Chapter 10:การรุกรานของความมืดมิด
เหงื่อหยดลงจากหน้าผากของ ศิษย์พี่กู่ พร้อมกับที่เขาพูดออกมา - “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่มีใครเอาของพวกนี้ออกไปได้ ศิษย์น้องฉิง แต่ละคนน่ะมีความคิดเป็นขอตัวเอง ! พวกเขาจะโจมตีคนที่ไม่ใช่อาจารย์ของพวกเขา !”
ศิษย์พี่ฉิง ขนลุกซุ่พร้อมกับพยักหน้าให้เห็นว่าเธอเข้าใจ
“สิ่งประดิษฐ์พวกนี้อยู่ที่นี่มาโดยตลอด !” - ฉินมู่ ตะโกนออกมา – “ไม่มีใครเอามันออกไปได้ แม้แต่สัตว์อสูรก็ยังรู้ได้ว่ามันอันตราย ! ” เจ้าเองก็รู้แล้วแต่ยังใช้ศิษย์น้องของเจ้ามาทดสอบ ด้วยจิตใจที่อำมหิตของเจ้า เจ้านั่นแหละคือปิศาจที่แท้จริง ! “
“ปิศาจนั่นปั่นหัวเราอีกแล้ว ! ” – ศิษย์พี่กู่ พูดขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าแสดงความเศร้าออกมา – “เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของข้ากับศิษย์น้อง ? ปิศาจน้อยก็ยังคงเป็นปิศาจอยู่วันยังค่ำ เจ้าคิดว่าหัวใจข้านั้นจะเหมือนหัวใจปิศาจของเจ้าอย่างนั้นเหรอ ข้าจะไม่เถียงกับเจ้า เมื่อพรุ่งนี้มาถึง ข้าจะส่งเจ้าไปนรกเอง”
ฉินมู่ คิ้วขมวด
ไอ้กู่ นี่ช่างหยาบคายและอำมหิตซะจริง ถ้าเขาปล่อยให้ศิษย์น้องตัวเองออกไปตายได้ แน่นอนว่าเขาคงไม่ปล่อยให้ ฉินมู่ รอดไปได้แน่
โชคร้ายสำหรับ ฉินมู่ ที่ ศิษย์พี่กู่ คนนนี้แข็งแกร่งอย่างมาก ฉินมู่ นั้นไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้เลยนี่ยังไม่รวมถึงว่าเขามี ศิษย์พี่ฉิง ที่แข็งแกร่งคอยช่วยอยู่ด้วย
ทันใดนั้นพื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนทำให้ข้างในนั้นเองก็สั่นสะเทือนตามไปด้วย สัตว์อสูรต่างก็ร้องโหยหวนออกมาราวกับว่าบ่งบอกว่าที่นี่คือที่ของพวกมัน ทุกตัวมองไปที่ประตูด้านหน้าซากปรักหักพังและสีหน้าก็แสดงความกังวลและความกลัวออกมา
“สัตว์พวกนี้กลัวอะไรกัน ?”
ในตอนที่คำถามนี้แว็บขึ้นมาในหัวก็ได้มีความมืดอันเข้มข้นไหลทะลุประตูออกมาอย่างกับน้ำท่วม !
ฉินมู่ นั้นถอยกลับไปด้วยความกลัวแต่เขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างที่คล้ายกับบาเรียกันที่ประตูอยู่คอยกลั้นความมืดไม่ให้ไหลเข้ามา ความมืดนั้นถาโถมเข้าใส่บาเรียนั้นพยายามจะฝ่าเข้ามาให้ได้ !
บาเรียเริ่มบิดเบี้ยวคอยรับมือบาเรียที่ไหลทะลักเข้ามาแต่มันยังไม่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ความมืดที่ไหลทะลักเข้ามาเปลี่ยนรูปร่างเป็นเล็บที่คมกริบเข้าโจมตีที่บาเรียนั่น
จากนั้นอยู่ๆความมืดที่ถาโถมเข้ามาก็ได้หยุดลง ความเงียบเริ่มครอบคลุมอีกครั้ง หลังจากนั้นสักพักบาเรียก็ได้บิดตัวไปมาก่อนจะ...ยืดตัวออก
ความมืดเข้าถาโถมอีกครั้งจนกระทั่งมันก่อตัวเป็นรูปร่างใบหน้า มันมีขนาดใหญ่มากๆ หน้าผากของมันมีขนาดสูงไปจนถึงท้องฟ้าและคางนั้นกดลงมาที่พื้น
สัตว์อสูรทุกตัวต่างก็หมอบไปกับพื้น พวกมันไม่กล้าที่จะขยับเลยแม้แต่นิดเดียว พวกมันไม่กล้าแม้กระทั่งมองไปที่ใบหน้านั้นด้วยซ้ำ
ใบหน้านั้นมีตาที่เหมือนหลุมดำ เมื่อมองไปที่ดวงตานั่นร่างกายของ ฉินมู่ นั้นหนาวเย็นขึ้นมาราวกับว่าวิญญาณเขาถูกดูดดเข้าไปในความมืดมิดนั้น !
มีคำพูดหลุดอกอมาจากใบหน้าอันมืดมิดนั้น
“@#$%#@$%^#@$%^@#$%^#$%^&….” - มันพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มๆสั่นๆแต่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
เสียงนั้นสั่นเพราะมีหลายเสียงที่ผสมรวมกัน แรงที่เสียงนั้นส่งมาทำให้ซากปรักหักพังนั้นสั่นสะเทือน ปราสาทเริ่มมีรอยแตกขึ้นมา เสาเองก็เริ่มแตกออกเป็นชิ้นๆจนเสาหลายต้นเริ่มแตกออกจากแรงสั่นสะเทือนเหล่านั้น
ในตอนที่เศษหินเริ่มตกลงมาจากประตูเนื่องจากแรงสั่นสะเทอนนี้ มันก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่ามันคงทนไม่ไหวอีกต่อไป
แต่ในตอนนั้นเองก็ได้มีแสงสว่างอันสดใสเปล่งออกมาจากลาน ไข่มุกที่ส่องแสงลอยตัวขึ้นจากมือของโครงกระดูกแล้วเริ่มเปล่งแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นแสงที่สว่างด้านหลัง ฉินมู่ ก็หันกลับไปและพบว่าไข่มุกขึ้นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงที่ส่องออกมาจากมันนั้นมีสีที่แตกต่างกันและเป็นสีที่เข้มข้นซะเหลือเกิน
แสงสีต่างๆได้สาดลงมายังโครงกระดูกนับร้อย โครงกระดูกทุกตัวที่โดนแสงเหล่านั้นอาบเริ่มกลับมามีชีวิต
ฉินมู่ อึ้งกับสิ่งที่เห็น
สำหรับเขาแล้ว โครงกระดูกที่อาบแสงเหล่านี้ไม่ได้เหมือนโครงกระดูกอีกต่อไป
พวกมันดูสวยงาม มีเลือดเนื้อและเป็นสาวสวยที่มีริมฝีปากสีชมพูดและเสื้อผ้าที่สีสดใส !
สาวๆเหล่านี้นั่งอยู่ที่ลานที่ซึ่งโครงกระดูกเคยนั่งอยู่ ผู้นำของพวกเขาเองก็เป็นผู้หญิงด้วยเช่นกันซึ่งคือคนที่เคยถือไข่มุกซึ่งตอนนี้กำลังลอยอยู่บนอากาศ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิด สาวๆเหล่านั้นเริ่มท่องภาษาแปลกๆออกมาซึ่งยากที่จะเข้าใจได้
“$%^%#$%^#$%^#$%#$%#$%^...” - เสียงของพวกเธอนุ่มนวลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เสียงของความมืดดังขึ้นเรื่อยๆและทำให้แรงสั่นสะเทือนนั้นทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก ในตอนที่ความมืดรอบๆซากนั้นเริ่มทะลักเข้ามา เสียงของสาวๆเหล่านั้นก็ชัดเจนและทรงพลังยิ่งขึ้น แสงจากไข่มุกที่ลอยอยู่นั้นได้ปลดปล่อยคลื่นแสงหลายสีส่องสว่างเข้าไปในความมืดมิด ทำให้มันกระจายตัวออกไปคล้ายกับควัน
เสียงของความมืดมิดและเสียงของเหล่าสาวๆนั้นเหมือนกับการต่อสู้ระหว่างเทพกับปิศาจ !
การต่อสู้อันไม่สามารถจินตนาการได้เกินกว่าที่ ฉินมู่ จะคิดได้ทัน แม้ว่าจะอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้มานานแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรื่องแบบนี้
“เสียงนี่..” – เขากระซิบกับตัวเองและตะลึงกับสิ่งที่เห็น
เสียงของสาวๆที่ดังขึ้นมานี้ทำให้เขานึกถึงเสียงของพระเจ้าที่เขาได้ยินตอนที่เขาพยายามที่จะทำลายกำแพงแก่นวิญญาณลง ทั้งสองเสียงนั้นฟังดูสูงสง่า เขารู้สึกได้ว่าคำพูดของทั้งสองเสียงนั้นต่างกันแต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้นั้นเหมือนกัน
ในตอนที่เขาพยายามที่จะทำลายกำแพงแก่นวิญญาณด้วยพลังฉี ฉินมู่ ได้ยินเสียงนี้ดังก้องจากสวรรค์เบื้องบน ทุกครั้งที่เสียงนี้ดังขึ้นมา เขาจะควบคุมพลังฉีภายในไม่ได้และมันจะถอยออกจากกำแพงแก่นวิญญาณและไม่สามารถทำลายกำแพงนั้นลงได้
ตอนนี้สองเสียงนี้ยังคงทำการต่อสู้กันอยู่ ทั้งสองเสียงนั้นก็ทรงพลังในทางของตัวเองและไม่ได้มีฝ่ายไหนที่ได้เปรียบกันเลย
เสียงของปิศาจนั้นดังพ้องกันมาจากความมืดมันแข็งแกร่งและน่ากลัว ในขณะที่เสียงของเหล่าสตรีพวกนี้เป็นเสียงของสวรรค์ที่คงอยู่มานาน ทุกครั้งที่เสียงของปิศาจนั้นเหมือนจะได้เปรียบ สตรีเหล่านี้มักจะกดดันคืนด้วยบทคาถาที่พวกเธอท่องออกมา
ในอีกด้านเสียงของปิศาจมักจะดันกลับมาได้หลังจากที่เสียความได้เปรียบไป มันถอยกลับไปก่อนจะพุ่งกลับคืนมาราวกับน้ำอันเชี่ยวกราด
ทั้งสองเสียงนั้นต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
ฉินมู่ ครุ่นคิดพร้อมกับฟังเสียงของสตรีเหล่านี้และได้มีความคิดหนึ่งแว็บเข้ามาในหัว
“เสียงของปิศาจนั้นกำลังสู้กับเสียงของพระเจ้า เสียงของพระเจ้านี้คล้ายกลับเสียงที่อยู่ในหัวข้าไม่ให้ข้าทลายกำแพง..บางทีข้าอาจจะใช้เสียงของปิศาจรับมือกับเสียงนั่นได้ !”
ฉินมู่ มั่นใจกับวิธีที่เขาคิดขึ้นมา เขาเริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นแบบนั้น !
ตราบใดที่เขาเรียนคำพูดจากเสียงของปิศาจที่กำลังทำการท่องอยู่นี่ เขาจะสามารถพูดมันออกมาตอนที่เสียงของพระเจ้าดังขึ้นในหัวเขา การทำแบบนี้จะเป็นการรับมือเสียงจากสวรรค์และทำให้พลังฉีของเขาสามารถทลายกำแพงแก่นวิญญาณได้ !
ตราบใดที่เขาสามารถทลายกำแพงแก่นวิญญาณได้....ด้วยร่างราชัยน์และทักษะร่างราชันย์สามชีวิต เขาไม่จำเป็นต้องกลัว ศิษย์พี่กู่ และ ศิษย์พี่ฉิง !
แต่ในตอนที่เขาคิดได้ดังนั้น อยู่ๆเขาก็นิ่งราวกับมีน้ำเย็นมาราดใส่หัวเขา
ถ้าเสียงในหัวเขาเป็นเสียงจากสวรรค์จริงๆและเขาใช้บทสวดปิศาจเพื่อรับมือมัน มันไม่ได้หมายความมว่าเขาคือปิศาจที่ถูกพระเจ้าผนึกไว้หรอกหรือ ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ศิษย์พี่กู่ และคนอื่นๆพูดถูกมาโดยตลอด ? เขาเป็นปิศาจจริงๆอย่างนั้นหรือ ?
“มะ-ไม่ !” - ฉินมู่ ส่ายหนร้า ถ้าเขาเป็นปิศาจจริง งั้นร่างราชันย์ของเขาก็ต้องเป็นของปิศาจด้วยสิ ?
ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมทุกคนในหมู่บ้านถึงเรียกมันว่าร่างราชันย์ ? ไม่ใช่ว่ามันควรชื่อ ‘ ร่างปิศาจ ‘ จะเหมาะกว่าหรือ ?
“ใครสนว่ามันจะเป็นร่างอะไร ! อย่างแรกข้าต้องทลายกำแพงแก่นวิญญาณก่อน !”
เมื่อตัดสินใจแล้ว ฉินมู่ ก็ลงมือทันที เขาเริ่มจดจำบทสวดจากเสียงของความมืด ทั้งน้ำเสียงและทำนอง
เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าเขาจำมันได้หมด ฉินมู่ ก็ได้ใช้ทักษะร่างราชันย์สามชีวิตในการโคจรพลังฉีของเขา ในตอนที่เขาผลักดันพลังฉีไปใส่กำแพงแก่นวิญญาณซึ่งอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา เขาก็ท่องบทสวดของปิศาจออกมาด้วย !