Chapter 14: พลังฉีในการกลั่นกรองร่างกาย
“เราจะทำยังไงกับ ฉิง กัน ?” - ฉินมู่ ลุกขึ้นยืนขึ้นมา เขามองไปที่ ฉิง ที่ซึ่งยังคงช็อคอยู่
“ทำไม .... เราไม่..” – ตาของ ย่าซี เป็นประกายขึ้นมาเมื่อคิดถึงสิ่งที่เธอจะทำ เธอสะกิด ฉินมู่ จนกลายเป็นเกือบผลักเขาให้ล้มลงและพูดขึ้น – “ทำไมเราไม่ปล่อยให้เธอมีชีวิตต่อเพื่อที่เธอจะได้เป็นเจ้าสาวของเจ้ากัน ? ตอนเด็กๆเจ้าก็น่ารักแต่ตอนนี้เจ้าโตแล้ว เจ้าไม่ได้น่ารักอีกต่อไป แต่เจ้าสามารถมีลูกที่น่ารักกับหญิงสาวคนนี้ได้ เด็กนั่นแน่นอนว่าต้องน่ารักแน่นอน ย่าคนนี้อยากเลี้ยงหลานแล้ว...”
ฉินมู่ มองไปทีน่ ฉิง ที่ซึ่งหน้าตาบวมเปล่งเหมือนหมู – “ย่า ข้าคิดว่าข้าไม่ชอบแบบนั้น..”
ชิ้ง !
“ถ้าอย่างนั้นเราก็น่าจะฆ่านางซะ”- ปู่ด้วนพูด
ปู่ด้วนไปโผล่ด้านหลัง ฉิง และแทงเข้าที่หัวใจของเธอพร้อมกับรอยยิ้มอันใสซื่อโดยที่ทุกคนไม่รู้ตัว
“ปะ-ปู่ด้วน....ทะ-ทำไมท่านถึงฆ่านาง ?”- ฉินมู่ ถามออกมาตะกุกตะกัก
ปู่ด้วนดึงมีดออกมา รอยยิ้มของเขาได้เปลี่ยนเป็นความสับสน – “เจ้าบอกเองว่าเจ้าไม่ต้องการนาง ชัดเจนแล้วว่านางจำเป็นต้องตาย”
ฉินมู่ รู้สึกเคืองขึ้นมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ต้องการจะมีลูกกับเธอแต่เขานั้นเป็นเด็กแค่ 11 รึ 12 ปีเท่านั้น --- นอกจากสัตว์ประหลาดที่เขาเห็นทุกวันแล้ว คนในหมู่บ้านรอบๆนั้นล้วนแต่เป็นคนที่โหดเหี้ยม มันยากที่เขาจะเจอคนอายุพอๆกับเขาได้
แม้ว่าจะไม่มีเพื่อนเล่นแต่จิตใจของเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่
“กลับบ้านกันเถอะ” – ผู้ใหญ่บ้านประกาศออกมาพร้อมกับหันหน้าไปยังซากปรักหักพังในหุบเขา
“พวกเราทุกคนต่างก็มีความพิการของตัวเองจึงไม่มีใครแบกเจ้ากลับไปได้ เจ้าต้องเดินกลับเอง” – ปู่หมอยิ้มให้ ฉินมู่ และพูดขึ้น – “อ่า ถูกต้องแล้ว ! เราได้เตรียมเลือดวิญญาณไว้ เนื่องจากเจ้าไม่ได้กลับมาบ้านเมื่อคืนนี้แต่ข้าก็ยังมีเหลืออยู่บ้าง”
ฉินมู่ พยักหน้าและรับแก้วเลือดจากปู่หมอ เขาดื่มเลือดทั้งสี่แก้วไป เขาเดินโซซัดโซเซพร้อมกับโคจรทักษะร่างราชันย์สามชีวิตและดึงพลังของเลือดวิญญาณออกมาให้ได้มากที่สุด ในตอนที่เขาทำแบบนั้นเขาได้บอกทุกคนถึงสิ่งแปลกที่เกิดขึ้นกับเขาในซากปรักหักพังนั้น
ย่าซี แสดงสีหน้าใจเย็น – “ปิศาจกับพระเจ้างั้นรึ ? ใบหน้ามหึมาที่เกิดจากความมืดและเหล่าสตรีโครงกระดูกงั้นรึ ? น่าสนใจดี..”
คนอื่นๆเองก็เห็นว่าเรื่องของ ฉินมู่ นั้นสนใจแต่ไม่มีใครออกความเห็นออกมา
ผลก็คือ ฉินมู่ อดไม่ได้ที่จะถาม – “ย่า พวกท่านไม่สงสัยกันหรือว่าซากนี้มันมีที่มายังไงกัน ?”
ปู่หมอถอนหายใจออกมา – “อาณาจักรของเทพซึ่งเคยรุ่งเรืองในอดีต...นั้นได้โดนทลายไปนานแล้ว ตอนนี้เจ้าบอกเราว่ากระดูกของเทพนั้นคอยแสดงพลังออกมาในยามค่ำคืน เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกนั้นยังปฏิเสธที่จะต้องตาย ?”
ปู่หูหนวกมองมาที่ปู่หมอแล้วอ่านปากจากนั้นจึงตอบกลับ – “ไม่ว่าพวกนั้นจะไม่ต้องการตายแล้วมีเหตุผลอะไรที่พวกนั้นถึงมีตัวตนต่อได้ทั้งๆที่ตายไปแล้ว ? มันดูไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำที่จะสนใจเรื่องของสถานที่แห่งนี้”
“...เจ้านี้หูหนวกจริงๆรึ ?” – ปู่หมอถามออกมาด้วยความสงสัยและมองไปที่หูของอีกฝ่าย ปู่หูหนวกได้ทำก้อนเหล็กสีขาวขึ้นมาเอามาใส่ปิดหูตัวเองซึ่งปิดไปแม้แต่รูหูของเขา
ปู่หูหนวกได้ดึงที่ปิดหูออกจากหัวทั้งสองข้าง เหล็กยาวกว่า 3 นิ้วนั้นแทงเข้าไปในหูภายในของเขา เหล็กพวกนี้จำเป็นต้องแหย่เข้าไปในหูของเขาเพื่อให้เหล็กก้อนนี้อยู่ติดกับหัวได้
“แทงนี่เข้าไปในรูหูของเจ้า !” – ปู่หูหนวกตรอกกลับอย่างเย็นชา – “แล้วเจ้าจะรู้เองว่าข้าหูหนวกจริงหรือไม่ !”
ปู่หมอยิ้มเล็กน้อยและเงียบไป
ปู่หูหนวกแหย่เหล็กทั้งสองข้างกลับที่เดิมและหันหาปู่ใบ้แล้วพูดขึ้น – “หูนี้ไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่แล้ว ข้าอยากให้เจ้านั้นช่วยข้าปรับแต่งมันหน่อย”
ปู่ใบ้พยักหน้าเป็นการตอบกลับ
คนแก่เหล่านี้ทำให้ ฉินมู่ หมดคำพูด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงได้สนใจในเรื่องหูปลอมมากกว่าซากปรักหักพัง
“มู่เอ๋อ มันมีเรื่องลึกลับหลายเรื่องในดินแดนแห่งนี้” - ย่าซี พูดขึ้นพร้อมกับยิ้ม “- นอกจากดินแดนเทพในหุบเขาแล้ว มันยังมีเรื่องลึกลับอื่นอีก ถ้าเจ้าใช้เวลาทั้งหมดไปกับการคิดเรื่องพวกนี้ เจ้าจะไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย”
ในตอนที่พวกเขาเดินกลับไปที่หมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านได้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง – “เพราะเจ้าสามารถรับมือการโจมตีของดาบนั่นได้ด้วยการใช้ท่อนไม้ยาว 16 นิ้ว ชัดเจนแล้วว่าการโจมตีของเจ้านั้นไม่ได้อ่อนแอ ประสบการณ์นี้จะช่วยให้เจ้าพัฒนาขึ้นอย่างมาก”
“ทำไมข้าถึงควบคุมวัตถุเช่นพวกนั้นไม่ได้ ?” - ฉินมู่ ถามพร้อมหัวใจที่เต้นรัว – “พลังฉีภายในข้านั้นไม่สามารถไปไกลเกินกว่า 16 นิ้วได้”
ปู่หมอส่ายหน้า พลังฉีภายในของคนธรรมดานั้นไม่มีคุณสมบัติแต่อย่างใด การควบคุมวัตถุนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่พลังฉีของคนธรรมดาจะใช้ออกมาแบบนั้นได้
สำหรับคนธรรมดาแล้วการใช้พลังฉีที่แผ่ออกมาได้ถึง 16 นิ้วนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งสำหรับ ฉินมู่ แล้ว
“ร่างราชันย์และแก่นวิญญาณสวรรค์ของเจ้ายังไม่ถูกปลุกขึ้นมา ดังนั้นไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลหรอก”- ผู้ใหญ่บ้าน มองด้วยท่าทีใจเย็น – “การเอาชนะผู้ฝึกยุทธิที่อยู่ในดินแดนแก่นวิญญาณได้ ในตอนที่เจ้ายังด้อยกว่านั้นหมายความว่า เมื่อเจ้าปลุกร่างราชันย์ขึ้นมาแล้วเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆในระดับเดียวกันอย่างมาก”
ย่าซี และคนอื่นๆต่างก็ภูมิใจกับความสามารถของ ฉินมู่ กู่ นั้นอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนแก่นวิญญาณ เขาสามารถใช้พลังฉีของเขาในการควบคุมดาบให้อยู่ใกล้ร่างกายซึ่งแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าอีกไม่นานเขาก็จะขึ้นไปอยู่ในดินแดนธาตุทั้งห้า
การอัด กู่ จนตายด้วยท่อนไม้นั้นชัดแล้วว่า ฉินมู่ นั้นยืนยันว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านบอกนั้นไม่ได้โกหกเกี่ยวกับร่างราชันย์ที่ทุกคนไม่เคยได้ยินมาก่อน !
หางตาของปู่หมอบิดไปนิดๆในตอนที่เขาคิดกับตัวเอง
“ความจริงที่ มู่เอ๋อ นั้นเป็นแค่คนธรรมดาอีกไม่นานก็คงจะรู้กัน เมื่อเวลานั้นมาถึงคนพวกนี้คงพากันสิ้นหวังแต่...มันแปลกที่เขาสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธระดับสูงได้ด้วยท่อนไม้เล็กๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขามีร่างราชันย์จริๆ ? รึนี่แค่เป็นผลของเลือดวิญญาณ ?”
เมื่อคิดถึงผลของเลือดจำนวนมากด้วยความรู้ที่มีในหัวแต่คำถามเหล่านั้นก็ยังทำให้ปู่หมอนั้นสับสนอยู่ดี
การดื่มเลือดวิญญาณทั้งสี่เข้าไปทำให้พลังฉีภายในของ ฉินมู่ นั้นทำงานมากกว่าเดิม ผลก็คือการฟื้นฟูกล้ามเนื้อนั้นรวดเร็วขึ้นและกลับมาเป็นปกติในที่สุด เลือดของเขาเริ่มสูบฉีดได้ดีขึ้นและการโคจรพลังฉีภายในเองก็รวดเร็วขึ้นเช่นกัน ความเหนื่อยล้าค่อยๆหายไปจากร่างกายของเขา ความเร็วในการเดินของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เฒ่าหม่า,ปู่ด้วนและคนอื่นๆต่างก็แสดงสีหน้าตะลึงออกมาแต่พวกเขาก็ยังคงเงียบแล้วเดินตาม ฉินมู่ ไป
ฉินมู่ นั้นพบว่าการบ่มเพาะทักษะร่างราชันย์สามชีวิตในตอนที่วิ่งอยู่นั้นช่วยเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะ ด้วยผลของเลือดวิญญาณที่ดื่มเข้ามาทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะของเขานั้นเร็วยิ่งกว่าเดิม จนสุดท้ายมันทำให้เขาลืมสิ่งรอบข้างและวิ่งไปข้างหน้าให้เร็วขึ้นไปอีก
เขาลืมเกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บพร้อมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พลังฉีภายในโคจรรอบตัวเร็วขึ้นไปอีกผ่านกล้ามเนื้อ,กระดูก, เส้นผมและเล็บของเขา
เขาวิ่งให้เร็วที่สุดที่เขาจะทำได้ ความเร็วของ ฉินมู่ ตอนนี้เกินกว่าความเร็วก่อนหน้านี้ขึ้นมาก แต่เขายังไม่รู้ตัวเรื่องนี้ เขาแค่รู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิมในตอนที่เขาวิ่งออกไปนี้
เริ่มมีหมอกสีดำไหลออกมาจากร่างกายของเขา เมื่อรวมกับเหงื่อของเขาแล้วมันก็รวมตัวกันเป็นเม็ดขึ้นมา
แต่....ฉินมู่ นั้นก็ยังไม่รู้ตัวถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา
ปู่หมอและผู้ใหญ่บ้านต่างก็แอบมองน่ากันด้วยความตกใจ
“เฒ่าหม่า พลังฉีภายในของเจ้าเริ่มกลั่นกรองร่างกายตอนไหนกัน ?”- ปู่หมอถามขึ้นมา
“ตอนข้าอยู่จุดสูงสุดของดินแดนแก่นวิญญาณ”- เฒ่าหม่าตอบด้วยท่าทีจริงจัง – “ข้าได้ฝึกหมัดของข้าอยู่ และอยู่ๆข้าก็ได้ปลดปล่อยทักษะสวรรค์ออกมาครั้งแรก ทักษะหมัดกลั่นกรอง พลังฉีภายในของข้านั้นคล้ายกับมังกรสีครามที่พันรอบแขนของข้า”
ปู่หมอมองไปที่ปู่ด้วนที่ซึ่งก็ตอบออกมาเหมือนกัน
“ข้านั้นอยู่ที่จุดสูงสุดของดินแดนแก่นวิญญาณ วันที่มันเกิดขึ้นนั้นข้าพยายามจะตามสายลมให้ทัน ข้าต้องการที่จะเดินบนท้องฟ้าและเหยียบสายลม ในตอนที่มันเกิดขึ้นข้าได้พบถึงเรื่องน่าตกใจที่ว่าพลังฉีภายในของข้าได้เริ่มกลั่นกรองร่างกายและข้าก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแต่หลังจากนั้นข้าก็ต้องตกลงมาจากฟ้าและเกือบที่จะตาย”
“ข้าเองก็เหมือนกัน” – ปู่หมอพูดออกมาพร้อกมับถอนหายใจ –“ ข้าเองก็พยายามที่จะกลั่นกรองร่างกายโดยใช้จุดแก่นวิญญาณสวรรค์นั้นเป็นเตาหลอมและใช้พลังฉีของข้าเป็นเหมือนสมุนไพร นั่นทำให้ข้าค้นพบเรื่องน่าสนใจของการกลั่นกรองพลังฉี พลังฉีของข้านั้นเผาไหม้ร่างกายของข้าอย่างกับไฟ ฉินมู่ นั้นกลับกัน ไม่ใช่แค่ยังทำลายกำแพงแรกไม่ได้แต่เข้ากลับเริ่มการกลั่นกรองร่างกายแล้ว”
“ร่างราชันย์นี้มันเหนือกว่าจริงๆ” - ปู่ด้วนหัวเราะออกมา – “ร่างวิญญาณของเรานั้นคงทำได้แค่อิจฉาเท่านั้น”
ปู่หมอแสดงสีหน้าแปลกๆออกมาแต่ไม่ได้พูดอะไร
ร่างราชันย์งั้นรึ ?
ถ้า ฉินมู่ มีร่างราชันย์จริงๆเขาคงไม่แปลกใจแบบนี้
ปู่ด้วนและ เฒ่าหม่า นั้นได้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้นั้นเป็นเพราะร่างราชันย์แต่เขาน่ะรู้ความจริง การเหนือกว่าคนที่มีร่างวิญญาณและเข้าถึงการกลั่นกรองร่างกายได้ตั้งแต่แรกๆนี้ทั้งๆที่เป็นคนธรรมดานี้มัน....เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับผู้ฝึกยุทธอย่างปู่หมอ แม้จะมีความรู้มากมายแต่เขาก็อดที่จะรู้สึกทึ่งไม่ได้
“มู่เอ๋อ นั้นยังไม่ได้ปลุกร่างราชันย์ขึ้นมาแต่เมื่อเขาทำได้ เขาจะสามารถใช้พลังฉีของร่างราชันย์ควบคุมวัตถุได้ ฮี่ฮี่ !” - ย่าซี พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น – “แม้แต่ผู้คุ้มกฎของจักรพรรดิคงไม่อาจจะรับมือเขาได้ถ้าทั้งคู่อายุเท่าๆกัน ถูกหรือไม่ ?”
หัวใจของปู่หมอหล่นวูบพร้อมกับมองไปที่ผู้ใหญ่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านเองก็ยังคงเงียบอยู่
ร่างราชันย์นั้นไม่ได้มีอยู่จริง ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครมีพลังฉีของร่างราชันย์ พลังฉีภายในธรรมดานั้นไม่สามารถที่จะควบคุมวัตถุได้และเมื่อ ฉินมู่ รู้เรื่องนี้แล้วเรื่องโกหกทุกอย่างคงถูกเปิดโปงออกมา
แต่ก่อนหน้านี้ ฉินมู่ ต้อง ‘ ปลุก ‘ ร่างราชันย์ของเขาให้ได้ก่อนซึ่งหมายถึงเขาต้องทำลายกำแพงแก่นวิญญาณลง
แล้วคนธรรมดาต้องใช้อะไรในการทำลายกำแพง ?
ผู้ใหญ่บ้านคิ้วขมวด
การดื่มเลือดวิญญาณทั้งสี่นั้นมีผลใดๆกับ ฉินมู่ หรือไม่ ? เขาจะซ่อนความจริงจากทุกคนไปได้นานแค่ไหนกัน ?