Chapter 20: ผู้อาวุโสผู้โลภมาก
นักดาบคลั่งได้เสนอตัวที่จะพา เยล ไปยังสำนักนิคาไซ ช่วง 1 ดาวล้วนแต่เป็นช่วงอันตรายที่สุดในชีวิตของคน
เหตุผลหลักก็คือการเสียการป้องกันของโลกในตอนที่ความแข็งแกร่งนั้นยังเกือบเท่าแต่ก่อน มันง่ายอย่างมากที่จะโดนซุ่มโจมตีและฆ่าเอา
เยล ยอมรับข้อเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะไม่ใช่แค่ปกป้องเขาเท่านั้นแต่ยังได้ใช้เวลาร่วมกันก่อนที่ เยล จะเข้าไปยังสำนัก
นักดาบคลั่งได้บอกกับ เยล ให้รอเขาอยู่ที่ทางเข้า ส่วนเขานั้นจะไปหาดาบเล่มใหม่ให้กับ เยล เพราะดาบเล่มแรกนั้นพังไปแล้ว
เยล ทำตามที่อาจารย์บอกและรออยู่ใกล้ๆกับเขตของสมาคมพร้อมกับอุ้ม ไวรบร้า ไว้ ตราบใดที่เขาอยู่ในเขตสมาคม เขาก็ไม่ควรที่จะอยู่ในอันตราย
แต่ปัญหาได้โผล่มาหา เยล และต้นตอมันก็คือเสียงที่ตะโกนอย่างโกรธเคืองมาที่เขา
“เจ้าเด็กน้อย ! เจ้ามาทำอะไรที่นี่ !”
ชายแก่ที่ยอู่ด้านหลังตะโกนขึ้นพร้อมกับมองมาที่ ไวบร้า
“โอ้ ลูกหมาป่า เจ้าหนู เจ้าไม่ควรที่จะเอาสัตว์อสูรไปจากสมาคม พวกมันน่ะอันตรายอย่างมาก เอามันกลับมาให้ข้าเพื่อความปลอดภัยของเจ้าเอง”
“ไวบร้า นั้นไม่ใช่ของสมาคมและเธอไม่ทำร้ายข้า”
ชายแก่มองอย่างโกรธๆมาที่ เยล และเขาได้ตอบกลับโดยไม่มีความกลัวแต่ก็ยังพูดแบบมีมารยาท
“งั้นนั่นก็คือทาสหมาป่าแต่มันก็ยังคงเป็นของสมาคมอยู่ดี เจ้าน่ะมาจากสมาคมและสิ่งใดก็ตามที่เป็นของเจ้านั้นก็เป็นของสมาคมด้วย ทาสหมาป่านั้นแม้ว่าจะเป็นของเจ้าที่ซึ่งทำสัญญากับมันแต่เจ้าต้องเอามันให้กับสมาคม”
แม้ว่าชายแก่จะพูดเหมือนแสดงความเป็นห่วง เยล แต่อันที่จริงแล้วเขาแค่พยายามที่จะปล้น เยล ในสมาคมโรนแมดแล้วมันไม่มีกฎแบบนี้อยู่
แต่แม้ว่า เยล จะรู้และต้องการที่จะระบายความโกรธออกไปแต่เขาก็ยังคงควบคุมตัวเองได้
“ท่านผู้อาวุโส เรามีสัญญาชีวิตต่อกัน ไม่มีทางที่จะทำลายมันได้”
เยล บอกความจริงกลับไป
“ใครจะไปเชื่อกัน ! เด็กไม่ประสีประสาที่ไหนอย่างเจ้าจะทำสัญญาชีวิตได้อย่างไรกัน ? เจ้าน่ะโกหกเพื่อครอบครองมันไว้ทั้งๆที่มันเป็นของสมาคม ! ข้าผู้อาวุโสของสมาคมบอกเจ้าเลยว่าถ้าข้าบอกให้เจ้าเอาหมาป่านั่นมา เจ้าก็ควรที่จะทำมันทันที !”
ชายแก่ขู่ เยล และไม่เชื่อสิ่งที่ เยล พูด แม้ว่านั่นจะเป็นความจริงก็ตาม
เยล มั่นใจว่าชายแก่คนนี้ไม่รู้จักเขา ด้วยการที่เขามีนักดาบคลั่งเป็นอาจารย์แล้วจะไม่มีผู้อาวุโสคนไหนกล้าขู่เขา
“ผู้อาวุโส ข้าพูดความจริง ท่านถามอาจารย์ข้าดูก็ได้ เขาคือ..”
“หุบปาก ! เจ้าฝ่าฝืนกฎสมาคมโดยไม่เชื่อฟังข้า ! ข้าจะลงโทษเจ้ากับความดื้อด้านนี้ !”
เยล ไม่รู้ว่าจะจัดการไอ้แก่ไม่มีเหตุผลนี่ยังไง เยล นั้นเพียงแค่บอกความจริงไปแต่ไอ้แก่นี่กลับยังต้องการที่จะแย่ง ไวบร้า ไปจากเขา รึในอีกความหมายคือไอ้แก่นี่ต้องการที่จะลักพาตัวน้องสาวของเขา
เยล โกรธและกำลังที่จะระเบิดแต่ในตอนนั้นที่เขาอยากยื้อไว้อีกสักพักจนกว่าอาจารย์ของเขาจะกลับมาแล้วจัดการเรื่องนี้
แต่คำพูดต่อมาของผู้อาวุโสก็ทำให้เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป
“แน่นอน โทษของเจ้านั้นถึงตาย !”
ผู้อาวุโสนั้นเข้าโจมตี เยล โดยไม่ลังเล ด้วยตำแหน่งของเขาแล้ว เขาไม่กลัวว่าจะมีปัญหากับการฆ่าเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ในสมาคม
เขามักจะรังแกคนอ่อนแอในสมาคมและใช้ลูกไม้หลอกล่อเพื่อไต่เต้า เขาได้ฆ่าเด็กไปหลายคนและมันเป็นเพราะสิ่งที่เขาเรียกว่ากฎ แน่นอนว่าเขาไม่เคยโดนลงโทษเพราะเรื่องแบบนี้
เยล ไม่คิดว่าไอ้แก่นี่จะเป็นคนใจร้อนแบบนี้
เยล ใช้สกิลป้องกันอันสมบูรณ์แบบไปเพื่อหลบการโจมตีที่ถึงตาย เยล ไม่กลัวชายแก่คนนี้และด้วยพลังอันเข้มข้นที่ปะทุขึ้นมานี้ นักดาบคลั่งต้องสัมผัสมันได้และจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า
ผุ้อาวุโสรู้สึกว่าได้ฆ่า เยล ไปแล้วแต่ เยล ยังคงอยู่ดีหลังจากที่เขาโจมตีและชายแก่ก็ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขามองไปที่ เยล ด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ข้าไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสปัญญาอ่อนอย่างเจ้ากล้าทำการโจมตีถึงตายใส่ลูกศิษย์ของข้า”
ผู้อาวุโสคนนั้นช็อคกับเสียงที่ได้ยินแต่เขาตายไปก่อนที่จะได้รู้ตัว ถ้าผู้อาวุโสกล้าฆ่าเด็กเพราะตำแหน่งของเขา งั้นนักดาบคลั่งก็ฆ่าผู้อาวุโสได้ด้วยความโกรธของเขา
นักดาบคลั่งนั้นไม่เชื่อว่าข้างในสมาคมนั้นจะมีคนที่โง่พอที่พยายามจะฆ่า เยล
นักดาบคลั่งคิดว่า เยล คงตายเพราะการที่เขามาช้าอีกครั้งและความโกรธของเขาก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
แต่นักดาบคลั่งนั้นก็ช็อคในตอนที่เห็นผู้อาวุโสนี้ได้ทำการฆ่า เยล และในเวลาเดียวกันเขาก็เห็น เยล ยังคงอยู่ดีไม่มีรอยขีดข่วนอะไร
สิ่งที่ทำให้เขาช็อคมากกว่านั้นคือเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของเวลารอบๆตัว เยล ไม่ต้องเดาเลยว่า เยล ได้ใช้สกิลที่เกี่ยวข้องกับเวลา ไม่มีทางเลยที่ เยล นั้นจะมีเวลาพัฒนาความสามารถแบบนี้ขึ้นมาได้ในเวลาแค่วันเดียวและแม้แต่สำนักนิคาไซเองก็ไม่มีสกิลที่เกี่ยวข้องกับเวลา ดังนั้นไม่มีทางเลยที่ เยล จะได้รับมันมาและศึกษามันมาก่อน
สำหรับนักดาบคลั่งแล้วมีคำอธิบายเพียงอย่างเดียว เยล นั้นต้องมีความสอดคล้องกับเวลาและในวิกฤตนี้เขาได้ใช้สกิลออกมาตามสัญชาตญาณ
นักดาบคลั่งคิดถูกเพียงครึ่งเดียวเพราะมันเป็นความจริงที่ว่า เยล ไม่ได้พัฒนาสกลินี้และไม่ได้เรียนรู้มันแต่มันไม่ใช่สัญชาตญาณตามที่นักดาบคลั่งคิดไว้ เยล นั้นใช้มันออกมาตอนที่รู้สึกตัว นี่คือสกิลสืบทอดและเขาใช้มันได้แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจหลักการของมันก็ตาม
นี่เป็นสถานการณ์ที่แปลก ปกติแล้วคนเราไม่น่าจะใช้ทักษะนี้ออกมาได้ตามใจโดยไม่เข้าใจมันแต่ เยล นั้นสามารถใช้มันออกมาได้ตามใจโดยใช้ได้เดือนละครั้ง
นักดาบคลั่งได้สลัดเรื่องนี้ออกไปจากหัวและเดินเข้าไปหา เยล เพื่อดูว่าลูกศิษย์ของเขาบาดเจ็บหรือไม่แต่ เยล นั้นยังคงอยู่ดี
หลังจากนั้นก็ได้มีเสียงหนึ่งดังก้องในสมาคม
“นักดาบคลั่ง ! เหตุใดเจ้าถึงฆ่าผู้อาวุโส !”
เสียงนั้นคือเสียงของหัวหน้าสมาคมที่ซึ่งได้รีบเข้ามาหลังจากที่สัมผัสได้ถึงการโจมตีจากผู้อาวุโสและนักดาบคลั่ง
“เขาพยายามฆ่าศิษย์ของเข้า ชัดแล้วว่าเขาควรที่จะตาย ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม”
นักดาบคลั่งไม่ได้สนสิ่งที่หัวหน้าสมาคมพูดและหัวหน้าสมาคมเองก็พูดคำพวกนี้ออกมาเพื่อเป็นการปกป้องชื่อเสียงของผู้อาวุโส ดังนั้นแล้วนักดาบคลั่งเลยไม่ได้คิดอะไรมากกับคำพูดของหัวหน้าสมาคม
“แต่ตายนั้นมากเกินไป เจ้าสามารถที่จะลงโทษเขาได้แต่การฆ่าเขานี้มันมากเกินไปหน่อย.....การฆ่าผู้อาวุโสนั้นทำให้ความแข็งแกร่งของสมาคมลดลง มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาด แม้ว่าเขาจะทำเกินไปแต่เจ้าควรที่จะแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การฆ่า”
“เขาเป็นคนตั้งใจฆ่าก่อน เขาควรที่จะเตรียมพร้อมที่จะโดนฆ่า แม้ว่าสมาคมจะหายไป ข้าก็ไม่ยอมให้พวกเจ้ามาทำร้ายศิษย์ของข้า”
คำพูดของนักดาบคลั่งนั้นเด็ดขาดอย่างมาก เขาไม่สนสิ่งที่หัวหน้าสมาคมได้ถามว่าทำไมถึงต้องฆ่าผู้อาวุโสแต่คำพูดหลังจากนั้นทำให้เขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
“อีกอย่างเพราะเขาพยายามที่จะฆ่าศิษย์ของข้า สมาคมนั้นล้วนที่จะรับผิดชอบแต่การให้เราอยู่สมาคมเดียวกันงันข้าจะผ่อนผันให้ ข้าจะฆ่าเพียงแค่คนในสาขาไอ้แก่นี่”
สีหน้าของหัวหน้าสมาคมได้เปลี่ยนไปเพราะเขาเข้าใจว่าเขาแค่ทำให้สถานการณ์นั้นแย่ลงไป เพราะตำแหน่งของเขาทำให้เขารับเรื่องแบบนี้ไม่ได้และเขารู้ว่านักดาบคลั่งนั้นไม่ได้พูดเล่น เขาจะฆ่าทุกคนในสาขาจริงๆ หัวหน้าสมาคมตอนนี้ตกที่นั่งลำบากแล้ว
“นั่นเองก็ผิดไปด้วย เจ้าได้ฆ่าคนร้ายไปแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าต้องฆ่าคนในสาขาอีก”
สิ่งที่หัวหน้าสมาคมพูดนั้นมีเหตุผลแต่สำหรับนักดาบคลั่งแล้วมันไม่ได้ฟังดูมีเหตุผลแต่อย่างใด
“สมาชิกคนใดที่มีความแค้นกับการตายของผู้อาวุโส พวกเขาไม่สามารถทำอะไรข้าได้แต่พวกเขาอาจพยายามฆ่า เยล อีก อันตรายใดๆล้วนแต่ต้องถูกกำจัดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต”
เพราะการที่เขามาช่วยเยลช้าเกินไป และคำพูดสุดท้ายของหัวหน้าสมาคมทำให้เขานึกถึงอดีต
ในตอนที่เขายังเด็ก เขาได้ตกหลุมรักกับสตรีนางหนึ่ง เธอไม่ได้มีพื้นเพใดๆและค่อนข้างอ่อนแอแต่นักดาบคลั่งนั้นรักเธอและเขาไม่สนเรื่องอื่นๆ
วันหนึ่งเธอได้รับสมบัติอันล้ำค่าเพราะโชคเข้า แต่พวกคนโลภกลับพบมันและพยายามที่จะฆ่าเธอเพื่อชิงสมบัตินั้นไป โชคดีที่นักดาบคลั่งนั้นอยู่ไม่ไกลและช่วยเธอจากการโดนโจมตีได้
ตอนนั้นนักดาบคลั่งไม่ได้แตะต้องสมาคมของคู่ต่อสู้เลย เขาคิดว่าการฆ่าคนร้ายก็เพียงพอแล้ว ยังไงซะ ‘ สมบัติล้ำค่า ‘ นั้นมันก็ล้ำค่าแค่สำหรับคนที่อ่อนแออย่างคนรักของเขาและพวกคนโลภเหล่านั้น นักดาบคลั่งไม่เชื่อว่ามันจะทำให้เกิดปัญหาอะไรมาก
แต่นั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา
กลุ่มอื่นๆได้รอจนกว่านักดาบคลั่งไม่อยู่รอบๆและได้ก่อเรื่องกับคนรักของเขาอีกครั้ง สมบัติล้ำค่านั้นไม่สำคัญ พวกเขาแค่ต้องการอยากแก้แค้น
แผนของพวกเขาสำเร็จและเธอได้ตายหลังจากที่โดนทรมานอยู่นาน นักดาบคลั่งนั้นแทบจะจำศพเธอไม่ได้ พวกเขารู้ว่านักดาบคลั่งนั้นแข็งแกร่ง ดังนั้นแล้วจึงคิดที่จะทำร้ายคนของเขาซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำร้ายเขา
นักดาบคลั่งเจ็บปวดและก็ยังโกรธแค้นถึงขีดสุด
นี่เป็นครั้งแรกที่นักดาบคลั่งได้ฆ่าทั้งสมาคม เขาเกือบตายในตอนที่เขาทำแบบนั้น แม้ว่าตอนนั้นเขาจะแข็งแก่รงแต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะฆ่าคนทั้งสมาคมโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเหมือนที่เขาทำในช่วงหลัง
เขาจัดการแก้แค้นให้คนรักแต่เธอนั้นไม่ได้หวนกลับมา นักดาบคลั่งไม่มีทางลืมคนรักของเขาและเพราะแบบนั้นเขาจึงไม่เคยแต่งงานอีก
หลังจากนั้นสำหรับนักดาบคลั่งแล้วการที่เขาสายเกินไปที่จะมาช่วยคนสำคัญของเขาและไม่ฆ่าคนที่มีแววจะเป็นอันตรายนั้นก็เป็นสองสิ่งที่เขาทนไม่ได้
นักดาบคลั่งนั้นมาช้าสองทีในตอนที่ เยล ตกอยู่ในอันตราย นั่นเป็นเรื่องที่เขารู้สึกผิดอย่างมาก โชคดีที่ เยล รอดมาได้ทั้งสองครั้ง ถ้า เยล ตาย ความเจ็บปวดที่เขามียิ่งทวีคูณไปมากกว่าเดิม
อันที่จริงแล้วนักดาบคลั่งนั้นเกลียดการที่มาช่วยคนสำคัญสายเกินไปแต่เขามักจะมาช้า นั่นเหมือนกับเป็นคำสาปของเขาและมันทำให้เขาเจ็บปวดมาตลอดชีวิต
ดังนั้นแล้วนักดาบคลั่งจึงทำการฆ่าแค่เพียงสาขาเดียวและไม่ใช่ทั้งสมาคมซึ่งมันยากที่จะทนได้เพราะนั่นยังมีต้นตอภัยอีก ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นสมาคมของเขาแล้ว เขาคงฆ่าทุกคนทิ้งไปหมดแล้ว
ตอนนั้นนักดาบคลั่งคิดถึงการลงโทษสมาคมและทำร้ายสมาคมให้มากที่สุดมากกว่าการฆ่าทิ้งทั้งสาขา
“ดี งั้นข้าจะไม่ฆ่าใครในวันนี้”
หัวหน้าสมาคมยิ้มออกมาแต่ใบหน้าของเขาก็หม่นลงอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินที่นักดาบคลั่งพูดต่อ
“แต่จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะออกจากสมาคมโรนแมดและแม้ว่าใครจะมาทำลายมัน ข้าจะไม่ไปช่วยรึทำการแก้แค้นแต่อย่างใด”
นั่นเหมือนกับภัยที่ใหญ่ที่สุดเพราะนักดาบคลั่งนั้นเป็นสมาชิกที่แข็งแก่งที่สุดและเป็นผู้ปกป้องสมาคมเอาไว้ เขาไม่จำเป็นที่ต้องทำอะไร แค่เพียงการที่เขาอยู่ในสมาคมก็เพียงพอที่จะขู่ศัตรูได้แล้ว
“และถ้าสามาคมอยากทำเรื่องอะไรที่เป็นการคุกคามศิษย์ของข้าอีก ครั้งหน้าข้าจะฆ่าทั้งสมาคม”
หัวหน้าสมาคมไม่คิดเลยว่านักดาบคลั่งจะทำแบบนี้ เขาต้องการที่จะพูดบางอย่างออกไปแต่ก็ไม่อาจพูดออกมาได้
จากนั้นนักดาบคลั่งจึงได้หันหลังกลับแล้วเดินออกจากเขตสมาคมไปพร้อมกับ เยล ที่ซึ่งยืนเงียบอยู่ตอลด เขาไม่ต้องการไปมีผลต่อการตัดสินใจของอาจารย์
อันที่จริงแล้วนักดาบคลั่งไม่เคยสนเรื่องสมาคมเลย เขาสนเพียงแค่ศิษย์ของเขาที่ซึ่งเหมือนกับครอบครัวเขา
คนอื่นๆนั้นเป็นแค่คนที่อาศัยอยู่ใกล้เขา มุมมองที่เขามีต่อคนอื่นในสมาคมนั้นคล้ายคลึงกับ เยล
นักดาบคลั่งไม่เคยมีสัญญาในการปกป้องสมาคม เขาทำแบบนั้นเพราะเขาต้องการที่จะทำตราบใดที่สมาคมไม่ทำให้เขาโกรธ เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะหยุดทำการปกป้องมันเพราะเพียงการแค่มีเขาอยู่ด้วยก็เพียงพอแล้ว
แต่บางครั้งหัวหน้าสมาคมและพวกผู้อาวุโสนั้นดูเหมือนจะลืมเลือนมันและไม่คิดว่านักดาบคลั่งจะออกจากสมาคมไปและหยุดปกป้องสมาคมโดยไร้เหตุผลใดๆแม้ว่าเขาจะสร้างเรื่องและฆ่าคนไปบ้างก็ตาม
นี่คือผลกระทบอันร้ายแรงแก่สมาคม นักดาบคลั่งนั้นจากไปมันแย่ยิ่งกว่าการที่ทั้งสาขาโดนกำจัด มันจะทำให้สมาคมตกต่ำลง
“อย่างน้อยเราก็ยังมีการสนับสนุนจากสำนักนิคาไซ”
แต่ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมกับที่เขาคิดอีก
“สำนักนิคาไซนั้นสนับสนุนเราเพราะ แอง ถ้าเธอรู้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้...”
ถ้า แอง บอกให้สำนักทำการยกเลิกสัญญากับสมาคมโรนแมด งั้นพวกเขาก็จะยอมทำทุกอย่างที่เธอต้องการเพราะเธอเป็นเหตุผลหลักกับการสนับสนุนพิเศษนี้
หัวหน้าสมาคมตัวสั่น การตายของผู้อาวุโสและคำพูดของหัวหน้าสมาคมนั้นได้สร้างปัญหาร้ายแรงให้กับสมาคม
นักดาบคลั่งนั้นได้ทำบางอย่างที่เป็นการคุกคามสมาคมที่มากกว่าการกำจัดทั้งสาขาทิ้ง