Chapter 1: อย่าออกไปข้างนอกในตอนที่มืด
‘ อย่าไปข้างนอกตอนกลางคืน ‘
นี่คือคำพูดที่หมู่บ้านคนพิการพูดต่อกันมาเรื่อยๆหลายปีแต่มันเริ่มพูดกันเมื่อไหร่นั้นไม่มีใครรู้ ส่วนต้นตอของมันนั้นยังไม่มีใครรู้ได้
ในหมู่บ้านคนพิการนี้ ท่านย่าซี เริ่มกังวลพร้อมกับมองไปยังพระอาทิตย์ที่ค่อยๆลับภูเขาไป ในตอนที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วลำแสงสุดท้ายก็ได้หายไปทำให้ทั้งโลกตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงไหนดังขึ้นมาเลย สิ่งเดียวที่มีให้เห็นก็คือ ความมืดที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาทิศตะวันตกค่อยๆกลืนกินไปทั่วทั้งภูเขา, แม่น้ำ,และต้นไม้ตามทางก่อนจะเข้ามากลืนกินหมู่บ้านแห่งนี้ไป
มีรูปปั้น 4 อันที่ตั้งอยู่แต่ละมุมของหมู่บ้าน รูปปั้นพวกนี้นั้นทั้งเก่าและมีรอยดำด่างซึ่งแม้แต่ ท่านย่าซี ยังไม่รู้ว่าใครแกะสลักมันขึ้นมาและมันตั้งอยู่ที่นี่ได้ตั้งแต่ตอนไหน
เมื่อความมืดครอบคลุมรูปปั้นทั้งสี่นั้นได้ส่องแสงออกมานิดๆ เมื่อเห็นรูปปั้นนั้นส่องแสงออกมาอย่างเช่นเคย ย่าซี และผู้เฒ่าคนอื่นๆในหมู่บ้านได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ความมืดข้างนอกนั้นเริ่มมืดหม่นลงเรื่อยๆแต่แสงจากรูปปั้นนั้นทำให้หมู่บ้านนี้รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นมา
อยู่ๆหูของ ย่าซี ก็กระดิกไปมาเพราะได้ยินเสียงร้องในความเงียบงันแบบนี้ – “ทุกคนฟัง ! มีเด็กร้องอยู่ข้างนอกนั่น !”
นอกจากเธอแล้ว เฒ่าหม่า ก็ส่ายหน้าและตอบกลับ – “เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าคงได้ยินอย่างอื่นแทน........อ่า นั่นไงมีเสียงเด็กร้องจริงๆด้วย !”
“ข้าจะไปดู !”
ย่าซี เริ่มตื่นเต้นและรีบวิ่งไปที่รูปปั้นตัวหนึ่งของหมู่บ้าน เฒ่าหม่า เองก็รีบไปด้วยเช่นกัน – “เจ้าจะบ้าไปแล้วเหรอ ยัยแก่ซี ? ออกจากหมู่บ้านตอนมืดนี่เท่ากับตายเลยนะ !”
“สิ่งที่อยู่ในความมืดน่ะมันกลัวรูปปั้นหิน ข้าไม่ตายง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกถ้าข้าแบกรูปปั้นนี่ออกจากหมู่บ้านไปด้วย !”
เฒ่าหม่า ส่ายหน้า – “ให้ข้าทำเอง ข้าจะแบกรูปปั้นไปเอง !”
มีผู้เฒ่าอีกคนเดินมาข้างๆพร้อมกับตะเกียงและพูดขึ้น – “เฒ่าหม่า แกแบกรูปปั้นนี้นานด้วยแขนที่เหลือแค่แขนเดียวไม่ได้หรอก ให้คนแขนครบแบบข้าทำดีกว่า”
เฒ่าหม่า มองไปที่อีกฝ่าย – “แกจะเดินได้ด้วยขาลีบๆน่ะเหรอ ? ข้าอาจจะมีแค่แขนเดียวแต่ก็มีแรงเยอะอยู่แล้วน่า !”
ด้วยขาสองข้างที่มีอยู่ทำให้เขาพอแบกรูปปั้นหินด้วยแขนข้างเดียวได้ – “ยัยเฒ่าซี ไปกันเถอะ !”
“หยุดเรียกข้าแบบนั้นได้แล้ว ! ให้พวกพิการและคนใบ้มาเฝ้าระวังไว้ เพราะหมู่บ้านจะขาดรูปปั้นไปหนึ่งอัน เราต้องมั่นใจว่าไม่มีอะไรหลุดรอดจากความมืดเข้ามาในหมู่บ้าน !”
…...
ในตอนที่ เฒ่าหม่า และ ย่าซี เดินออกจากหมู่บ้านก็ได้มีสิ่งแปลกๆและไม่รู้นั้นลอยจากความมืดเข้ามาล้อมรอบตัวพวกเขา แต่ตอนที่รูปปั้นได้ส่องแสงออกมา สิ่งพวกนั้นก็ถอยกลับไปในความมืดทันที
หลังจากตามเสียงร้องเด็กไปกว่าร้อยก้าว เฒ่าหม่า และ ย่าซี ก็ได้มาถึงแม่น้ำเส้นใหญ่ ที่นี่คือที่ที่เด็กร้องอยู่ แสงสลัวจากรูปปั้นนั้นส่องแสงได้ไม่ไกลเลยทำให้ทั้งคู่นั้นต้องตั้งใจฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหนแล้วเดินทวนน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ หลังจากเดินมาอีกหลายสิบก้าวเสียงร้องนั้นก็เหมือนจะอยู่ใกล้ๆ ในเวลาเดียวกันแขนข้างเดียวของ เฒ่าหม่า ก็เริ่มหมดแรง ย่าซี ใช้ตาของเธอมองไปรอบๆและพบกับแสงสว่างบางอันส่องออกมาจากที่ไกลๆ แสงนั้นมาจากตะกร้าซึ่งวางอยู่ที่แม่น้ำและมันยังเป็นที่ที่เด็กนั่นร้องไห้อยู่
“นั่นเด็กจริงๆด้วย !”
ย่าซี เดินเข้าไปข้างหน้าแล้วหยิบตะกร้าขึ้นมาแต่เธอก็ต้องตกใจเมื่อตระหนักว่าเธอยกมันขึ้นมาไม่ได้ ใต้ตะกร้านั้นมีมือซีดๆลอยขึ้นมาข้างๆแม่น้ำ มือคู่นี้ชูตะกร้าและเด็กขึ้นมาผลักมันให้ขึ้นฝั่ง
“ไม่ต้องกังวล เด็กปลอดภัยแล้ว” ย่าซี พูดขึ้นเบาๆกับผู้หญิงที่จมอยู่
เหมือนกับศพนั่นจะได้ยินคำพูดของเธอ มือนั้นค่อยๆปล่อยตะกล้าออกแล้วหายไปในความมืด ศพนั้นโดนกระแสน้ำพัดออกไป
ย่าซี ยกตะกร้าขึ้นมาและข้างในนั้นคือเด็กน้อยที่มีผ้าห่อตัวอยู่ จี้หยกที่วางอยู่บนผ้านั้นส่องแสงสีขาวออกมา แสงที่หยกนี้และรูปปั้นส่องออกมานั้นเหมือนกันอย่างมากแต่แสงจากหยกนั้นดูจะอ่อนแรงกว่า นี่คือหยกที่ปกป้องเด็กในตะกร้าไม่ให้เจอกับอันตรายกับสิ่งที่อยู่ในความมืด
เพราะแสงจากหยกนี่มันอ่อนแรง มันจึงทำได้แค่ปกป้องเด็กเอาไว้แต่ไม่ได้ปกป้องผู้หญิงคนนั้น
“เด็กผู้ชายนิ”
ทั้งคู่ได้กลับมาที่หมู่บ้าน คนในหมู่บ้าทุกคนที่มารวมตัวกันนั้นล้วนแต่เป็นผู้เฒ่า,อ่อนแอ,ป่วยและพิการ ย่าซี ถอดเอาผ้าที่ห่อตัวเด็กออกและยิ้มยิงฟันที่เหลือออกมาให้เห็น – “ในที่สุดก็มีคนสุขภาพดีมีทุกอย่างครบถ้วนในหมู่บ้านของเราแล้ว !”
ชายพิการซึ่งมีแค่ขาเดียวได้ถามออกมาด้วยความแปลกใจ – “นี่เจ้าคิดจะเลี้ยงเขาเหรอ ยัยแก่ซี ? เราน่ะดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ! ข้าคิดว่าเราควรทิ้งเขาไปซะ ....”
ท่านย่าซี โกรธขึ้นมา – “ข้า หญิงแก่ๆ คนนี้แหละ จะเลี้ยงดูเด็กนี่เอง ทำไมต้องทิ้งเขาด้วย ?”
กลุ่มชาวบ้านต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก ไม่นานผู้ใหญ่บ้านก็โดนหามเข้ามา เขาดูแย่กว่าคนอื่นเล็กน้อย อย่างน้อยคนอื่นก็ยังมีแขนขา แต่เขาน่ะไม่มีเลยสักอย่างแต่ทุกคนก็ยังเคารพเขา แม้แต่คนดุอย่าง ย่าซี เองก็ไม่กล้าที่จะทำตัวหยาบคาย
“ เพราะเราจะเลี้ยงดูเขา ไม่ใช่ว่าเราควรตั้งชื่อให้เขาเหรอ ?” - เธอถามขึ้นมา
ผู้ใหญ่บ้าน ตอบกลับ – “ยัยแก่ เจ้าเห็นอย่างอื่นในตะกร้าบ้างมั้ย ?”
ย่าซี เดินเข้าไปที่ตะกร้าแล้วส่ายหน้า – “ไม่มีของอย่างอื่นเลยนอกจากจี้หยกนี่ มีคำว่า ‘ ฉิน ‘ อยู่บนจี้นี้ ตัวหยกนี้ไม่ได้มีรอยแตกอะไรอีกและยังมีพลังแปลกๆอีกด้วย แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่...รึว่ามันจะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ? ”
“งั้นเขาน่าจะชื่อว่า ฉิน รึไม่ก็แซ่ ฉิน ?”
ผู้ใหญ่บ้านตั้งคำถามขึ้นมาก่อนคิดสักพักแล้วพูดขึ้น – “งั้นให้แซ่ว่า ฉิน ก็แล้วกัน ให้ชื่อว่า มู่ แทน ฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้นมาให้เขาไปเลี้ยงแกะ นั่นน่าจะทำให้เขาอยู่รอดต่อไปได้”
“ฉินมู่” - ย่าซี มองไปที่เด็กตัวน้อยที่ซึ่งไม่ได้กลัวเธอและหัวเราะคิกคักโดยไม่สนอะไรเลย
...
เสียงของขลุ่ยดังก้องไปทั่วแม่น้ำ เด็กเลี้ยงแกะนั่งอยู่บนวัวกำลังเล่นเพลงจากขลุ่ยของเขา เด็กนี่ดูอายุได้ 11-12 ปีและมีหน้าตาที่หล่อเหลาอย่างริมฝีปากสีแดงและฟันสีขาว ด้วยการที่เปิดเสื้อออกครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นจี้หยกที่ห้อยอยู่ตรงกลางอกของเขา
เด็กหนุ่มนี้คือทารกที่ ย่าซี เก็บมาจากแม่น้ำเมื่อ 11 ปีก่อน ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านนั้นคอยเลี้ยงดูเด็กนี้กันมาหลายปี ย่าซี เองก็ไปเจอวัวตัวหนึ่ง ในตอนที่ ฉินมู่ ยังเด็ก มันจะให้นมวัวทุกวัน และอยู่ผ่านช่วงการหย่านมมาได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่า ท่านย่าซี นั้นได้วัวนั้นมาจากไหน
แม้ว่าคนในหมู่บ้านนั้นจะเป็นคนโหดร้ายแต่ทุกคนก็ดีกับ ฉินมู่ กันหมด ท่านย่าซี นั้นเคยเป็นช่างทอผ้า และส่วนมากในตอนกลางวัน ฉินมู่ จะเรียนรู้วิธีทอผ้าจากเธอ , วิธีเรียกชื่อสมุนไพรจากคนปรุงยา, วิธีใช้ทักษะขาจากท่านปู่แขนขาด, วิธีฟังตำแหน่งที่เกิดเสียงจากท่านปู่ตาบอด และวิธีปรับลมหายใจโดยเรียนรู้จากผู้ใหญ่บ้าน ผลก็คือวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วัวที่ได้มานั้นคอยให้นมตั้งแต่เขายังเด็ก ท่านย่าซี คิดที่จะขายมันทิ้งแต่ ฉินมู่ มาค้านเอาไว้ ดังนั้นงานในการเลี้ยงดูวัวจึงตกเป็นของเขา
ฉินมู่ นั้นมักจะพาวัวไปกินหญ้าข้างๆแม่น้ำและคอยชื่นชมพูเขาสีเขียวและท้องฟ้าอันสดใส
“ฉินมู่ ! ฉินมู่ ! ช่วยข้าที !”
ทันใดนั้นวัวที่ ฉินมู่ นั่งอยู่บนหลังมันก็เริ่มพูดออกมา มันทำให้เขาช็อคอย่างมากก่อนที่จะกระโดดลง เขาเห็นแค่ตาของวัวนั้นมีน้ำตาไหลอาบลงมาและมันพูดเป็นภาษามนุษย์ –“ ฉินมู่ เจ้ากินนมข้าตั้งแต่เจ้ายังเด็ก ข้านับว่าเป็นแม่ของเจ้าได้เลย ดังนั้นเจ้าต้องช่วยข้า !”
ฉินมู่ ทำตาปริบๆและถามออกมา – “ข้าจะช่วยเจ้ายังไง ?”
วัวได้พูดขึ้น – “ เคียวที่อยู่ตรงเอวเจ้า ตัดผิวของข้าซะจะได้ปลดกับดักออกจากตัวข้าได้
ฉินมู่ ลังเล
“เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าข้าน่ะเลี้ยงเจ้ามา ?” - วัวถาม
ฉินมู่ ยกเคียวขึ้นมาและค่อยๆตัดที่ผิวของวัว มันแปลกแต่ตอนที่ผิวของมันถูกลอกออก มันก็ไม่ได้มีแม้แต่เลือดสักหยดเดียวไหลออกมา ด้านหลังผิวนั้นก็ยังว่างเปล่าอีกด้วย - ไม่มีเนื้อรึกระดูกให้เห็นเลย
เขาลอกหนังวัวมาได้ครึ่งหนึ่งก็ได้มีผู้หญิงอายุประมาณ 20-30 ปีกลิ้งออกมา ขาทั้งสองข้างนั้นยังคงห่อกันอยู่ในตัววัว ผิวของเธอและผิวของวัวนั้นเชื่อมต่อกันแต่ร่างกายส่วนบนนั้นถูกลอกออกจากผิวเรียบร้อยแล้ว
เธอสะบัดผมแล้วคว้าเอาเคียวจากมือของเขาไปและตัดผิววัวที่ติดกับขาของเธอออกด้วยการสะบัด 2-3 ครั้ง เธอหันมามอง ฉินมู่ ด้วยท่าทีโหดร้ายและชี้เคียวมาที่เขาแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา – “สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ตัวจ้อย ! ข้าได้เปลี่ยนเป็นวัวเพราะเจ้าเป็นเวลาถึง 11 ปี ข้ากินได้แค่หญ้าและทำได้แค่ต้องให้นมเจ้า ! ข้าเพิ่งให้กำเนิดลูกน้อยของข้าก่อนที่นั่งแม่มดจะสาปข้าให้เป็นวัวเพื่อมาให้นมเจ้า ! ตอนนี้ข้าเป็นอิสระแล้ว ! ข้าจะฆ่าเจ้า จากนั้นก็จะฆ่าทุกคนในหมู่บ้านซะ !”
ฉินมู่ อึ้งและไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ออกมาจากตัววัวนี้พูดอะไร
ในตอนที่เธอกำลังจะฟันเขานั้น อยู่ๆเธอก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาจากตรงกลางหลัง เธอมองลงไปและพบว่ามีมีดทะลุออกมาจากอกของเธอ
“มู่เอ๋อ ย่าหมออยากให้เจ้ากลับบ้านเพื่อไปทำยา” – ศพผู้หญิงนั้นล้มลงไปกองกับพื้น ด้านหลังเธอนั้นมีรอยยิ้มส่งมาให้ ฉินมู่ และจับมีดนั้นอยู่นั่นคือปู่ที่แขนขาดข้างหนึ่งจากหมู่บ้าน
“ปู่...” - ตัวของ ฉินมู่ รู้สึกชาขึ้นมาในตอนที่มองไปที่หนังวัวและศพของผู้หญิงคนนั้น
“กลับไปเดี๋ยวนี้” - ปู่นั้นตบไหล่เขาและหัวเราะออกมา
ในตอนที่ ฉินมู่ เดินกลับหมู่บ้านนั้น เขาได้หันหลังกลับมามองดูและพบว่าปู่คนนั้นกำลังโยนศพผู้หญิงนั้นลงไปที่แม่น้ำ
ฉากนั้นส่งผลกับเขาอย่างมากโดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากลับมาถึงหมู่บ้านนี้เมื่อไหร่
“ฉินมู่ ! เด็กบ้า ข้าบอกเจ้าว่ายังไง ? อย่าไปข้างนอกตอนมืด !”
เพราะความมืดเริ่มครอบงำ รูปปั้นหินทั้งสี่มุมของหมู่บ้านก็เริ่มส่องแสงออกมาอีกครั้ง ท่านย่าซี หยุด ฉินมู่ ที่ซึ่งคิดจะแอบหนีออกจากหมู่บ้านเพื่อไปดูหนังวัวและเธอก็ได้ลากเขากลับมา
“ย่า ทำไมเราถึงออกไปตอนมืดไม่ได้ ?” - ฉินมู่ ถามและเงยหน้าขึ้น
“ในตอนที่ท้องฟ้ามืดนั้นจะมีบางอย่างที่น่ากลัวอยู่รอบๆในความมิดมิดนั้น การออกไปข้างนอกนั้นหมายถึงความตาย” - ท่านย่าซี พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด – “รูปปั้นหินของหมู่บ้านนั้นปกป้องเราอยู่และสิ่งที่อยู่ในความมืดนั้นไม่กล้าที่จะเข้ามาในหมู่บ้าน”
“หมู่บ้านอื่นมีรูปปั้นหินแบบนี้ด้วยรึเปล่า ?”- ฉินมู่ ถามด้วยความสงสัย
ท่านย่าซี พยักหน้าแต่เธอมองไปข้างนอกหมู่บ้านด้วยสีหน้ากังวลและพึมพำกับตัวเอง – “ไอ้แขนด้วนน่าจะกลับมาแล้วนิ....ข้าไม่ควรให้เขาไปเลย เขาน่ะมีแค่แขนเดียวแท้ๆ....”
“ย่า มีบางอย่างแปลกเกิดขึ้นวันนี้ ....”
ฉินมู่ ลังเลสักพักก่อนจะบอกเรื่องผู้หญิงที่โผล่ออกมาจากท้องวัวให้ ท่านย่าซี ฟัง ท่านย่าซี ตอบด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ – “เจ้าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นหรอกเหรอ ? ไอ้ด้วนบอกข้าแล้ว เขาน่ะจัดการเรียบร้อยแล้ว ในตอนที่เจ้าอายุได้สี่ปี ข้าต้องการจะขายวัวนั่นทิ้งแต่เจ้าห้ามเอง ข้าเลยให้เจ้าดูแลมัน เจ้าเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมั้ยล่ะ ? ข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องรู้สึกกับวัวนั่นถ้าเจ้าดื่มนมของมันไปจนเจ้าอายุได้สี่ปี”
ฉินมู่ หน้าแดงขึ้นมา สี่ขวบแน่นอนว่าควรเป็นวัยที่ควรหย่านมไปนานแล้วแต่มันคงไม่สำคัญหรอก ถูกมั้ย ?
“ย่า ปู่ฆ่าผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว...”
“ก็ดีแล้ว” - ท่านย่าซี หัวเราะออกมา – “เธอได้ทำการต่อรอง เธอต้องตายเมื่อ 11 ปีก่อนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าต้องการนม เธอจะมีชีวิตมาจนถึงวันนี้รึ ?”
ฉินมู่ ไม่รู้ว่าย่านั้นพูดถึงอะไร
ท่านย่าซี มองมาที่เขาและพูดขึ้น – “ผู้หญิงคนนั้นคือเมียของเจ้าเมืองพรมแดนมังกรซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปหลายพันไมล์ เมืองพรมแดนมังกรนั้นเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตัณหาและผู้หญิงคนนั้นก็มีความอิจฉาที่เกิดได้ง่าย เจ้าเมืองชอบที่จะออกไปพบสาวๆและมักจะลักพาตัวหญิงจากชนชั้นสูง และทุกครั้งเจ้าเมืองทำให้สาวเหล่านั้นมีมลทิน เมียของเขาจะส่งคนไปจัดการพวกนั้นจนตาย ข้าได้แอบเข้าไปในเมืองเพื่อลอบจัดการนางแต่ในตอนที่ข้าเห็นว่านางนั้นเพิ่งคลอดลูกที่อายุได้ 3 เดือนและพบว่านางมีนมที่เจ้าต้องการอยู่ ข้าเลยเปลี่ยนให้นางเป็นวัว ข้าไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะหลุดออกจากผนึกได้และยังพูดได้อีก อีกทั้งยังเกือบทำอันตรายเจ้าด้วย”
เขาอึ้ง ฉินมู่ ได้ร้องออกมา – “ย่า ท่าเปลี่ยนมนุษย์เป็นวัวได้ยังไง ?”
ท่านย่าซี หัวเราะคิกคักและเผยรอยยิ้มออกมา – “เจ้าอยากเรียนมันงั้นเหรอ ? ข้าจะสอนเจ้า...โอ้เจ้าด้วนกลับมาแล้ว !”
ฉินมู่ มองออกไปและพบว่าปู่นั้นได้กับมาแล้วพร้อมกับใช้มือข้างจับเข้าที่ท้องและมืออีกข้างแบกสัตว์อสูรที่หลัง ความมืดนั้นไหลเข้ามาในหมู่บ้านอย่างกับคลื่นที่โกรธเกรี้ยวทำให้ ท่านย่าซี ตะโกนออกมาด้วยความกังวล – “รีบเร็วเข่า ! เจ้าด้วน ! เร็วอีก !”
“รีบไปไหนกัน ?”
ปู่คนนั้นเดินเข้ามาที่หมู่บ้านด้วยความเร็วที่คงที่และในตอนที่เขาเข้ามาในหมู่บ้านแล้วความมืดนั้นก็ทะลักเข้ามา สัตว์อสูรอยู่บนหลังเขานั้นคือเสือหลากสี มันยังมีชีวิตอยู่ ความมืดพุ่งเข้าไปที่หางของมันและทำให้มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ฉินมู่ รีบวิ่งไปด้านหลังเพื่อดูและพบว่าสิ่งที่เหลือตรงหางของมั้นมีแค่กระดูกเท่านั้น ผิว,ขนและเนื้อนั้นได้หายไปราวกับมีบางอย่างกัดพวกมันออกไปหมด
ฉินมู่ มองไปที่ความมืดนอกหมู่บ้านด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่อาจมองเห็นอะไรได้จากความมืดเหมือนกับหลุมดำแบบนี้
“มีอะไรอยู่ในความมืดนั้นกันแน่ ?”- เขาคิด