บทที่ 174: ทางเลือกสุดท้าย
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
บทที่ 174: ทางเลือกสุดท้าย
อาวุโสใบหน้าสีแดงจะเอาชนะทั้งสองคนนั้นได้อย่างไร? แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถูกลากออกไป ดังนั้นจึงตะโกนออกมาว่า “ข้าจะบอกว่าเรามีภารกิจที่นี่ เรายังไม่ได้ตรวจสอบความสำเร็จของสำนักแห่งนี้เลย!”
“ตรวจสอบศีรษะของเจ้าน่ะสิ! เจ้าไม่ต้องการที่จะกลับไปงั้นหรือ? เขาผ่านแล้ว!” อาวุโสหัวโล้นตะโกนกลับมา
“อะไรกัน พวกเจ้าเพียงอยู่ที่แห่งนี้เพียงชั่วโมงเดียว อะไรกันที่เจ้าตรวจสอบ? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้ากำลังละเลยหน้าที่ของตนเอง!” อาวุโสใบหน้าสีแดงกล่าวพร้อมกับร่ำไห้ออกมา
“ข้าสามารถบอกได้ว่าเขาตรวจสอบแล้ว!” อาวุโสหัวโล้นตะโกนกลับมา “ตามกฎของสำนักถ้าหากมีสองคนที่ยอมรับ ถือว่าพวกเขาผ่านการทดสอบ! และในตอนนี้เราทั้งสองคนได้ตรวจสอบและอนุมัติคำขอจากจ้าวสำนักแห่งนี้แล้ว! เจ้าต้องการจะทำอะไร?”
ในขณะที่อาวุโสใบหน้าสีแดงได้ยินเช่นนั้น เขาไร้คำที่จะกล่าวออกมาพร้อมบ่นอย่างเหลืออด“พวกเจ้าสองคนช่างบัดซบยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าทั้งสองต้องการกลับไปดื่มชาวิถีเต๋าและหลุดออกจากสภาวะตีบตัน แต่เจ้ากลับพูดจาเหมือนกับว่าเต็มไปด้วยเหตุผลอื่นมากมาย!”
“ฮ่าฮ่า เราได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องแล้ว ใครกันขอให้เจ้าเป็นคนขี้ขลาดเช่นนี้!” อาวุโสหัวโล้นกล่าวพร้อมหัวเราะ “ถ้าหากเจ้าใจกว้างมากกว่านี้ แน่นอนว่ามันจะต้องมีผลตอบแทนสักเล็กน้อย!”
“บัดซบ เห็นได้ชัดว่าเสื้อคลุมแห่งธาตุทั้งห้านั้นคุ้มค่าเสียยิ่งกว่ายันต์หยกสายฟ้า มันเป็นเพียงเจ้าอ้วนนั่นไม่รู้ว่าต้องเลือกสิ่งใดจึงจะเหมาะสมกับเขา!” อาวุโสใบหน้าสีแดงตะโกนออกมาอย่างอดกลั้น
“ฮ่าฮ่า นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าอับโชคเอง แล้วจะไปตำหนิผู้ใดได้!” อาวุโสหัวโล้นกล่าว
ตามเสียงนั้น พวกเขาค่อย ๆ คุยกันด้วยเสียงที่นุ่มนวลขึ้นจากนั้นจึงหายออกไปจากพื้นที่
เจ้าอ้วนรู้สึกน้ำตาไหลที่เหล่าตัวปัญหาทั้งสามได้กลับออกไปเสียที จากนั้นเขามุ่งหน้าเข้าสู่สำนักชั้นใน เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรกับชาวิถีเต๋าที่มอบให้กับหงหยิง และทำไมจึงไม่สามารถขายให้กับอาวุโสได้
เจ้าอ้วนบินมาถึงลานของจ้าวสำนักพร้อมกับความสับสนเต็มหัวใจ
สิ่งแรกที่เขาเห็นคือภรรยาจ้าวสำนักนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่หดหู่ จ้าวสำนักกำลังปลอบใจนางอยู่พร้อมกับหงหยิงที่นั่งข้างๆ
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนเข้ามา จ้าวสำนักรีบถามออกไปว่า “อาวุโสทั้งสามอยู่ที่ใด?”
“พวกเขากลับสำนักไปแล้ว!” เจ้าอ้วนตอบ
“อะไรนะ? กลับไปแล้ว?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาสูญเสียใบหน้าของตนทันที “แย่มาก ข้าคิดว่าพวกเขาคงโกรธจัดและข้าคงไม่อาจชำระเรื่องเหล่านี้ได้!”
“ไม่ใช่อย่างนั้น!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “พวกเขามีความสุขในขณะที่กลับออกไป ข้าได้ยินบทสนทนาของพวกเขาในตอนนั้นซึ่งกล่าวว่าอนุมัติคำขอของท่าน!”
“ว่าอะไร?” ดวงตาของจ้าวสำนักเบิกโพลงในขณะที่ได้ยินเช่นนั้นและกล่าวว่า “แต่พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบสิ่งใดเลย และอยู่ที่นี่เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ผ่านได้อย่างไรกัน?”
“ฮี่ฮี่!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “อาวุโสสองคนได้รับชาวิถีเต๋าจากข้า ดังนั้นเขาจึงกลับไปพร้อมกับความสุขที่จะผ่านพ้นสภาวะตีบตันได้ เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะให้ท่านผ่านการทดสอบ!”
“อ๋อ เป็นเช่นนี้!” เจ้าสำนักตอบกลับอย่างประหลาดใจ “อ้วนน้อยขอขอบใจเจ้ามาก!”
“ฮี่ฮี่ ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ที่จริงข้าก็ทำกำไรได้ไม่น้อยเช่นกัน ชาเพียงครึ่งหม้อยังช่วยให้ข้าได้รับสมบัติบางอย่าง!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมพร้อมกล่าวต่อ “แต่แปลก พวกท่านมีชาวิถีเต๋าอยู่ เหตุใดจึงไม่ทำการแลกเปลี่ยนกับพวกเขา มันสามารถแลกเปลี่ยนกับสมบัติได้!”
ในขณะที่ภรรยาจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นหมดหนทางและไร้คำจะกล่าว
อย่างไรก็ตาม หงหยิงเป็นหญิงสาวที่ตรงไปตรงมานางกล่าวออกมาอย่างขื่นขมว่า “ชาที่ได้รับมาจากพี่ชายอ้วนนั้นท่านแม่ของข้าได้นำมันไปล้างเท้า! ในขณะที่เราเข้ามา ชาวิถีเต๋าได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นน้ำล้างเท้าเสียแล้ว”
“ว่าอะไร?” ใบหน้าของเจ้าอ้วนเปลี่ยนสีทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าใบหน้าของเขาตอนนี้มันเปลี่ยนไปเช่นไร
ใบหน้าของภรรยาจ้าวสำนักเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมหันไปตำหนิหงหยิง “ไม่มีใครกล่าวหาว่าเจ้าเป็นใบ้ถ้าหากเจ้าไม่กล่าวอะไรออกมา!”
จ้าวสำนักโกรธเจ้าอ้วนอย่างรุนแรงพร้อมกล่าวว่า “แน่นอนว่าอย่างไรมันก็ดีกว่าอาหารเน่า ๆ ในกระเพาะของเจ้า ถ้าหากว่าข้าได้ยินว่าเรื่องนี้แพร่กระจ่ายออกไป แน่นอนว่าเจ้าจะได้กลายเป็นไขมันหมูสมใจ!”
“ข้าทราบดี!” เจ้าอ้วนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ มันน่าอับอายเกินกว่าจะพูดออกไป ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “ขอให้จ้าวสำนักมั่นใจว่าศิษย์ไม่ได้ยินสิ่งใดเลยในวันนี้!”
“ดี! จะดีมากถ้าเจ้าทำได้!” จ้าวสำนักพยักหน้าพร้อมกล่าวเสริม “จริงด้วย ส่วนที่เหลือจากที่ได้รับมาจากเจ้า! ข้าและภรรยาขอขอบคุณจากใจจริง ถ้าหากเจ้าขาดเหลือสิ่งใดบอกเราได้เลย ข้าจะจัดหามาให้เพื่อตอบแทน! เจ้าสามารถเลือกรางวัลของตนเองได้!”
“เอ่อ เรื่องนั้นไม่เป็นไรมิได้!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมใบหน้าหดหู่ “ในตอนนี้ข้ามีสิ่งที่ดีมากมาย อีกอย่างถ้าหากข้าไม่ได้เข้าร่วมการล่าก็คงไม่ได้รับชาวิถีเต๋ากลับมา! กล่าวได้ว่านี่เป็นโชคลาภจากอุบัติเหตุ ข้าจะเอาใบหน้าที่ใดไปขอรางวัลจากท่าน! เพียงแค่มองเห็นข้าเป็นลูกหลานก็เพียงพอแล้ว!”
“ฮ่าฮ่า อ้วนน้อยถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็ตกลง!” จ้าวสำนักกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ามีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
“เรื่องอะไรหรือ?” เจ้าอ้วนถามกลับอย่างสับสน
“เรื่องที่เจ้าจะไปกับพวกเรา!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวพร้อมกับจ้องไปที่เจ้าอ้วน “หยุดทำท่าทางเช่นนั้น แล้วกล่าวออกมาว่าเจ้าต้องการจะไปกับพวกเราหรือไม่?”
“เรื่องนั้น….” เมื่อเขาถูกกดดันเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง ถ้าหากเขากล่าวว่าเขาไม่ต้องการจะไปแน่นอนว่าจะทำให้อาวุโสทั้งสองรู้สึกแย่ แต่ถ้าหากเขากล่าวว่าต้องการจะไป มันก็จะเป็นการบังคับเขาอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกล่าวอะไรได้
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนเงียบ หงหยิงรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ต้องการจะไป ดังนั้นนางจึงเดินเข้าไปจับมือเขาพร้อมกล่าวว่า “พี่ชายอ้วนอย่าบอกนะว่าท่านจะทิ้งข้า?”
“เฮ้อ!” เจ้าอ้วนถอนหายใจพร้อมกล่าวว่าเคร่งขรึม “หงหยิง ข้าไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเจ้าและเจ้ายังมีอาวุโสทั้งสองคอยดูแล แต่ข้ามีปัญหาที่ต้องจัดการจึงไม่สามารถไปกับเจ้าได้ในตอนนี้!”
“ปัญหาอะไร? ทำไมท่านไม่พูดออกมา?” หงหยิงถาม
“เรื่องนั้น…” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขานิ่งเงียบไปอีกครั้ง เรื่องราวการตายของครอบครัวเขายังเต็มไปด้วยความซับซ้อน นอกเหนือจากคำพูดของศิษย์สำนักพันปีศาจที่กำลังจะตายตกในวันนั้นมันไม่มีหลักฐานอื่นเพิ่มเติมเลย มันจะดีกว่าถ้าหากเขาไม่เปิดเผยมันออกมา แต่มันทำให้อาวุโสทั้งสองต้องกังวลใจ ถ้าหากเขาเลือกจะอยู่สถานที่แห่งนี้ต่อเพราะกังวลใจเรื่องนี้ แน่นอนพวกเขาทั้งสองจะลงเอยด้วยการต่อสู้กับนักบวชฮัวอวิ๋น เจ้าอ้วนไม่เต็มใจที่จะมองดูจ้าวสำนักกับภรรยาต่อสู้กับพี่น้องร่วมสำนักเพียงเพราะเขาคนเดียว
ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงตัดสินใจที่จะปิดบังเรื่องนี้ไว้ เขาทำได้เพียงตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์น้อง นับตั้งแต่ที่ข้ากล่าวว่ามันคือปัญหา แน่นอนว่ามันไม่ง่ายที่จะอธิบาย!”
“ท่านปิดบังแม้กระทั่งข้างั้นหรือ?” หงหยิงกล่าวอย่างน้อยใจ
“ข้าขอโทษ!” เจ้าอ้วนมองลงต่ำพร้อมกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนปากแข็งเช่นนี้ หงหยิงก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ แต่นางก็ไม่ยอมแพ้และกล่าวว่า “ข้าขอถามท่านว่าศิษย์พี่ฉุ่ยจิ้งทราบปัญหาของท่านหรือไม่?”
“นาง? แน่นอนว่าไม่ ทำไมข้าต้องกล่าวเรื่องนี้กับนาง?” เจ้าอ้วนตอบกลับด้วยใบหน้าที่งุนงง
“เหอะ ดีแล้วที่นางไม่รู้ ถ้าหากนางรู้ในสิ่งที่ข้าไม่รู้ แน่นอนว่าข้าจะสอนบทเรียนให้กับท่าน!” หงหยิงยกหมัดขึ้นมาเพื่อข่มขู่เจ้าอ้วน
ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้นอกจากหัวเราะออกมา เขารู้สึกเพียงว่าหงหยิงอิจฉาเท่านั้น แต่มันไม่ง่ายเลยที่อธิบายเรื่องเหล่านี้เพราะสถานการณ์มีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า
ความจริงจ้าวสำนักและภรรยาไม่อาจปล่อยเขาไปได้ แต่กลับกันในตอนนี้จ้าวสำนักกล่าวออกมาด้วยใบหน้าขื่นขม “อ้วนน้อย ข้าได้เห็นเจ้ามาตั้งแต่เกิด เจ้าเปรียบเสมือนครอบครัวของข้า! ข้าขอเตือนเจ้าในฐานะครอบครัว แต่ถ้าหากเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็ไม่อาจขัดใจได้”
“เจ้าต้องไม่ลืมการข่มขู่ของหงหยิง ถ้าไม่เช่นนั้น เราและสามีจะจัดการเจ้าเอง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวเสริม
“ศิษย์ไม่กล้า!” แม้ว่าเจ้าอ้วนจะรู้สึกปวดหัวกับพวกเขาเหล่านี้ แต่ภายในใจกลับรู้สึกดีมากกว่าเดิม สำหรับจ้าวสำนักและภรรยาของเขากล่าวเช่นนี้แน่นอนว่าพวกเขารู้ความสัมพันธ์ของเจ้าอ้วนกับหงหยิงแล้ว พวกเขาไม่ได้ตำหนิอะไร!
“ดีแล้วที่ท่านไม่มีความคิดเช่นนั้น!” หงหยิงกล่าวออกมาด้วยใบหน้าขมขู่ แต่นางเขินอายเกินกว่าจะกล่าวเรื่องเหล่านั้นต่อหน้าครอบครัวของตนเองได้ ดังนั้นนางจึงดึงเจ้าอ้วนออกมาด้านนอก
เมื่อเจ้าอ้วนและหงหยิงวิ่งออกมา จ้าวสำนักและภรรยายิ้มตามทั้งคู่ จากนั้นอารมณ์หดหู่จากชาวิถีเต๋าที่เปลี่ยนเป็นน้ำล้างเท้าก็กลับมาอีกครั้ง
แต่จ้าวสำนักพลันขมวดคิ้วพร้อมกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเหตุผลใดกันที่ทำให้อ้วนน้อยไม่อยากไปกับเรา? อย่าบอกนะว่าเขาไม่อาจทนห่างเหินกับฉุ่ยจิ้งได้?”
“ต้องไม่ใช่นาง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมา “เห็นได้ชัดว่าฉุ่ยจิ้งให้ความสำคัญกับเขา แต่ว่าซ่งจงนั้นเกรงกลัวนาง! เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงนางได้ ทำไมจะต้องเกรงกลัวที่จะทิ้งนางไปด้วย?”
“กลัว? เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยเกรงกลัวอะไร เขากระทั่งปั่นหัวให้ฮัวอวิ๋นเป็นตัวโง่งมได้ แล้วทำไมจะต้องเกรงกลัวสตรีเช่นฉุ่ยจิ้ง?” จ้าวสำนักถามกลับอย่างมึนงง
ภรรยาจ้าวสำนักหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่กล่าวออกมาว่า “สามีข้า ถ้าหากข้าเป็นเหมือนฉุ่ยจิ้งที่สามารถรู้ว่าท่านจะทำอะไร วันนี้ไปที่ใด หรือแม้กระทั่งพรุ่งนี้จากการทำนาย และไม่มีสิ่งใดหลบพ้นสายตาของข้าได้ ท่านจะเกรงกลัวข้าหรือไม่?”
“เรื่องนั้น...” เมื่อจ้าวสำนักได้ยินเช่นนั้น เขาไม่ได้กล่าวอะไรต่อพร้อมกับลูบหัวเบา ๆ “เหมือนว่ามันก็ค่อนข้างจะน่ากลัวเอาเรื่องเลย!”
“ถูกต้อง!” ภรรยาจ้าวสำนักกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ฉุ่ยจิ้งนั้นดีทุกอย่างยกเว้นการทำนายของนาง ทุกคนมีความลับของตนเองที่ไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ ดังนั้นทุกคนจึงอยู่ห่างจากฉุ่ยจิ้ง! เหตุผลนี้ไม่ใช่หรือที่เหล่าศิษย์ทั้งหลายไม่เต็มใจที่จะอยู่ภายในสำนักชั้นในเพราะเกรงกลัวนาง? ดังนั้นนางจึงต้องออกไปอยู่ด้านนอก!”
“อืม มันก็ดูสมเหตุสมผล!” จ้าวสำนักพยักหน้าพร้อมกับถามว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเหตุใดอ้วนน้อยจึงยอมเสี่ยงที่จะถูกรังแกจากฮัวอวิ๋น และยืนยันที่จะอยู่ตรงนี้เพียงคนเดียว?”