Chapter 11: ทลายกำแพง
ถ้า ย่าซี หรือผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่นี่ ทั้งคู่ต้องด่า ฉินมู่ ที่มาเล่นอะไรโง่ๆซึ่งทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย
ยังไงซะเสียงของพระเจ้านั้นก็แตกต่างจากเสียงของสตรีเหล่านี ย่าซี และผู้ใหญ่บ้านนั้นจะคิดว่ามันคือเรื่องผิดพลาดที่จะใช้เสียงของปิศาจเพื่อรับมือกับเสียงของพระเจ้าเพียงเพื่อจะทำลายกำแพง ถ้าเสียงของพระเจ้านั้นล่าถอยออกไปให้กับเสียงปิศาจ ผลสุดท้ายนั้นคงไม่ได้ง่ายดายแค่ว่า ฉินมู่ ต้องเสียชีวิตของตนแน่ –
--- เป็นไปได้ว่าวิญญาณของเขาเองก็ต้องโดนทำลายด้วย !
แต่ไม่ว่าสองคนนั้นจะคิดว่ามันอันตรายแค่ไหนแต่เขาไม่รู้ถึงความเสี่ยงนั้น
ทันทีที่เขาจำบทสวดพวกนี้ได้ เขาก็ลงมือลองทันที
ในตอนที่พลังฉีภายในนั้นไปถึงจุดตรงหว่างคิ้ว เสียงของพระเจ้าจากสวรรค์นั้นก็ดังก้องออกมาอย่างเช่นเคยคอยผลักดันพลังฉีของเขากลับออกไป ฉินมู่ ท่องบทสวดปิศาจออกมาเพื่อสู้กลับ
ฉินมู่ ใช้โอกาสนั้นในการผลักดันพลังฉีของเขาเข้าไปที่กำแพงแก่นวิญญาณแต่เสียงของพระเจ้านั้นคอยเอาชนะบทสวดปิศาจของเขาได้และคอยผลักดันพลังฉีของเขาให้ล่าถอยกลับไป
แม้ว่าจะล้มเหลวอยู่หลายครั้งแต่ ฉินมู่ ก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้และคอยผลักดันพลังฉีของตัวเองต่อไป หลังจากล้มเหลวเป็นร้อยรอบ ในที่สุดพลังฉีภายในของเขาก็เข้าชนกับกำแพงแก่นวิญญาณได้
แต่....มันไม่ทลายลงมา กำแพงแก่นวิญญาณนั้นยังคงตั้งตระหง่านอยู่
“ข้าใช้พลังฉีภายในทั้งหมดไม่ได้ถ้าเสียงของพระเจ้ายังคงดึงจิตใจข้าไปอยู่....” - ฉินมู่ คิดกับตัวเองเหมือนกับเข้าใจบางอย่างที่เกิดขึ้น – “เพราะแบบนั้นกำแพงจึงไม่ทลายลง”
เมื่อรู้ถึงปัญหา ฉินมู่ ก็พยายามที่จะทำลายกำแพงต่อ ด้วยการล้มเหลวอีกหลายครั้งในที่สุดเขาก็ใช้พลังฉีเข้าชนกำแพงได้อีกรอบ
แต่ก็เหมือนครั้งแรก กำแพงนั้นไม่ได้ทลายลงมา
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังของตนพุ่งชนเป็นครั้งที่สาม, สี่, และห้า....
เนื่องจากปู่หมอนั้นสอนวิธีเปลี่ยนสมุนไพรให้เป็นยา ฉินมู่ เลยมีความอดทนที่ไม่สิ้นสุด การเปลี่ยนสมุนไพรนั้นคนที่ทำต้องมีความอดทน,ฉลาด, มองกว้างและมีไหวพริบ ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ความอดทนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าคนเราไม่มีความอดทน พวกเขาจะไม่มีวันทำยาที่มีประสิทธิภาพได้
แม้จะล้มเหลวอีกนับครั้งไม่ถ้วนแต่ในที่สุด ฉินมู่ ก็ได้ยินเสียงแตกดังขึ้นมาตรงหว่างคิ้วของเขา
เสียงนี้ดังขึ้นมาอย่างนุ่มนวลราวกับเสียงสวรรค์ แม้ว่า ฉินมู่ จะมีจิตใจที่แน่วแน่แต่เขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
รอยแตกรูปร่างสายฟ้าปรากฏขึ้นมาบนกำแพงแก่นวิญญาณ
กำแพงแก่นวิญญาณนั้นไม่อาจมองเห็นแต่มันสามารถสัมผัสได้
ในตอนที่รอยแตกปรากฏขึ้นมาก็ได้มีลำแสงสว่างวาบขึ้นมาตรงหว่างคิ้วของเขาเป็นรูปสายฟ้า
ในตอนที่มีแสงสว่างขึ้นมา ฉินมู่ ก็รู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์
ถ้าคนๆหนึ่งปิดตาอยู่สิ่งรอบข้างนั้นจะมืดมิด พวกเขาจะมองไม่เห็นช่องว่างที่อยู่ตรงหว่างคิ้วได้รึก็คือจุดแก่นวิญญาณสวรรค์รึกำแพงแก่นวิญญาณ
ถ้าพลังฉีภายในของคนสร้างรอยแตกที่กำแพงแก่นวิญญาณแล้ว พกวเขาจะสามารถมองเห็นลำแสงที่ส่องประกายออกมาจากความมืดเป็นรูปสายฟ้า เมื่อเกิดสิ่งนั้นขึ้นเมื่อไหร่ พวกเขาจะสามารถมองเห็นกำแพงแก่นวิญญาณได้
ไม่ใช่แค่ ฉินมู่ มองเห็นกำแพงแก่นวิญญาณของตนแต่เขายังมองเห็นจุดแก่นวิญญาณสวรรค์ผ่านรอยแตกนั้นด้วย
จุดแก่นวิญญาณสวรรค์นั้นได้ส่องแสงออกมาอย่างเข้มข้น แสงอันเข้มข้นและพลังฉีที่หนาแน่นได้ไหลทะลักออกมาจากรอยแตกรูปสายฟ้าและเข้ารวมกับพลังฉีภายนอกกำแพง
พลังฉีอีกด้านของกำแพงภายในจุดสวรรค์นั้นบริสุทธิ์และแข็งแกร่งกว่าพลังฉีที่ ฉินมู่ มีในการบ่มเพาะมาตลอดเวลาแต่พวกมันคล้ายกันที่ว่าไม่มีคุณสมบัติใดๆ
ฉินมู่ เชื่อมั่นว่าพลังฉีภายในที่เขาบ่มเพาะมานั้นได้มาจากร่างราชันย์ของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกอะไรกับการที่มันขาดคุณสมบัติ
นอกจากพลังฉีแล้วยังมีบางอย่างลึกลับซ่อนอยู่ด้านในจุดแก่นวิญญาณสวรรค์ด้วยแต่เนื่องจากกำแพงนั้นมีแค่รอยแตกเล็กๆและยังไม่ได้พังทลายไปหมด ฉินมู่ จึงมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างในกันแน่
หัวใจของ ฉินมู่ หล่นวูบเมื่อเห็นว่ารอยแตกรูปสายฟ้านั้นเริ่มจะปิดตัวลง กำแพงแก่นวิญญาณนั้นไม่ได้เปราะอย่างที่เขาคิดเอาไว้ แม้ว่ามันจะมีรอยแตกขึ้นมาแต่ก็มีพลังงานคอยมาฟื้นฟูมัน ผลก็คือมันสามารถซ่อมตัวเองกลับคืนมาได้ดังเดิม
คนเราจะไม่สามารถทำลายกำแพงได้นอกจากทำลายมันให้ทลายในครั้งเดียว !
“พลังฉีภายในของข้านั้นยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่ยิ่งข้าทำรอยแตกได้มากเท่าไหร่ ข้าก็จะได้พลังฉีที่แข็งแกร่งมากขึ้น ! สุดท้ายพลังฉีของเข้านั้นแข็งแกร่งพอที่จะทำลายกำแพงแก่นวิญญาณลงได้ !”
ในตอนที่เขาบ่มเพาะเสร็จก็ได้มีเสียงดังสนั่นทำให้เขาตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ เสียงนั้นปลุกเร้าเขาและเขาก็รีบลืมตาขึ้นมา
ในบรรดาสัตว์อสูรรอบๆตัวเขามีไก่คอเกลี้ยงอยู่ แต่ละตัวนั้นใหญ่ผิดปกติ มันสูงพอๆกับคนธรรมดา ขนของมันนั้นสวยงามแต่ที่คอกลับไม่มีสักเส้น มันมีนกที่มารวมฝูงกันด้วย
“เกือบจะเช้าแล้ว” - ฉินมู่ เพิ่งรู้ตัวและตื่นขึ้นจากการหลับใหล
ลำแสงหม่นๆเริ่มโผล่ออกมาจากทิศตะวันออกเป็นสัญญาณบอกว่าจะเช้าแล้ว มันสายเกินไปแล้วที่ ฉินมู่ จะพยายามทำลายกำแพงแก่นวิญญาณได้
มันคือเรื่องดีที่ในที่สุดเขาก็คิดหาวิธีทำลายกำแพงได้ ตราบใดที่เขาหนีเงื้อมมือของ ศิษย์พี่กู่ และ ศิษย์พี่ฉิง ไปได้ เขาก็จะมีเวลาที่จะทำลายกำแพงนี้
แม้ว่าเขาจะทำได้แค่สร้างรอยแตกบนกำแพงแต่การบ่มเพาะของเขาได้พัฒนาขึ้นมาซะจนเขามั่นใจว่าเขาสามารถหนีไปจากทั้งคู่ได้ !
“มันเกือบจะเช้าแล้ว ” – ศิษย์พี่กู่ พูดขึ้นมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“ศิษย์น้องทั้งสามคนของเราได้ตายด้วยน้ำมือของปิศาจน้อย” - ศิษย์พี่ฉิง พูดขึ้นอย่างเย็นชา – “วิญญาณของพวกเขาในสวรรค์คงอยู่ไม่สงบถ้าเราปล่อยเขาหนีไปได้”
ฉินมู่ ยืนขึ้นแล้วบิดตัวทำท่าไม่ได้ยินที่พวกนั้นพูด
เหล่าสตรีที่ลานนั้นพยายามต่อสู้กับความมืดมิดต่อ พวกเธอใช้ลำแสงนั้นคอยต้านความมืดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่นานก็ได้มีเสียงร้องแห่งความดีใจดังขึ้น เสียงของความมืดนั้นดังขึ้นและชัดขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหมดความอดทน และเสียงของเหล่าสตรีเองก็ดังขึ้นเช่นกัน ทำให้เกิดการปะทะอันน่าตะลึงระหว่างความมืดและแสงสว่าง
เสียงที่สามดังขึ้นมาพร้อมกับที่ลำแสงของพระอาทิตย์เริ่มส่องเข้ามาในความมืดด้านทิศตะวันตกและคอยส่องแสงให้กับยอดเขาใกล้ๆ
แสงอาทิตย์นั้นส่องเข้ามาที่หลุมดำแห่งความมืดมิดบังคับให้มันถอยกลับไป ความมืดนั้นถอยกลับไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับที่มันทะลักเข้ามา มันถอยกลับไปที่เกินกว่าเส้นขอบฟ้าอีกด้านด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่พระอาทิตย์ส่องแสงมาที่หุบเขา ไข่มุกนั้นก็ร่อนตัวลงมาและแสงที่ส่องออกมาที่ลานก็เริ่มหม่นลงก่อนที่จะหายไป
เพราะแสงหลากสีจากไข่มุกได้หายไป เหล่าสตรีในลานก็กลับเป็นโครงกระดูกที่นั่งอยู่ไม่เคลื่อนไหวดังเดิม
มันเป็นการต่อสู้อันดุเดือดราวกับฝันไป
ฉินมู่ เคยได้ยินจากคนในหมู่บ้านพูดถึงเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้เกี่ยวกับความป่าเถื่อนและความอันตรายแต่การเห็นมันด้วยตาตัวเองนั้นแน่นอนว่าต้องเกินกว่าสิ่งที่ได้ยินมา
เมื่อตกกลางคืน ความมืดจะคืบคลานเข้ามา ใบหน้ามืดมิดจะก่อตัวและท่องบทสวดปิศาจ โครงกระดูกในซากปรักหักพังจะเปลี่ยนเป็นเหล่าสตรีคอยใช้แสงสว่างต่อสู้กับความมืดมิด สิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ
ความลับของเหตุการณ์นี้รอคอยให้คนมารับรู้อยู่
ในตอนที่ฝูงสัตว์อสูรกำลังเคลื่อนตัวไปที่ประตูเพื่ออกจากที่นี่ ฉินมู่ ก็แฝงตัวเข้าไปกับพวกสัตว์ด้วย สัตว์พวกนี้เหมือนจะมีกฏที่ไม่ให้ทำการต่อสู้กันในซากแห่งนี้แต่ทันทีที่ออกไปข้างนอกแล้วมันน่าจะอันตรายดังเดิม
ในอีกด้านของฝูง ศิษย์พี่กู่ มองไปที่ ศิษย์พี่ฉิง และทั้งคู่เองก็แอบเข้าไปในฝูงด้วย ทั้งคู่ค่อยๆออกตามหา ฉินมู่ ที่อยู่ในฝูงเช่นกัน
ฝูงเดินออกจากซากแห่งนั้นมาเรื่อยๆ ทันใดนั้นอยู่ๆก็มีดาบพุ่งเข้ามาแทง ฉินมู่ ที่ด้านหลัง เขาหลบการโจมตีจนดาบนั่นแทงเข้าไปที่สัตว์อสูรที่อยู่ใกล้ๆ
สัตว์อสูรร้องอกมาด้วยความหงุดหงิด
“ศิษย์น้อง อย่าใช้ดาบ” - ศิษย์พี่กู่ อุทานออกมา – “ถ้าฝูงสัตว์อสูรนี้คลั่งขึ้นมาพวกเราทุกคนตายแน่ !”
คำเตือนของเขาทำให้ ศิษย์พี่ฉิง นั้นเก็บดาบของเธอและกระโดดขึ้นไปบนหลังของสัตว์อสูรทีละตัวๆเพื่อเข้าใกล้ ฉินมู่ ให้ได้มากที่สุด
ฉินมู่ อิจฉากับความสามารถของ ศิษย์พี่ฉิง ที่สามารถก่อพลังฉีขึ้นมาใช้ควบคุมดาบในระยะไกลได้ แม้ว่าความสามรถนี้จะไม่ได้น่าทึ่งเท่ากับทักษะสวรรค์ของปู่ฆ่าสัตว์ก็ตามแต่เขาก็พบว่ายังไงมันก็น่าประทับใจอยู่ดี
การเคลื่อนที่ของ ศิษย์พี่ฉิง นั้นรวดเร็วราวกับแสงและยังสง่างาม ชุดของเธอปลิวไปกับลมที่พัดผ่านไปราวกับดอกบัวสีชมพู ภายใต้ดอกบัวนั้นเท้าของเธอได้เตะเข้าใส่ ฉินมู่ อย่างกับใบมีดที่แหลมคม
ทักษะขาที่เธอใช้นั้นทั้งแหลมคมและแม่นยำ การเตะแล่ละครั้งนั้นดูเหมือนค้อนยักษ์ที่เต็มไปด้วยหนามและทำให้สิ่งรอบข้างนั้นสั่นสะเทือน
ทักษะขานี้สามารถทำลายหินก้อนใหญ่ได้ง่ายๆและแม้แต่แทงทะลุกำแพงเหล็กได้ด้วย !
ตาของ ฉินมู่ เป็นประกายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับลูกเตะลมกรดของ ศิษย์พี่ฉิง !
เมื่อคิดกลับไปถึงการฝึกของเขา เขาก็จำที่ปู่ด้วนบอกกับเขาได้ว่าทักษะขาสวรรค์นั้นไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับทักษะขาใดๆ !