว่าคนๆนั้นมีร่างวิญญาณแบบไหน”

“ถ้าเจ้ามีร่างวิญญาณมังกรเขียว เจ้าก็จะปลุกพลังฉีของมังกรเขียวได้ขึ้นจากการดื่มเลือดวิญญาณของมังกรเขียวเข้าไปเหมือนกับ เฒ่าหม่า” - หมอพูด

ชายแขนเดียว เฒ่าหม่า ถอดเสื้อออกและไปยืนอยู่ต่อหน้า ฉินมู่  เขาหันหลังให้เด็กน้อยก่อนที่จะตะโกนออกมาดังๆ

ฉินมู่ เห็นพลังฉีสีเขียวปะทุกออกมาจากหลังของเฒ่าหม่า  จากกระดูกสันหลังจนไปถึงด้านหลังหัวนั้นมีพลังฉีสีเขียวค่อยก่อตัวกันขึ้นมาเป็นมังกร  มันมีทั้งเกร็ดและเคราอีกทั้งผมของมังกรโผล่ออกมา  กงเล็บมังกรนั้นงอกออกมาจากแขนข้างเดียวของเขา ในขณะที่มีกงเล็บอีกสองข้างโผล่มารอบขาของเขา

“นี่คือร่างวิญญาณมังกรเขียว” - เฒ่าหม่า ใส่เสื้อกลับคืน – “ยัยแก่ซี นั้นมีร่างวิญญาณพยัคฆ์ขาว”

ท่านย่าซี กรอกตาและพูดขึ้น – “ข้าไม่ถอดเสื้อผ้าให้พวกเฒ่าดูข้าหรอก  ข้าจะแสดงให้ ฉินมู่ เห็นเป็นรูปร่างพลังฉีแทน”

ร่างของ ท่านย่าซี เริ่มสั่นขึ้นเบาๆพร้อมกับมีเสือขาวรูปร่างโหดร้ายโผล่ออกมาด้านหลังของเธอ มันคำรามออกมาเสียงดังสนั่น

“ทุกคนในหมู่บ้านนั้นมีร่างวิญญาณ เมื่อก่อนเรานั้นโด่งดังแต่ตอนนี้เราก็แค่พวกผู้เฒ่าและคนพิการเท่านั้น”

ท่านย่าซี ยิ้มออกมา – “ ไม่มีอะไรที่เรากลุ่มผู้เฒ่าจะให้เจ้าได้ แก้วเลือดพวกนี้มาจากวิญญาณที่แตกต่างกันซึ่งเป็นกุญแจในการปลุกร่างวิญญาณ  มันก็เหมือนกับร่างมังกรเขียว ถ้าเจ้ามีร่างมังกรขาว เจ้าก็ดื่มเลือดของพยัคฆ์ขาวเพื่อปลุกพลังฉีของพยัคฆ์ขาวภายในแก่นวิญญาณของเจ้า  ถ้าเจ้ามีร่างวิญญาณวิหคสีชาด เจ้าก็ดื่มเลือดของวิหคสีชาดเพื่อปลุกพลังฉีของวิหคสีชาดภายในแก่นวิญญาณของเจ้าและร่างวิญญาณเต่าเองก็เช่นกัน

“เอาล่ะดื่มซะ”

ผู้ใหญ่บ้าน, ท่านย่าซี,และทุกคนต่างก็มองมาที่ ฉินมู่ พร้อมกับเผยสีหน้าคาดหวังออกมา

หัวใจของ ฉินมู่ เต้นรัว  แม้ว่าเขาจะดื่มเครื่องดื่มแปลกๆไปนับไม่ถ้วนอีกทั้งยังเรียนรู้วิธีจำแนกสมุนไพรจากหมอแต่มันก็ยังไม่เคยแปลกขนาดนี้มาก่อน

ฉินมู่ ยกแก้วหนึ่งขึ้นมา  เพราะแก้วที่ถืออยู่นั้นเป็นเลือดวิญญาณของวิหคสีชาดทำให้ของเหลวด้านในนั้นร้อน  เขาดื่มมันเข้าไปรวดเดียวและรู้สึกได้ว่าความร้อนเริ่มแผ่ซ่านจากลำคอไปถึงแขนและขาของเขา จากนั้นจึงไปที่กระดูกของเขา  เขารู้สึกเหมือนมีไฟปะทุขึ้นในตัวราวกับเลือดเขากำลังเดือด

หลังจากนั้นสักพักการเผาไหม้ก็ได้หายไป

“ไอ้ใบ้ เขามีร่างวิญญาณวิหคสีชาดหรือไม่ ?” – ผู้ใหญ่บ้านถามออกมา

ช่างตีเหล็กใบ้ส่ายหน้า

“เอาต่อ ฉินมู่” – ผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้น

ฉินมู่ จับแก้วที่สองที่เป็นเลือดวิญญาณของพยัคฆ์ขาวขึ้นมาดื่ม  มันรู้สึกเหมือนกับกินน้ำเหล็กที่มีสนิม,รสชาติอย่างกับทองแดงและมีกลิ่นแปลกๆในปาก  เขารู้สึกเหมือนข้างในโดนกัดกร่อนแต่ไม่นานอาการเหล่านั้นจะหายไป

“เขาไม่ได้มีร่างวิญญาณพยัคฆ์ขาว” - ท่านย่าซี ส่ายหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย

“ฉินมู่ แก้วที่สาม” – ผู้ใหญ่บ้านพูดด้วยท่าทีจริงจัง

ฉินมู่ ดื่มแก้ที่สามที่มีเลือดวิญญาณของมังกรเขียวเข้าไป  แก้วนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเลือดในกล้ามเนื้อของเขาเริ่มกระเพื่อม  อีกทั้งเขายังรู้สึกอึดอัดในอวัยวะภายในของตัวเองแต่ความรู้สึกนี้ไม่นานก็หายเช่นกัน

เฒ่าหม่า ส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง – “เขาไม่ได้มีร่างวิญญาณมังกรเขียว”

“ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาคงมีร่างวิญญาณเต่าดำ” – หมอเผยรอยยิ้มที่ยากจะเห็นได้ออกมาซึ่งดูชั่วร้ายกว่าปกติ

ฉินมู่ ดื่มเลือดแก้วสุดท้ายเข้าไป  ร่างกายของเขาเบาขึ้นราวกับขนนกในตอนที่เขาดื่มมัน มันรู้สึกราวเขาจมอยู่ในน้ำแต่ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ความรู้สึกมันคงอยู่แค่ไม่นาน

“เขาไม่ได้มีร่างวิญญาณเต่าดำ” - หมอส่ายหน้า

ชาวบ้านที่อยู่รอบๆกองไฟนั้นเงียบลง ตอนนั้นเองคนฆ่าสัตว์ก็ได้พูดขึ้นมา – “ถ้าอย่างนั้นเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา”

ท่านย่าซี ร้องออกมาทันทีและพยายามมที่จะพูด – “เราทุกผู้เฒ่าและพิการ  ฉินมู่ คงมีชีวิตต่อไปไม่ได้แน่ถ้าเราตายไปแล้ว ที่นี่มันอันตรายมาก  เขาคงรอดได้ไม่ถึงวัน ..”

ฉินมู่ จับมือ ท่านย่าซี และพูดขึ้นอย่างสุภาพ – “อย่าร้องเลยย่า  ท่าและปู่ๆย่าๆทุกคนน่ะคือคนดี  ไม่มีใครตายหรอก....”

“คนดีงั้นหรือ ? ฮี่ฮี่..” - เฒ่าหม่า หัวเราะกับตัวเอง – “เราน่ะต้องถูกบังคับให้มาอยู่ในดินแดนหายนะแห่งนี้พยายามดื้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด   ดินแดนแห่งนี้มันอันตรายเกินไป แน่นอนว่า มู่เอ๋อ คงยากที่จะรอดไปได้ถ้าไม่มีเรา เราควรส่งเขาออกจากดินแดนนี้ให้เร็วที่สุดมันคงจะปลอดภัยกว่า....”

“เขาจะโดนพบเจอและโดนฆ่าถ้าเราส่งตัวเขาออกไป  เพราะเขานั้นถือว่าเป็นพวกเดียวกับเราแล้ว เขาจะตายด้วยเช่นกัน” - คนฆ่าสัตว์ พูดขึ้นอย่างเย็นชา

หมู่บ้านคนพิการเริ่มกลับมาเงียบกันอีกครั้ง

ทันใดนั้นผู้ใหญ่บ้านก็พูดขึ้น –“  ดี”

ท่านย่าซี งุนงงและถามขึ้นมา – “มีอะไรดีงั้นรึ ?”

หัวหน้าหมู่บ้านยิ้ม – “ข้าหมายถึงส่วนบ่มเพาะของเขามันดี --- ไม่สิมันยอดเยี่ยมต่างหาก”

คนฆ่าสัตว์,หมอและคนที่เหลือในหมู่บ้านต่างก็มองหน้าเขาด้วยท่าทีงงไม่เข้าใจว่าทำไมส่วนบ่มเพาะของ ฉินมู่ ถึงดีได้  หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มและอธิบาย – “ข้าเดาว่า มู่เอ๋อ นั้นมีส่วนบ่มเพาะแบบอื่น ต้องมีความแข็งแกร่งจากการบ่มเพาะทั้งสี่รวมกัน --- ร่างราชันย์ !”

“ร่างราชันย์งั้นรึ ?” – ท่านย่าซี และคนที่เหลือต่างก็ตกใจ ทุกคนนั้นเป็นคนที่มีประสบการณ์,ความรู้แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน

“ใช่ ร่างราชันย์”

ผู้ใหญ่บ้านยิ้ม – “มันยากที่เลือดวิญญาณธรรมดานั้นจะปลุกร่างราชันย์ขึ้นมาได้  เลือดจากสัตว์อสูรทั้งสี่ที่ยิ่งใหญ่ต้องถูกรวบรวมมาเพื่อให้ร่างราชันย์เผยตัวออกมา  ไม่มีอสูรวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่อยู่ในดินแดนหายนะแห่งนี้แล้ว แต่มันไม่น่ายากเกินไปที่จะหาลูกหลานของมัน  คอยจับพวกสัตว์อสูรไปเรื่อยๆและกลั่นเลือดมันออกมา  เมื่อ ฉินมู่ ดื่มเลือดพวกนั้นเข้าไปมากพอ ร่างราชันย์ของเขานั้นจะตื่นขึ้นมาเอง”

ทุกคนนั้นเชื่อในตัวผู้ใหญ่บ้า  ดังนั้นจึงดีใจเมื่อได้ยินแบบนั้น –“พรุ่งนี้ข้าจะไปกับไอ้ด้วนเพื่อจับเสือ ! รีบนอนซะ มู่เอ๋อ  ข้าจะเอาเลือดมาให้เจ้ากินอีกในวันพรุ่งนี้ !”

เมื่อทุกคนแยกย้ายกันแล้ว หมอและปู่ใบ้ก็ได้พาผู้ใหญ่บ้านกลับไปที่ห้อง  หลังจากที่ปู่ใบ้กลับไปแล้ว หมอที่ยังอยู่ในห้องอยู่นั้นก็พูดขึ้นเบาๆ – “ร่างราชันย์นั้นไม่ได้มีอยู่จริง”

ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า – “ข้าพูดโดยไม่คิดแต่ถ้าข้าไม่พูดอะไรออกไปมันคงยากที่ทุกคนจะมีชีวิตอยู่ต่อได้”

หมอไม่รู้จะตอบกลับยังไง ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็มีประวัติศาสตร์ของตัวเองแต่พวกเขาถูกบังคับให้มาอยู่ที่นี่เพื่อให้อยู่รอดไปได้ ความเศร้าที่ทุกคนมีนั้นได้เป็นภาระอันหนักหน่วง  ฉินมู่ นั้นเป็นเหตุผลที่ทำไมทุกคนถึงมีชีวิตต่อมาได้ถึงขนาดนี้

ปรากฏว่าเด็กสุขภาพดีคนหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงความเศร้าที่ทุกคนมีไป  เพราะพวกเขาเลี้ยงดู ฉินมู่ มา พวกเขาจึงถือว่าเด็กน้อยนี่คือลูกหลานที่ล้ำค่าที่สุดในครอบครัวของพวกเขา   ฉินมู่ นั้นคือผู้ที่รวมจิตใจของทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียวได้

ถ้าชาวบ้านรู้ว่า ฉินมู่ นั้นเป็นแค่เด็กน้อยธรรมดาและไม่สามารถอยู่รอดจากดินแดนหายนะแห่งนี้ได้ด้วยตัวเอง ทุกคนคงควบคุมตัวเองและคิดอะไรไม่ออกเป็นแน่

หมอไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร – “ท่านปิดความจริงจากคนอื่นไปตลอดไม่ได้หรอก ทุกคนจะต้องตายและทิ้ง ฉินมู่ เอาไว้”

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่บอกเขาว่าร่างราชันย์นั้นไม่มีจริง  เก็บความลับนี้ไว้กับเราไปตลอดกาล” – ผู้ใหญ่บ้านพูดด้วยท่าทีจริงจัง – “ให้เขาเชื่อว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีร่างราชันย์ !”

หมออึ้งพร้อมกับมองดูหน้าผู้ใหญ่บ้าน  ด้วยแสงที่มาจากตะเกียง หน้าของผู้ใหญ่บ้านดูเหมือนจะบิดเบี้ยวเล็กน้อยในตอนที่ยิ้ม – “ข้าอยากเห็นว่าถ้าคนธรรมดาที่มีความเชื่อมันที่หาใครเทียบไม่ได้นั้นจะทำสิ่งที่แม้แต่เราคนที่มีร่างวิญญาณยังทำไม่ได้ !”

หมอมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า – “ร่างมนุษย์....สู่ร่างราชันย์งั้นหรือ ?”

ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า – “ตราบใดที่มีความเชื่อ ร่างมนุษย์นั้นก็จะเปลี่ยนเป็นร่างราชันย์ได้ !”

 

 

 

 

 

 

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด