บทที่ 155: หญิงสาวผู้ลวงหลอก
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
บทที่ 155: หญิงสาวผู้ลวงหลอก
“แน่นอนว่าไม่!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว จากนั้นนางกล่าวเสริมอย่างโศกเศร้า “หนึ่งในสองคนที่ไม่ได้มาคือดาบเทวะไร้ผู้ต้าน เขาสังหารยู่เฟิงและกำลังทรมานกับคำสาป แน่นอนว่าเขากลายเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์จึงไม่อาจมาที่แห่งนี้ได้ อย่างไรก็ตามเราไม่อาจนิ่งเฉยโดยทิ้งเขาไว้ที่นี่โดยลำพัง เราจึงให้ศิษย์พี่ผู้หนึ่งคอยอยู่ดูแลเขา ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงไม่ได้มาที่นี่!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางมองมาที่เจ้าอ้วนอย่างตำหนิราวกับว่าเป็นความผิดของเขาที่ไม่สามารถหาแพะรับบาปได้ดีกว่านี้ ทันทีที่เจ้าอ้วนมองเห็นความคับข้องใจในแววตาคู่นั้น เขาอยากจะอธิบายแต่ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะสมเพราะหงหยิงอยู่ที่นี่ เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและถามออกไปว่า “แม้ว่าศิษย์พี่จะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่อาจสามารถสังหารยู่เฟิงที่ครอบครองภาพวาดแห่งสาวงามทั้งเก้าได้หรอก จริงหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าไม่!” หงหยิงกล่าวออกมาอย่างยินดีในความโชคร้ายนั้น “มันเป็นเพียงเขาที่คันไม้คันมือมากเกินไป ในขณะสำรวจเขาได้สังหารอสรพิษตนหนึ่ง แต่ทว่ายู่เฟิงอยู่ภายในท้องของเจ้าอสรพิษนั้น เรื่องราวจึงกลายเป็นว่าเขากลายเป็นผู้สังหารยู่เฟิง!”
“โอ้ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนหันไปกระพริบตาใส่ฉุ่ยจิ้งพร้อมกล่าวอย่างร่าเริง “มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันเสียจริง ไม่สามารถคาดเดาได้เลย!” เขาพยายามจะบอกกับฉุ่ยจิ้งว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ฉุ่ยจิ้งขมวดคิ้วแน่นพร้อมกล่าวออกมาว่า “มันเป็นอุบัติเหตุจริงงั้นหรือ?”
“แน่นอนว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครบังคับให้เขาสังหารอสรพิษ จริงไหม?” เจ้าอ้วนเผยยิ้มกว้าง “อีกอย่างใครจะไปรู้ว่าเขาจะปรากฏตัวที่นั่นได้อีกนอกจากเจ้า?”
“หือ? พวกเจ้ากำลังพูดถึงอะไรกันอยู่” หงหยิงรู้สึกว่าบทสนทนานี้ช่างแปลกประหลาด อีกทั้งคำพูดสุดท้ายของเจ้าอ้วนยังไม่เกี่ยวกับสิ่งใดทั้งสิ้น ดังนั้นนางจึงถามออกมาอย่างสับสน “อย่าบอกนะว่าเจ้ากำลังสงสัยว่าฉุ่ยจิ้งกระทำการปล่อยยู่เฟิงไว้ในท้องของงูพิษเพื่อเล่นงานดาบเทวะไร้ผู้ต้าน?”
“เจ้ากำลังพ่นวาจาไร้สาระอะไร?” ฉุ่ยจิ้งรีบตอบกลับทันที “ข้าจะมีความสามารถเอาชนะภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้อย่างไร?”
“ใครจะรู้?” หงหยิงกรอกตาไปมาพร้อมกับลูบคางตนเองและกล่าวว่า “ท่ามกลางบรรดาศิษย์มากมายที่เข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ เจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถต่อสู้กับยู่เฟิงได้ เพราะว่าเจ้ามีความสามารถในการทำนายเรื่องราวต่าง ๆ เจ้าอาจจะคาดเดาเส้นทางของยู่เฟิงและซุ่มโจมตีเขา ก่อนที่เขาจะทันได้ใช้ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า เจ้าก็สามารถเอาชนะเขาได้แล้ว! ดังนั้น เจ้าจึงโยนความผิดทั้งหมดนี้ให้กับดาบเทวะไร้ผู้ต้าน! ฮ่าฮ่าฮ่า ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ใช่หรือไม่? ถูกต้องหรือไม่?”
หงหยิงคว้ามือของฉุ่ยจิ้งพร้อมกับเขย่าอย่างรุนแรง ฉุ่ยจิ้งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรในตอนนี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางต้องการจะอธิบายแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน ดังนั้นนางจึงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ศิษย์น้องเจ้าประเมินข้าสูงเกินไป ข้าไม่มีความสามารถที่จะทำร้ายยู่เฟิงได้!”
“จริงหรือ?” หงหยิงถามต่อ “งั้นบอกข้ามาว่าใครสังหารเขา! อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ เจ้าก็พยากรดูสิ!”
เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางรู้สึกว่าหมดหนทางที่จะกล่าวสิ่งใดต่อ แต่นางก็ไม่อาจทรยศต่อเจ้าอ้วนได้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงเผยยิ้มจาง ๆ พร้อมกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้ายอมรับว่าข้ารู้ว่าผู้ใดสังหารยู่เฟิง แต่ข้าสัญญากับเขาไว้ว่าจะไม่เผยแพร่เรื่องนี้ต่อผู้ใด ดังนั้นเจ้าควรลืมเรื่องนี้ไปซะ!”
“ไม่ใช่เจ้างั้นหรือ?” หงหยิงตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นนางดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก และกล่าวว่า “ฮ่าฮ่า ข้ารู้แล้ว จะต้องเป็นหานปิงเอ๋ออย่างแน่นอน เพราะว่านางครอบครองดาบเทวะจิตวิญญาณเหมันต์ นั่นย่อมสามารถต่อสู้กับภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้ ถูกต้องหรือไม่?”
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าหงหยิงนั้นเดาผิด แต่ฉุ่ยจิ้งไม่คิดจะตอบกลับแต่อย่างใดเพื่อปลดปล่อยตนเองออกจากการสอบปากคำนี้เสียที ดังนั้นเมื่อหงหยิงเห็นว่าฉุ่ยจิ้งเงียบไป นางจึงคิดว่านี่คือคำตอบที่ถูกต้องและเริ่มตื่นเต้นกับเหตุการณ์นี้ จากนั้นนางจึงหันมาสนใจอาการบาดเจ็บของเจ้าอ้วนและคิดหาทางช่วยเหลือเขา แต่แท้จริงแล้วอาการของเจ้าอ้วนนั้นไม่ได้บาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด แต่เขาไม่สามารถกล่าวสิ่งใดกับหงหยิงได้ ดังนั้นเขาจึงหาสถานที่เงียบสงบเพื่อให้สตรีสองคนนี้ดูแลเขาอย่างที่พวกนางต้องการ
การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นภายในหุบเขาแห่งนี้ ผู้ฝึกตนมากมายที่อยู่ตรงกลางของประตูเคลื่อนย้ายต่างสนุกสนานท่ามกลางหอคอยสีฟ้าสูงใหญ่นับร้อยฟุต ในเวลานี้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความคึกคักของเหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักต่าง ๆ
พื้นที่ตรงกลางถูกครอบครองโดยผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน พวกเขาแยกตัวออกเป็นสองกลุ่ม แบ่งเป็นสองแถว มีเจ็ดคนที่แยกตัวออกไป ส่วนอีกสามคนไม่เข้ากลุ่มกับผู้ใด
ผู้ฝึกตนหยวนหยินมักจะให้ความใส่ใจกับความรู้สึกของตนเอง ดังนั้นทุกคนต่างอยู่ในสมาธิพร้อมกับเหล่าคนรับใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ อย่างสง่างาม เนื่องด้วยจากเวลาของการล่าใกล้หมดลงแล้ว หลังจากผ่านมาเนิ่นนานหลายปี ผู้ฝึกตนปีศาจและผู้ฝึกตนชอบธรรมจะต้องจบการทะเลาะเบาะแว้งลงภายในปีนี้อย่างไม่มีข้อยกเว้น
ผู้เฒ่าเฟิงที่มาจากสำนักพันปีศาจ ด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างามของเขาพร้อมกับเคราที่น่าเกรงขาม ได้กล่าวออกมาว่า “เวลาได้มาถึง เมื่อพวกเราได้ส่งผู้ฝึกตนปีศาจซึ่งแข็งแกร่งออกไป ได้เวลาแล้วที่พวกเขาจะกลับมาพร้อมสมบัติอันมากมาย หากพวกเจ้าต้องสูญเสียศิษย์มากเกินไป ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะไม่นำเรื่องเหล่านั้นเก็บมาใส่ใจนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น พวกเขาส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความอหังการ เหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมไม่อาจอดทนต่อความอัปยศนี้ได้ นักบวชฮัวอวิ๋นซึ่งอารมณ์อ่อนไหวต่อการยั่วยุเช่นนี้กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มปีศาจ “ข้ายอมรับว่าข้าไม่มีความสามารถในการโอ้อวดเช่นท่าน แต่ถ้าหากท่านต้องการเปรียบเทียบในด้านการต่อสู้ย่อมได้! เหอะ ศิษย์ของเรามีสมบัติวิญญาณอยู่สามชิ้น มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนปีศาจสามารถเปรียบเทียบได้!”
“ฮ่าฮ่า!” เมื่อผู้ฝึกตนชอบธรรมได้ยินเช่นนั้น พวกเขาหัวเราะออกมาทันที
อย่างไรก็ตามผู้เฒ่าเฟิงไม่ใช่จะยอมแพ้ง่ายๆ เขาโต้ตอบอย่างรวดเร็ว “สิ่งที่นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวนั้นไม่ถูกต้อง ความแข็งแกร่งของสมบัติวิญญาณนั้นน่าทึ่งมากจริง ๆ แต่มันอยู่ที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ เพียงแค่ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าก็สามารถเอาชนะสมบัติวิญญาณทั้งสามชิ้นได้แล้ว ถ้าหากพวกเขาพบกัน แน่นอนว่าฝ่ายข้าจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน ภายในหุบเขาแห่งนี้เป็นภูมิประเทศที่ซับซ้อนยิ่งนัก ข้าเกรงว่าเหล่าศิษย์ของพวกท่านจะไม่มีโอกาสได้พบกันเพราะว่าพวกเขาล้วนถูกสังหารโดยยู่เฟิง! ทุกคนรู้ดีว่ายู่เฟิงมีความสามารถที่จะสังหารเหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมได้ทั้งหมด!”
“ใช่แล้ว ถูกต้องแล้ว!” เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย
“ดูเจ้ามั่นใจยิ่งนัก!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับพร้อมหัวเราะอย่างเย็นชา “อย่าลืมล่ะ ในบรรดาศิษย์ที่เข้าไปในหุบเขา มีลูกศิษย์ของศิษย์น้องข้าที่เป็นถึงเทพธิดาพยากร นางชื่อว่าฉุ่ยจิ้ง! จะมีใครอีกเล่าที่สามารถทำนายอนาคตเช่นนางได้ นางสามารถเปลี่ยนแปลงโชคร้ายให้กลายเป็นพรจาสวรรค์ พวกท่านควรจะตระหนักไว้ว่าเด็กเหล่านี้อาจวางแผนเพื่อรวมตัวกันสังหารยู่เฟิง!”
“ฮ่าฮ่า ความโอ้อวดของท่านนั่นล้นเหลือ! ถ้าหากฉุ่ยจิ้งวางแผนเช่นนั้นจริง แต่ทว่ากลับไม่มีหนทางใดที่นางจะเอาชนะภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้เลย ถ้าคิดว่าข้าไม่รู้จุดอ่อนของเคล็ดวิชาพยากร ขอบอกว่าสิ่งนั้นสามารถใช้งานได้เพียงการต่อสู้กับหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเป็นการต่อสู้แบบกลุ่มนางจะไม่สามารถทำนายเส้นทางได้ แต่ทว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้ากลับปลดปล่อยปีศาจเทวะได้พร้อมกันถึงเก้าตน แล้วฉุ่ยจิ้งจะสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของปีศาจเทวะทั้งเก้าได้งั้นหรือ?” ผู้เฒ่าเฟิงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ถ้าหากว่านางทำนายล่าช้าไปเพียงเล็กน้อย นางจะถูกจับกุม ข้าไม่อยากจะกล่าวสิ่งใดมากนัก ซึ่งมันไม่ดีแน่นอนถ้าหากว่านางต้องพบเจอเขา แต่ถ้าหากนางพบเจอเขาโดยบังเอิญ ข้าเกรงว่านางจะกลายเป็นหญิงสาวของยู่เฟิงต่างหาก!”
“ฮ่าฮ่า ข้าขอแสดงความยินดีที่นายน้อยแห่งสำนักพันปีศาจจะมีภรรยาที่งดงามเช่นนี้!” เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจตะโกนออกมาอย่างร่าเริง
ในขณะที่นักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดพร้อมกับคำรามออกมา “สารเลว ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งหมดจะต้องจบชีวิตลงในที่แห่งนี้!”
“เหอะ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเราลองมาพนันกันดู!” ผู้เฒ่าเฟิงกล่าวอย่างเย็นเยือก “หินจิตวิญญาณระดับสูงหนึ่งพันก้อน ข้าขอพนันว่าจะมีผู้ฝึกตนชอบธรรมออกมาน้อยกว่าฝ่ายข้า!”
“ใบหน้าของเจ้ามีมูลค่าเพียงหนึ่งพันงั้นหรือ?” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาเม้มปากอย่างรังเกียจพร้อมกล่าวต่อ “สองพัน ข้าขอเดิมพันว่าผู้ฝึกตนปีศาจจะเดินทางออกมาน้อยกว่าแน่นอน!”
“ผู้ฝึกตนชอบธรรม หนึ่งพัน!”
“ผู้ฝึกตนปีศาจ สองพัน!” ตามด้วยเสียงนั้น เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหมดโยนหินออกมามากมายเพื่อเดิมพัน สำหรับสำนักที่เป็นกลางพวกเขาทำหน้าที่ในการเป็นพยานการเดิมพันครั้งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเข้าร่วมด้วยแต่ก็ไม่ใช่จำนวนที่ยิ่งใหญ่มากนัก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อยากจะเข้าสู่สงครามระหว่างผู้ฝึกตนปีศาจและผู้ฝึกตนชอบธรรม
ในระยะเวลาสั้น ๆ ทุกคนวางเดิมพันเสร็จสิ้นแล้ว สำหรับนักบวชฮัวอวิ๋นและผู้เฒ่าเฟิงดูเหมือนว่าจะเกิดประกายไฟขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน ในตอนท้ายพวกเขาเดิมพันกันด้วยสมบัติวิเศษขั้นเจ็ด ซึ่งมูลค่าของมันคือล้านหินจิตวิญญาณระดับต่ำ! ในขณะนั้นทุกคนไม่อาจเก็บงำความแปลกใจนี้ไว้ได้
หลังจากการเดิมพันเสร็จสิ้น ไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดต่อ ทุกคนตกอยู่ในความเงียบพร้อมกับเฝ้ารอเวลาสุดท้ายที่กำลังจะมาถึง
ในที่สุดครึ่งชั่วโมงถัดมา เวลาของประตูเคลื่อนย้ายได้มาถึง พวกเขาทะเลาะกันเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดประตูของผู้ฝึกตนชอบธรรมก่อน นักบวชฮัวอวิ๋นและผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทุกคนร่ายอาคมเพื่อให้ประตูเปิด เกิดเป็นแสงสีเขียวปรากฏขึ้นทั่วประตูเคลื่อนย้าย หลังจากแสงหายไปมีเพียงสองคนเท่านั้นที่ออกมาจากประตู! ทั้งยังมีชายผู้หนึ่งกลายเป็นคนพิการ!
เมื่อเห็นเช่นนั้น ผู้ฝึกตนชอบธรรมตกใจทันทีพร้อมทั้งเกิดความโกลาหลขึ้น สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากเจ็ดสิบเหลือเพียงสองคนเท่านั้น! นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ผ่านมาไม่รู้กี่ทศวรรษ ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน!
นักบวชฮัวอวิ๋นพร้อมทุกคนวิ่งไปด้านหน้าด้วยความกังวล เพียงเพราะอยากรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อผู้ฝึกตนปีศาจเห็นเช่นนั้นพวกเขาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าเห็นอะไรงั้นหรือ? ผู้ฝึกตนชอบธรรมตายหมดแล้วยังไงล่ะ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” คลื่นพลังของเสียงหัวเราะถาโถมมาดั่งเช่นพายุ “เร็วเข้า ส่งเด็ก ๆ ออกมา เราจะได้ตอบแทนพวกเขา!”
เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจร่ายอาคมเพื่อเปิดประตูเคลื่อนย้ายของตนเอง เกิดเป็นแสงสีเขียวขึ้นจากนั้นมีผู้ฝึกตนจำนวนสามสิบคนเดินออกมาจากประตู!
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเราทั้งหมดเหลือสามสิบคน ประเสริฐยิ่งนัก” ผู้เฒ่าเฟิงและเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
แต่ทว่าเสียงหัวเราะพลันหยุดลงและใบหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนทันที และเกิดเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดขึ้น “นี่มันไม่ถูกต้อง ทำไมผู้ฝึกตนชอบธรรมจึงมาอยู่ตรงนี้? แล้วศิษย์คนอื่นล่ะ?”
ขณะนี้ผู้ฝึกตนปีศาจล้วนเกิดความกังวลใจ ผู้ฝึกตนชอบธรรมแปรเปลี่ยนเป็นเกิดเสียงโห่ร้องสนั่นพร้อมเข้าล้อมเหล่าศิษย์เพื่อคุ้มกันโดยทันที ชัดเจนว่าพวกเขาเกรงเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจเข้าโจมตีศิษย์ด้วยความโกรธแค้น