GE56 ส่วนที่เจ็ดของป่า การต่อสู้ของภูติผีในขอบเขตไร้แบ่งแยก [ฟรี]
“5154 แต้ม... แค่ก แค่ก แค่ก...”
ยามนี้ชุดคลุมของหนิงฝานขาดรุ่ย หน้าอกปรากฏโลหิต เขาได้รับบาดเจ็บหนัก
เบื้องหน้าของหนิงฝานมีมุกภาวนาหล่นอยู่ 11 เม็ด ที่ได้จากการสังหารภูติผีในขอบเขตประสานวิญญาณ 25 ตนเมื่อครู่
หนิงฝานมั่นใจว่าหากดูดซับพลังงานจากมุกภาวนาทั้ง 11 ลูกนี้ สัมผัสเทพในขอบเขตประสานวิญญาณขั้นสุดท้ายของเขาต้องทะลวงไปยังขอบเขตแก่นทองคำ
แต่ยามนี้ยังไม่อาจดูดซับได้
ภูติผีกลุ่มใหญ่เมื่อครู่ที่หนิงฝานสังหารไป ยามที่พวกมันตาย พวกมันจะระเบิดร่าง ทำให้หนิงฝานได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
ส่วนที่ 2 ของป่าอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะภูติผีในขอบเขตประสานวิญญาณมีสติปัญหา ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นแรกยังไม่อาจรับมือได้ง่ายนัก
หนิงฝานนำโอสถออกมาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บพลางเก็บมุกภาวนา
มุกภาวนาของภูติผีในขอบเขตประสานวิญญาณมีสีแดงโลหิต เหตุที่เป็นสีแดงโลหิตเพราะบ่งบอกถึงแรงอาฆาตของพวกมัน ที่สำคัญ ยังไม่สามารถดูดซับตรงๆได้
ดังนั้นแล้ว หนิงฝานจึงนำกระถางโอสถออกมาเพื่อหวังสกัดเอาสิ่งปนเปื้อนที่อยู่ภายในออก ด้วยมุกภาวนาของภูติผีขอบเขตประสานวิญญาณเหล่านี้ หากจะใช้ประโยชน์สูงสุด สมควรปรุงให้มันกลายเป็นโอสถเสริมวิญญาณ
โอสถเสริมวิญญาณคือโอสถผันแปรที่ 2 ง่ายต่อการปรุง นอกจากนี้ หนิงฝานยังมีสมุนไพรของมันมากมาย เพียงแต่ปัญหาเดียวในยามนี้คือ หากให้ปรุงโอสถในป่าภูติพราย ย่อมง่ายที่จะถูกภูติผีจู่โจม
หนิงฝานไม่อาจพึ่งพาข่ายอาคมวิญญาณในส่วนที่ 2 ของป่า เพราะข่ายอาคมไม่สามารถป้องกันการจู่โจมของภูติผีในขอบเขตประสานวิญญาณได้
ดังนั้น หนิงฝานจึงมีเพียง 2 ทางเลือก หนึ่งคือใช้หยกสวรรค์หลายพันก้อนเพื่อวางข่ายอาคมโอสถ ป้องกันยามที่ตนกลั่นโอสถ
แต่หนิงฝานต้องล้มเลิกไป เพราะโอสถเสริมวิญญาณ 1 เม็ดขายได้ 50 หยกสวรรค์ ยามนี้หนิงฝานต้องการปรุงมุกภาวนาทั้ง 11 ลูกให้กลายเป็นโอสถเสริมวิญญาณเพียง 1 เม็ด แต่การวางข่ายอาคมต้องใช้หยกสวรรค์เป็นพันๆก้อน จึงไม่คุ้มค่า
ต่อให้มั่งคั่งย่อมไม่สมควรทำเช่นนั้น
อีกวิธีคือ... ในแหวนกระถางขัดเกลาของหนิงฝานมีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำอยู่ 2 คน
สตรีทั้งสองนางถูกบ่มเพาะให้เป็นกระถางขัดเกลา เพื่อที่สือหยินจะใช้พวกนางทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม หากหนิงฝานจะดูดซับพลังของพวกนาง นับว่ายังไม่อาจใช้ประโยชน์จากพวกนางได้อย่างสูงสุด
นอกจากนี้ ก่อนจะดูดซับพลังของพวกนาง หนิงฝานต้องสลักตราประทับวิญญาณให้พวกนางก่อน เพื่อให้พวกนางกลายเป็นกระถางขัดเกลาของเขาอย่างสมบูรณ์... แต่ถึงอย่างนั้น ยามนี้พวกนางยังมีประโยชน์อีกอย่าง นั่นคือช่วยสังหารภูติผี!
เมื่อตัดสินใจแล้ว หนิงฝานจึงนำตัวของพวกนางทั้งสองคนออกมาจากแหวนกระถางขัดเกลา
สตรีนางหนึ่งสวมอาภรณ์ฟ้า อีกนางสวมอาภรณ์ชมพู พวกนางมีใบหน้ารูปไข่ แก้มมีเลือดฝาด ขาเรียวขาวทั้งสองข้างหนีบแน่นราวกับกำลังต่อต้านอำนาจของดรรชนีคลายหยิน
ดรรชนีคลายหยินคือภัยร้ายแรงของสตรี หากเมื่อใดหนิงฝานบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ ยากนักที่จะหาสตรีนางใดต่อกรได้
หนิงฝานสะบัดมือ ส่งลมหนาวเย็นพัดใส่เพื่อปลุกพวกนางให้ตื่นจากนิทรา
เมื่อพวกนางลืมตา ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือหนิงฝาน แม้เขาจะเป็นศัตรู แต่พวกนางกลับรู้สึกราวกับได้เห็นผู้ที่สามารถช่วยสยบเพลิงราคะในตัวพวกนางได้
ชุ่ยหลิงผู้เป็นพี่ไม่ยอมสยบให้หนิงฝาน นางต่อต้านความต้องการที่รุนแรงของตน แม้ดวงตาของนางจะพร่ามัว แต่นางยังจดจำได้ดีว่าคนเบื้องหน้าคือหนิงฝานผู้เป็นศัตรู... ความรู้สึกของนางในยามนี้อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แม้จิตใจของนางจะไม่ยอมสยบ ต่างร่างกายของนางเริ่มไม่เชื่อฟัง นางยื่นมือลูบสัมผัสอาภรณ์ของหนิงฝานอย่างหลงไหล
แต่คนน้อง...เย่หลิงไม่อาจทนได้เหมือนผู้พี่
นางพ่ายแพ้ต่อความปรารถนา ดวงตาพร่ามัวจับจ้องหนิงฝาน สองมือไขว่คว้าปีนป่าย ร่างกายพัวพันแนบชิด ลิ้นนุ่มชุ่มชื้น เลียสัมผัสหนิงฝานอย่างหลงใหล
“ข้าอึดอัดเหลือเกิน... ช่วยข้าด้วย...”
เย่หลิงอ้อนวอน หนิงฝานขมวดคิ้วพลางถ่ายพลังความเย็นสายหนึ่งเข้าไปในร่างของนาง เพื่อให้นางคืนสติ
เมื่อนางพบว่าตนพัวพัน ลูบสัมผัส หนิงฝานอย่างไร้ยางอาย นางพลันแข็งใจและขบกัดหนิงฝานอย่างแรง!
“เจ้ากล้า... เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้า! เจ้าไม่กลัวสือหยินสังหารเจ้าเช่นนั้นหรือ!”
“ฮึ่ม! กระถางขัดเกลาในขอบเขตประสานวิญญาณ 15 คนของมันล้วนกลายเป็นกระถางขัดเกลาของข้าแล้ว... เช่นนั้น ข้ายังต้องกลัวอันใด?”
คำกล่าวของหนิงฝานราวกับน้ำเย็นราดรดร่างพวกนาง
‘คาดไม่ถึงว่าผู้เยาว์ผู้นี้จะกล้าล่วงเกินสตรีของสือหยิน เจ้าเบื่อหน่ายชีวิตแล้วหรือ! นิกายจี๋หลิงก่อตั้งในแคว้นเยว่มาร่วมพันปี นับเป็นขุมกำลังฝ่ายอธรรมที่ทรงพลัง’
เย่หลิงที่อิงแอบแนบอกหนิงฝานอยู่นั้นขัดขืนเต็มที่ แต่ด้วยคำกล่าวของหนิงฝาน ความกล้าหาญเมื่อครู่พลันสลายไป กลายเป็นความหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้าน
‘ในเมื่อคนผู้นี้ดูดซับพลังจากกระถางขัดเกลาในขอบเขตประสานวิญญาณไปแล้ว 15 คน... ข้าและพี่สาวย่อมไม่มีทางรอด! คนผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก’
“ปล่อย... ปล่อยข้าไปเถอะ...” เย่หลิงกล่าวอย่างอ่อนแรง นางกลัวว่าหนิงฝานจะแย่งชิงพลังของนาง
‘ไม่ได้... ไม่ได้... หากข้าเสียพรหมจรรย์ไป ปีศาจเฒ่าสือหยินไม่มีทางปล่อยข้าแน่!’
“ข้าขอร้องเจ้า... ปล่อยน้องข้าไปเถอะ หากเจ้าต้องการพลัง ก็ขอให้ดูดซับไปจากข้าแทน...” แววตาของชุ่ยหลิงไร้ซึ่งความเกลียดชังดังก่อน จะเหลือก็เพียงความหวาดกลัว นางไม่ได้กลัวที่ตนเองจะเจ็บ แต่กลัวว่าน้องสาวของนางถูกขืนใจ
ความรักที่พวกนางมีให้กันทำให้หนิงฝานขมวดคิ้ว จิตใจที่แข็งกระด้างอ่อนลง
หนิงฝานมีน้องชาย ผู้ที่เกือบจะต้องทิ้งชีวิตของตนเพื่อแลกมา... สตรีสองนางนี้เองก็อาจกลายเป็นกระถางขัดเกลาด้วยที่พวกนางไร้ทางเลือก
แต่ถึงอย่างนั้น หนิงฝานจะไม่มีทางปล่อยพวกนางไป เขาสงบใจลงและดันร่างของเย่หลิงออกเล็กน้อย
“ยามนี้ข้ามิได้คิดจะดูดซับพลังของพวกเจ้า แต่เป็นน้องสาวเจ้าที่คิดมอบกายให้ข้าเอง”
“ไร้สาระ! ข้า...ข้าไม่มีวันยอมสยบให้เจ้า...” เย่หลิงขัดขืน นางต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่นึกขึ้นได้ว่ายามนี้พี่สาวของนางยังอยู่ในกำมือของหนิงฝาน นางจึงหยุดกล่าว
แม้เย่หลิงจะได้สติขึ้น แต่อำนาจของดรรชนีคลายหยินยังแฝงอยู่ในกายของพวกนาง ยามนี้พวกนางจึงไม่ต่างจากลูกแกะในกำมือ
“เช่นนั้น... เจ้าจะยอมปล่อยพวกข้าหรือ...” ชุ่ยหลิงพยายามอดกลั้นเพลิงราคะอย่างหนักหน่วง
“ข้าต้องการปรุงโอสถ แต่ที่นี่มีภูติผีในขอบเขตประสานวิญญาณอยู่นับไม่ถ้วน แม้ข้าจะมีข่ายอาคมวิญญาณ แต่ยากที่ต้านการจู่โจมของภูติผีในครึ่งก้าวสู่แก่นทองคำ ข้าจึงคิดจะสลักตราประทับวิญญาณกับพวกเจ้า ให้พวกเจ้าเป็นผู้คุ้มกันข้า... แต่หากพวกเจ้าปองร้ายข้า ข้าเพียงกล่าวคำ และเมื่อนั้น...ก็สายเกินกว่าที่พวกเจ้าจะเสียใจ”
คำกล่าวที่เรียบเฉยของหนิงฝานทำให้พวกนางผ่อนคลาย
‘โชคดีที่อย่างน้อยพวกข้ายังไม่ถูกชิงพลัง การได้เป็นผู้คุ้มกันถือเป็นเรื่องดี แต่คาดไม่ถึงว่าหนิงฝานจะสลักตราประทับวิญญาณได้...’
หากหนิงฝานสลักตราประทับให้พวกนาง ต่อให้วันข้างหน้าพวกนางหนีไป หนิงฝานยังคงควบคุมความเป็นและความตายของพวกนางได้ นั่นหมายความว่า พวกนางจะไม่มีวันได้กลับไปนิกายจี๋หลิงอีก
ในเมื่อหลบหนีไม่ได้ ทางเลือกจึงเหลือเพียงทางเดียว... นั่นคืออยู่ข้างกายหนิงฝานไปจนวันตาย...
ชุ่ยหลิงและเย่หลิงพยายามสะกดอำนาจของดรรชนีคลายหยินจนใบหน้าแดงก่ำราวกับผลไม้สุกที่พร้อมกิน
“ขอนายท่านสลักตราประทับให้ข้าด้วย”
แม้พวกนางจะฝืนทำ แต่ย่อมต้องทำ
หนิงฝานถอนหายใจเล็กน้อย “สำหรับข้าแล้ว... พวกเจ้ามีค่าเพียงให้ข้าทะลวงขอบเขตแก่นทองคำ หากข้าพบโอกาสอื่น หรือทะลวงขอบเขตแก่นทองคำด้วยวิธีอื่น หรือได้กระถางขัดเกลาใหม่ พวกเจ้าก็ไม่เป็นประโยชน์อันใดกับข้า ดังนั้นยามนี้ พวกเจ้าสมควรทำหน้าให้ดี...”
หนิงฝานถ่ายสัมผัสเทพในขอบเขตประสานวิญญาณขั้นสูง เข้าไปในทะเลสติของพวกนาง แล้วสลักตราประทับวิญญาณไว้ที่นั่น
จากนั้นหนิงฝานใช้นิ้วสัมผัสกระดูกไหปลาร้าและหน้าอกของพวกนาง เพื่อคลายอำนาจของดรรชนีคลายหยิน หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจพวกนางอีก เขานำกระบี่แยกสวรรค์ขุดดินแล้วชักนำเพลิงพิภพมาใช้ปรุงโอสถ
พวกนางค่อยๆสงบลงอย่างช้าๆ ใบหน้าแดงแดงก่ำค่อยๆคลาย
พวกนางจับจ้องหนิงฝาน พวกนางสงสัยว่าหนิงฝานผู้นี้ดูดซับพลังจากกระถางขัดเกลาทั้ง 15 คนไปแล้วจริงหรือ?
พวกนางจะเชื่อก็ต่อเมื่อหนิงฝานมีรูปร่างล่ำสันเหมือนผู้เยาว์ที่ทรงพลัง แต่ด้วยรูปร่างผอมบางของหนิงฝาน เขาจะไปมีแรงขนาดนั้นได้อย่างไร?
ตั้งแต่นี้ไป หนิงฝานจะกลายเป็นนายของพวกนาง ชุ่ยหลิงเดาว่าหนิงฝานไม่มีทางปล่อยพวกนางไป นางมองออกว่าหนิงฝานไม่ใช่คนใจอ่อน
เมื่อนางสำรวจระดับของหนิงฝาน นางตกตะลึง ผิดกับเย่หลิงที่อุทานออกมาแต่ก็เร่งปิดปากไว้เพราะกลัวจะรบกวน
ขอบเขตประสานวิญญาณขั้นสุดท้าย!
เมื่อครึ่งเดือนก่อนหนิงฝานเป็นผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณขั้นกลาง ผ่านไปไม่นาน หนิงฝานกลับทะลวงไปยังระดับสุดท้ายแล้ว ความเร็วในการยยกระดับพลังช่างน่ากลัว วิชาขัดเกลาผสานช่างน่ากลัว
เมื่อยามนั้น หนิงฝานจัดการกับพวกนางได้อย่างง่ายดาย ยิ่งยามนี้ หนิงฝานยิ่งสังหารพวกนางได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
พวกนางจ้องการปรุงโอสถของหนิงฝาน ด้วยทักษะระดับนี้ ต่อให้เป็นนักปรุงโอสถผันแปรที่ 3 ยังไม่อาจเทียบเคียง ยามนี้นับเป็นครั้งแรกที่พวกนางยำเกรงหนิงฝานจากใจ
‘ผู้เยาว์ผู้นี้มีทักษะปรุงโอสถที่ล้ำเลิศ ต่อให้ฝึกฝนหลายร้อยปีก็ยังไม่อาจบรรลุระดับนี้ได้!’
‘บางที การได้ติดตามหนิงฝานอาจดีกว่าการติดตามสือหยิน...’
พวกนางถอนหายใจและทำหน้าที่คุ้มกันให้หนิงฝาน
ไม่นานนักพวกนางเริ่มให้ความสนใจกับทิวทัศน์โดยรอบ และนั่นทำให้พวกนางหวาดกลัว
พวกนางสัมผัสกลิ่นอายของขอบเขตประสานวิญญาณได้เป็นจำนวนมาก กลิ่นอายเหล่านั้นมาจากรอบทิศทาง ต่อให้พวกนางเป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ พวกนางยังรู้สึกอันตราย
“ที่นี่คือที่ใด!”
พวกนางทำหน้าที่ผู้คุ้มกันทั้งหวาดกลัว พวกนางหวังให้หนิงฝานกลั่นโอสถเสร็จเร็วๆ
...
ภายในป่าภูติพราย ลึกเข้าไปได้มีอันตรายได้ปรากฏ
ในส่วนที่ 7 ของป่า ปีศาจยักษ์สูงกว่าหมื่นจ้าง และภูติผีสตรีที่งดงามจับจ้องกัน
หากภูติผีทั้งสองตนนี้หลุดออกไปในโลกพิรุณ พวกมันจะนำพาหายนะไปทั่วทิศ เพราะพวกมันคือภูติผีในขอบเขตไร้แบ่งแยก!
ภูติผีสตรีกระอักโลหิต แววตาเผยความเกลียดชัง ผิดกับปีศาจยักษ์ที่หัวเราะลั่น
“‘องค์หญิงเหม่ย’! ถ้าเจ้ายอมแพ้และยอมเป็นของข้า กษัตริย์เช่นข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
“ไม่มีวัน...”
นางขบฟัน โคจรพลังในขอบเขตไร้แบ่งแยกฝืนสู้กับ ‘จักรพรรดิปีศาจไป๋กู่’
การต่อสู้ของทั้งสองสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งส่วนที่ 4 5 และ 6 ของป่า ทำให้ภูติผีระดับราชาหันมองไปยังส่วนที่ 7 ของป่าด้วยความตกตะลึง
เพราะภูติผีระดับจักรพรรดิกำลังต่อสู้กัน!
การต่อสู้ของทั้งสองทำให้ภูติผีจำนวนมากหวาดกลัว แม้ภูติผีในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มจะข่มความกลัวได้ แต่ยังยากจะข่มใจให้สงบ
หากภูติผีในขอบเขตไร้แบ่งแยกหลุดออกจากส่วนที่ 7 ของป่าได้ พวกมันย่อมทำลายส่วนที่ 1 – 6 ของป่าได้อย่างง่ายดาย
แรงกดดันจากการต่อสู้ที่รุนแรงแผ่มาถึงส่วนที่ 3 ของป่า และแผ่มายังส่วนที่ 2 ของป่าอย่างเบาบางจนแทบไม่อาจสัมผัสได้
หนิงฝานไม่ใช่ภูติผี จึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากการต่อสู้ แต่เหล่าภูติผีในขอบเขตประสานวิญญาณกลับสั่นสะท้าน พวกมันไม่ขยับไปไหน และหมอบคลานอยู่กับพื้นด้วยความหวาดกลัว หากหนิงฝานได้เห็นท่าทางของพวกมัน เขาอาจประหลาดใจ และคิดว่านี่คือโอกาสดีให้สังหารพวกมันทั้งหมด
แต่ช่างน่าเสียดายที่หนิงฝานกำลังปรุงโอสถ...