Chapter 115 - มู่หรงหวันจิง(เปิดขายพิเศษ)โดนก็อปก็จบ
Chapter 115 - มู่หรงหวันจิง
หลี่ซูเอ๋อร์ไม่มีความสุขจริงๆ!
จนถึงจุดที่เธอโกรธ.
นับตั้งแต่ที่ลั่วเทียนถูกรังแกโดยนิกายเมฆคราม เธอก็ไม่มีความสุขแล้ว และยังหลิงฮานซานที่ผิดสัญญาของเธอทำให้เธอยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก ลั่วเทียนถูกบดขยี้ด้วยพลังของเฉินเทียนเหยาทำให้เธอไม่สบายใจและวิธีการน่ารังเกียจของหลิวซางเฟยที่ได้ทำลายคำมั่นอีกครั้ง.
สำหรับเธอสิ่งที่ทำให้เธอไม่พอใจมีหลายอย่าง.
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงโกรธ.
แต่มันก็เห็นได้ชัดเจนว่าตั้งแต่ที่เธอโกรธ การแสดงออกของเธอก็เปลี่ยนไปมาก.
นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอโกรธสุดหัวใจ!
ครั้งแรกเมื่อมีใครบางคนจับเธอคลุงถุงชน ทำให้เธอไม่มีความสุขอย่างมาก ดังนั้นเธอจึงได้ขีดเส้นแบ่งระหว่างพวกเขาและจงใจที่จะไม่สนใจพวกเขาตลอดชีวิต.
วันนี้เป็นครั้งที่สอง.
เธอโกรธเพราะลั่วเทียน.
ลั่วเทียนไม่ได้สติ แต่จิตใจของเขายังคงตื่นตัวอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ซูเอ๋อร์เขาก็ยิ้มจนถึงหู.
เขามีความสุขมากๆ!
เมื่อเหอจางก๋งตาย สาวกของนิกายก็วิ่งหางจุดตูด
หลี่ซูเอ๋อร์มองไปยังพวกเขาอย่างเย็นชาและพูดโดยไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ “อย่าให้ใครรอดไปได้!”
หลังจากนั้น...
มีเสียงดาบกรีดไปมาเต็มท้องฟ้า.
หลังจากนั้น...
ดาบฉีนับไม่ถ้วนก็เริ่มมารวมตัวกันและเริ่มหมุนเป็นพายุ ราวกับมีดาบจำนวนมากมายประสานเข้าด้วยกัน.
ใจกลางดาบฉีที่บินไปมานับไม่ถ้วน ได้มีดาบสีดำธรรมดาๆ.
ตัวดาบที่ถูกปกคลุมไปด้วยสนิมและไม่มีลวดลายใดๆ ดาบเหล็กเล่มนั้นราวกับถูกปิดผนึกไว้เป็นเวลานานับพันปีและไม่มีคมใดๆ.
อย่างไรก็ตาม...
เมื่อดาบดำได้รับคำสั่งของหลี่ซูเอ๋อร์มันก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและระเบิดพลังออกมา เหล่าดาบนับไม่ถ้วนก็กระจายออกไปราวกับจรวดขวด.
“อ่าาา…”
“อ่าาา…”
เสียงกรีดร้องอย่างโศกเศร้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเลือดก็กระจายเต็มอากาศ ทุกคนที่เฝ้าดูฉากเหล่านี้ต่างมีความกลัวอยู่เต็มหัวใจ.
หลังจากนั้นไม่กี่นาที...
สาวกกว่าร้อยคนก็ตายเพราะดาบเล่มนั้น พวกเขาถูกบดขยี้โดยไม่มีการต่อต้านใดๆและไม่อาจกลับมาแก้แค้นได้อีก.
หลังจากนั้น...
ดาบดำลงมาช้าๆและตอนนี้มันลงมาก็มีชายชุดคลุมดำคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น.
เขาไม่มีกลิ่นอายใดๆและเย็นชาเหมือนกับเหล็ก มันเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นดาบที่ถูกปิดผนึกมานานนับหมื่นปี ไม่มีร่องรอยลมหายใจจากชายคนนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่.
ชายในชุดคลุมดำคุกเข่าลงและพูดด้วยความนับถือ“คารวะนายหญิง
เจี้ยนหนู่ได้มาช้าทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว.”
หลี่ซูเอ๋อร์ค่อยๆยืดตัวขึ้นและพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน“
ลุงเจี้ยนหนู่มาทันเวลาพอดี.”
ชายชุดคลุมดำกลับขึ้นมายืนอยู่ด้านข้างหลี่ซูเอ๋อร์ตามปกติ สายตาของเขาก็มองลงไปยังหลิงฮานซานที่กำลังอ่อนแรง ดวงตาของเขาไม่ได้แสดงความประหลาดใจใดๆและใบหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่พิเศษใดๆ.
หลี่ซูเอ๋อร์เริ่มเดินไปที่ลั่วเทียนก่อนที่จะหยุดลง หลับตาของเธอและถอนหายใจออกมาก่อนที่เธอจะพูดสบายๆว่า “ลุงเจี้ยนหนู่ โปรดช่วยรักษาพี่สาวซวงด้วย”
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะปล่อยมัน
แต่...
ความบาดหมางระหว่างพวกเธอในใจยังคงอยู่.
เป็นไปได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเธออาจจะไม่มีวันกลายมาเป็นแบบเดิม.
หลิงหานซานเข้าใจในขจุดนี้และเธอก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เธอถอนหายใจอย่างหมดหนทางและพูดกับตัวเองในใจ “บางทีข้าไม่ควรทำอย่างนี้.”
หลังจากที่พูดอย่างนั้น ลี่ซูเอ๋อร์ก็ไม่ได้หันมาทางหลิงฮานซานทันที เธอยังคงเดิมไปที่ลั่วเทียนต่อ.
ฟางเล่ยยกลั่วเทียนขึ้นมาขณะที่ถามอย่างเป็นกังวล “น้องสะใภ้ นายน้อยยังดีอยู่ใช่ไหม?”
ทุกคนในตระกูลลั่วต่างหันหน้ามาทางหลี่ซูเอ๋อร์ ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเครารพ แต่ก็ยังมีร่องรอยแห่งความกลัว.
เมื่อก่อนพวกเขาไม่รู้เรื่ององค์กรค์ไวโอเล็ต แต่วันนี้พวกเขาเข้าใจแล้ว
.
หลี่ซูเอ๋อร์มีใบหน้าที่เคร่งเครียดขณะที่ตรวจสอบร่างกายของลั่งเทียนเกี่ยวกับการบาดเจ็บอย่างละเอียด จากนั้นเธอก็ตระหนักว่าเธอไม่อาจหามันพบได้และสังเกตเห็นสีหน้าที่แดงกล่ำของเขาพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง สิ่งที่เธอพูดไม่ออกก็คือ...เมื่อหลี่ซูเอ๋อร์วางมือลงบนหน้าอกของลั่วเทียนเพื่อตรวจสอบการเต้นของหัวใจ เป้าของเขาก็ตุงขึ้น!
นี่...
ใบหน้าของหลี่ซูเอ๋อร์กลายเป็นแดงกล่ำทันที ขณะที่สถบเบาๆ “เจ้าโจรสกปรก.”
จิตใจของเธอผ่อนคลายเบาๆ.
หลี่ซูเอ๋อร์ไม่คิดเลยว่าจุดชีพจรทั้งหมดของลั่วเทียนถูกสะบั้น ความคิดในตอนนี้คือเธอไม่รู้ว่าทำไมลั่วเทียนถึงไม่แสดงอาการใดๆที่เป็นการบ่งบอกว่าเจ็บหนักซึ่งขัดแย้งกับที่เห็นทุกอย่าง นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ แต่เธอรู้ว่าเพียงแค่ว่าลั่วเทียนยังคงเป็นพี่ใหญ่ลั่วของเธอ.
เขาใหญ่และแข็งแกร่งและเคยบอกว่าจะแต่งงานกับเธอ เขาเป็นพี่ใหญ่ที่จะคอยปกป้องเธอไปตลอดชีวิตของเธอ.
มันเป็นเรื่องง่ายๆแบบนั้น.
การแสดงออกของหลี่ซูเอ๋อร์กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมและพูด“ไม่ต้องกังวล พี่ใหญ่ลั่วสบายดี เขาจะตื่นขึ้นมาด้วยตัวเอง.”
“โอ้ ดี…”
“เจ้าอ้วนนำพี่ใหญ่ไปที่ห้องของข้า.”
ฟางเล่ยถามอย่างแปลกใจ: “น้องสะใภ้ นายท่านมีห้องเป็นของตัวเอง ทำไมต้องพาเขาไปที่ห้องเจ้าด้วย?”
“เวรเอ้ย!”
ลั่วเทียนเริ่มสถบรัวๆโดยหวังว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาและเตะก้นฟางเล่ยให้บานไปเลย “ทำไมเจ้าต้องมีปัญหาเยอะนัก? หยุดยุ่งเรื่องคนอื่นและไปเช็ดขี้ตัวเองไป! แค่ทำตามที่บอก! เจ้าอ้วนสารเลว รอจนกว่าบิดาคนนี้ฟื้นขึ้นมา ข้าจะให้บทเรียนกับเจ้า!”
แก้มของหลี่ซูเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นวสีแดงอีกครั้งและตอบว่า “เพราะว่าข้าจะได้ดูแลเขา”
ในที่สุดเจ้าอ้วนก็เข้าใจและตระหนักได้ก่อนที่จะยิ้มอย่างโง่เขลาและพูด“เข้าใจแล้ว.”
หลังจากที่พูดอย่างนั้น...
ฟางเล่ยก็ยกลั่วเทียนขึ้นมาอย่างง่ายดายและพาออกไปจากลาน.
ลั่วเทียนเริ่มจินตนาการที่น่ากลัวบางอย่างในใจ...
ขณะที่หลี่ซูเอ๋อร์กำลังจะออกไป นางก็เหลือบเห็นหลิงหานซวงที่ทรุดอยู่ที่พื้น และเห็นว่าเจี้ยนหนู่ไม่ได้อยู่ต่อ เธอก็พึมพำว่า“ข้าหวังว่าท่านไม่เป็นอะไร.”
-------------
ช่วงดึก อากาศเริ่มเย็นลง.
มีแสงสว่างเกิดขึ้นอยู่ที่ตระกูลลั่ว เนื่องจากทุกคนกำลังยุ่งกับการสร้างอาคารขึ้นใหม่.
มีตระกูลชั้นสูงและตระกูลใหญ่ต่างๆที่อยู่ในเมืองภูเขาหยกเข้ามาเยี่ยมเยียนเพื่อแสดงความเครารพ.
การกระทำของลั่วเทียนนั้นรู้ทุกผู้ทุกคน เพื่อปกป้องเมืองภูเขาหยกเขาได้เอาชีวิตเข้าเสี่ยง แม้ว่าบางคนไม่ได้ชื่นชมกับสิ่งที่เขาทำ แต่พวกเขาก็ยังเข้าใจว่า หากไม่ได้ลั่วเทียนที่ขวางกั้นนิกายส่วนใหญ่ เมื่อภูเขาหยกจะกลายเป็นเมืองแห่งความตาย.
สิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ...
ตระกูลโจวได้เก็บของอย่างรวดเร็วและออกไปยังที่อื่น พวกเขาได้รีบวิ่งออกจากเมืองและส่วนใหญ่ก็ไม่คิดจะกลับมาที่เมืองภูเขาหยกในชีวิตนี้อีกแล้ว.
เมื่อพูดถึงอาณาเขตตระกูลโจว ซ่งหยวนหนานได้ส่งสาวกตระกูลลั่วไปอ้างสิทธิ์ทั้งหมดและไม่มีใครกล้าพูดคัดค้านพวกเขา!
สำหรับตระกูลซู ไม่มีใครอยู่ที่นั่น.
ซูเม่ยกำลังวางแผนที่จะวิ่งหนี แต่ก็ถูกล้อมกรอบโดยคนของตระกูลซูและถูกรุมสังหาร.
การตายของเธอเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก.
พวกคนในตระกูลซูได้ฆ่าเธอตายเพราะเห็นได้ชัดว่า ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้มันก็จะไม่มีปัญหายุ่งยากอีกและพวกเขาก็ไม่ต้องถูกเนรเทศออกไปทั้งหมดและมีที่อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่งไม่ต่างจากพวกพเนจร.
ปัจจุบันตระกูลลั่วกำลังอยู่ในการก่อสร้างครั้งใหญ่.
เพราะ...
ลั่วเทียนที่ตอนนี้เป็นผู้ปกครองเมืองภูเขาหยก ตำแหน่งผู้นำที่ไม่มีใครสามารถมาสั่นไหวได้ ตราบเท่าที่ลั่วเทียนไม่ตายและองค์กรไวโอเล็ตไม่แสดงความแข็งแกร่ง เขาก็จะกลายเป็นผู้ปกครองแต่เพียงผู้เดียว.
ขณะที่ดาวเรียงรายเต็มบนท้องฟ้า รอบๆลานของหลี่ซูเอ๋อร์ก็เงียบมาก.
สาวกบางที่ที่ผ่านไปมาแม้ว่าพวกเขาจะครึ้นเครงแต่พวกเขาก็เงียบเพราะกลัวจะกระทบต่อการฟื้นตัวของลั่วเทียน.
ใจกลางลาน...
หลี่ซูเอ๋อร์ยืนอยู่อย่างเงียบๆด้วยใบหน้าที่จริงจัง.
มีคนยืนอยู่ห่างจากเธอสามเมตรเป็นคนชุดขาว ใบหน้าของเขามัวเล็กน้อยเหมือบเหล่าผู้เป็นอมตะที่ซึ่งผู้คนไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนเท่าไรนักและอารมณ์นิสัยของเขาเพียงอย่างเดียวก็บอกให้รู้ว่าเขาเป็นคนพิเศษ.
มู่หรง หวันจิง!
นายน้อยจากเมืองนภาแยก ที่ซึ่งเป็นอัจริยะที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาในเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อนและเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองสายเลือดของมังกรในตำนาน!
ทั้งสองต่างจ้องมองกัน.
พวกเขาจ้องมองกันและกันมากว่า 4 ชั่วโมง.
ในที่สุด...
มู่หรงหวันจิงก้าวเข้ามาเบาๆก่อนที่จะหัวเราะน้อยๆ.
ขณะที่เขาก้าว หลี่ซูเอ๋อร์ก็ก้าวถอยหลังออกไปเพื่อรักษาระยะห่างสามเมตรเหมือนเดิม.
มู่หรงหวันจิงหัวเราะออกมาอีกครั้ง มีร่องรอยความอับอายในเสียงหัวเราะของเขาก่อนที่จะตามมาด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า“ข้าจะฆ่าเขา!”
------------------
� - เจี้ยนหนู่ ถ้าแปลตามอังกฤษจะหมายความว่า ทาสดาบ คุณลุงทาสดาบงั้นหรอ?