ตอนที่ 260 จือโบตกอยู่ในอันตราย
ตอนที่ 260 จือโบตกอยู่ในอันตราย
สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายไม่ใช่พลังลมปราณอีกต่อไป แต่มันเป็นพลังลมปราณแท้จริง !
ทั้งสองไม่ใช่สิ่งที่จะดำรงอยู่ด้วยกันได้ !
หยดน้ำพลังลมปราณหยางที่กักเก็บอยู่ในจุดตันเถียน 70-80 หยด ในตอนนี้เหลือเพียง 20 หยดเท่านั้น
แต่ว่า การดำรงอยู่ของหยดน้ำทุกหยด เทียบเท่ากับหยดน้ำพลังลมปราณ 3-4 หยดในก่อนหน้านี้ ! หยดน้ำพลังลมปราณหยางเช่นนี้ จะระเบิดพลังแห่งการฆ่าที่น่าหวาดกลังยิ่งกว่าเดิมอย่างยิ่ง
หลังจากที่บรรลุเขตแดนลมปราณแท้จริง พลังลมปราณภายในร่างกายของผู้ฝึกยุทธุ์ จะแบ่งระดับขั้นเช่นเดียวกัน จากขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 9 โดยขั้นที่ 1 เป็นขั้นที่สูงสุด ขั้นที่ 9 เป็นขั้นที่ต่ำสุด ! แม้ว่าการแบ่งระดับขั้นเช่นนี้จะไม่สามารถระบุถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธุ์ที่เพิ่งบรรลุเขตแดน แต่มันเป็นวิธีการแบ่งระดับขั้นที่ผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับ
ผู้ฝึกยุทธุ์โดยทั่วไป เมื่อบรรลุเขตแดนลมปราณแท้จริง หากไม่มีสมบัติแห่งฟ้าสวรรค์ค่อยช่วยเหลือ พลังลมปราณแท้จริงของพวกเขาจะอยู่ในขั้นที่ 9 เท่านั้น
แม้จะมีสมบัติแห่งฟ้าสวรรค์ในการช่วยเหลือ ก็ทำได้เพียงก้าวขึ้นไปอยู่ในขั้นที่ 8 แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นความโชคดีอย่างเหลือล้น มันเพียงพอที่จะทำให้คนจำนวนมากหัวเราะจนไม่อาจหยุดลงได้
พลังลมปราณในระดับขั้นเช่นนี้เมื่ออยู่ในสงครามการต่อสู้มันสามารถแสดงพลังความแข็งแกร่งที่มากกว่าพลังลมปราณสามัญทั่วไป แต่มันเป็นการบรรลุเขตแดนลมปราณแท้จริงในเริ่มแรก หากเผชิญหน้ากับยอดฝีมือแห่งเขตแดนลมปราณแท้จริง แม้ว่าระดับขั้นของพลังลมปราณแท้จริงจะอยู่ในขั้นที่สูงกว่า อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา
ระดับขั้นของพลังลมปราณแท้จริง ในอนาคตมันจะแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่จากการบ่มเพาะและฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธุ์
ไม่ว่าจะบ่มเพาะพลังแห่งเขตแดนจุดถึงเขตแดนเทพสวรรค์ขั้นสูงสุด หากมีความโชคดีที่เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ พลังลมปราณแท้จริงจะอยู่ในระดับขั้นที่ 3 หรือ 4 เท่านั้น น้อยคนนักที่จะบ่มเพาะและฝึกฝนจนมันอยู่ในระดับขั้นที่ 2 ส่วนพลังลมปราณในระดับขั้นที่ 1 เป็นเพียงเรื่องราวในตำนานเท่านั้น
สามารถกล่าวได้เช่นนี้ ในขณะที่ผู้ฝึกยุทธุ์คนหนึ่งบรรลุเขตแดนลมปราณแท้จริง ระดับขั้นของพลังลมปราณแท้จริงจะเป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าในอนาคตของเขา มันเป็นรากฐานอย่างนี้ของชีวิต
ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะบรรลุเขตแดนลมปราณแท้จริง อย่างน้อยที่สุดพลังลมปราณของพวกเขาจะอยู่ในขั้นที่ 7 และยังมีคนก้าวกระโดดไปยังระดับขั้นที่ 6 อีกด้วย ระดับขึ้นที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ความก้าวในอนาคตของพวกเขาจะดีขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกัน
หยางไค่ไม่ทราบว่าพลัวลมปราณแท้จริงที่อยู่ในร่างกายของตนเองอยู่ในระดับขั้นที่เท่าใด แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่สามารถอยู่ในระดับขั้นที่ต่ำ อย่างน้อยที่สุดพลังลมปราณแท้จริงของเขาจะอยู่ในขั้นที่ 6-7 หรือสูงกว่านั้น
หยดวารีเปลวเพลิง ผลึกน้ำแข็งนพเก้า สิ่งใดที่ไม่ใช่สมบัติฟ้าสวรรค์แห่งการขัดเกลาพลังลมปราณ ? พวกมันล้วนเป็นสมบัติแห่งฟ้าสวรรค์ที่ยากต่อการค้นพบแต่หยางไค่กลับได้ใช้มันทั้งสองอย่าง
ควบคู่กับการพยายามแผดเผาและขัดเกลาพลังลมปราณขอตนเองในขณะที่อยู่ในเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 7 ดังนั้นพลังลมปราณที่ก่อกำเนิดขึ้น ต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน
หยางไค่หมุนตัวสำรวจไปทั่วบริเวณ ทันใดนั้นสีหน้าของหยางไค่แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน
มารปฐพี สถานการณ์เช่นไร ? หยางไค่กล่าวถามด้วยความสงสัย
เขาพบว่าสถานที่ตนเองกำลังดำรงอยู่ไม่ใช่บริเวณที่ถูกครอบคลุมจากหมอกที่หนาทืบ นอกจากนั้นบริเวณใกล้เคียงของเขายังไร้ซึ่งก้อนศิลาขนาดใหญ่ รอบๆบริเวณ กลับบริเวณผืนดินที่แห้งแล้ง เมื่อมองออกไป บริเวณระยะที่ห่างไกลจะเป็นป่าที่เขียวชอุ่ม และหุบเขา
หลายวันได้มีพลังที่แปลกประหลาดพุ่งออกมาอย่างกะทันหัน จากนั้นข้าและนายน้อยจึงปรากฏอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่ในตอนนั้นท่านกำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของการบรรลุเขตแดนลมปราณแท้จริง ข้าจึงไม่ได้รบกวนท่าน
หยางไค่ขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยประหลาดใจ
ดูเหมือนว่าตัวเองถูกส่งออกมายังสถานที่แห่งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้หลิงไท่ซู่เคยกล่าวว่า เมื่อเขาไปยังสถานที่แห่งนี้เพื่อบ่มเพาะพลังและฝึกฝนวิชายุทธุ์ ไม่ต้องหาทางออก เพราะไม่มีทางที่จะพบเจอ เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เหมาะสมจะสามารถออกมาได้เอง มันมีเวลาของมันอาจจะยาวนานเป็นปี หรือสั้นๆเพียงไม่กี่เดือน
ดูเหมือนว่าระยะเวลาคงไหลผ่านไปเกือบ 1 ปี
หลังจากที่เสร็จสิ้นการฝึกยุทธุ์และบ่มเพาะพลังในสถานที่แห่งนี้ ผลึกผลาญจิตวิญญานเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุด ระยะเวลาเพียง 10 วันมันจะกลั่นตัวและก่อกำเนิดเป็นผลึกผลาญจิตวิญญาณ หากอยู่ในสถานที่แห่งนั้นอีกสักระยะ เขาคงได้รับผลึกผลาญจิตวิญญาณที่มากกว่านี้
แต่ท่ว่าหยางไค่พึงพอใจกับมัน เพราะตนเองได้เก็บเกี่ยวผลึกผลาญจิตวิญญาณถึงหลาย 10 หยด
สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นหุบเขาอเวจี สถานที่ต้องห้ามหนึ่งเดียวในอาณาจักรฮั่นที่ยิ่งใหญ่ ก่อนหน้าที่เขาตามหลิงไท่ซูเข้ามา เขาพบเจอกับสัตว์อสูรขั้นที่ 5 จำนวนมากมาย และยังดุดันและโหดเหี้ยม
หากออกไปในตอนนี้ คงต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น
ด้านหลังของเขาไร้ซึ่งการติดตามจากผู้อื่น พวกเขาคงออกจากหุบเขาอเวจีตั้งแต่แรก
พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะของแต่ละสำนัก ความแข็งแกร่งในระดับสูง หากพบเจอกับสัตว์อสูรขั้นที่ 5 พวกเขาสามารถต่อต้านมันได้อย่างแน่นอน หากเป็นสัตว์อสูรขั้นที่ 6 หากไม่แข็งแกร่งมาก การหลบหนีไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา
นายน้อย สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างประหลาด !
ประหลาดเช่นไร ?
หากไม่เป็นการรบวนขอให้ท่านบินขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อตรวจสอบ ! มารปฐพีไม่ได้กล่าวอย่างละเอียด
หยางไค่พยักหน้า เขาปลดปล่อยปราณจิตสัมผัส ทันใดนั้น สถานการณ์หลาย 10 ลี้ได้ไหลเวียนเข้าสู่ความคิดของเขา ในครั้งเมื่อบรรลุเข้าสู่เขตแดนลมปราณแท้จริง ปราณจิตสัมผัสแข็งแกร่งมากกว่าเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อสัมผัสได้ว่ารอบบริเวณไร้ซึ่งอันรายที่ถึงแก่ชีวิต หยางไค่จึงกางเพลิงปีกอัคคีโลกันย์และบินขึ้นสู่กลางอากาศในทันที เขาก้มหน้าลงต่ำ ดวงตาหรี่ลงด้วยความไม่เชื่อ
เป็นเช่นนั้น............ มารปฐพีสูดลมาหยใจเข้า
ในสถานที่แห่งนี้.............ทำไมถึงดูคล้ายว่าถูกโจมตีจากฝ่ามือของใครคนหนึ่ง ? หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น
บริเวณที่ห่างไกลออกไปประมาณ 10 ลี้ แห้งแล้งไปทั่วบริเวณ ต้นหญ้าไม่ถือกำเนิด ต้นไม้ถูกทำลานจนโค่นล้ม หากจ้องมองอย่างละเอียด จะมองเห็นตราประทับแห่งฝ่ามือ โดยมันได้ครอบคลุมระยะบริเวณกว่าหลาย 10 ลี้
อืม น่าจะถูกโจมตีจากใครคนหนึ่ง
เป็นใครกันที่มีความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ? สีหน้าของหยางไค่เปลี่ยนแปลงไป การโจมตีเช่นนี้ ความแข็งแกร่งเช่นนี้ ก่อให้เกิดความน่าหวาดกลัวสำหรับผู้ที่ได้ยิน
หลิงไท่ซูและเม้งวู่หยาเป็นยอดฝีมือแห่งคนหมู่มาก แต่หยางไค่คาดเดาว่าการร่วมมือของพวกเขาทั้งสองไม่สามารถโจมตีฝ่ามือที่มีความรุนแรงเช่นนี้ได้
นอกจากนั้น ฝ่ามือที่ปรากฏดูเหมือนว่าผ่านไปได้สักระยะ มันต้องผ่านมากว่าครึ่งเป็นอย่างต่ำ จนถึงตอนนี้ แม้ว่าต้นหญ้าจะยังไม่ถือกำเนิด แต่พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ลดลงจนแทบจะสัมผัสไม่ได้
หยางไค่อึ้งไปชั่วครู่ ทันใดนั้นเขาคิดถึงเรื่องบางอย่างได้ ก่อนหน้านี้ที่หลิ่งไท่ซู่ กุ๋ยหลี่แห่งหุบเขาทะเลสาปจักรพรรดิ และแม่เฒ่าแห่งวังบุพผาหมื่นปีที่เข้ามายังหุบเขาอเวจนี หลิ่งไท่ซูเคยกล่าวถามแม่เฒ่า แม่เฒ่าให้คำตอบแก่หลิงไท่ซู่ว่าหุบเขาอเวจีมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นสัตว์อสูรขั้นที่ 5 และ 6 จึงถูกขับไล่ออกมา
ระยะเวลาเหมาะเจาะ การเปลี่ยนแปลงที่แม่เฒ่าเคยกล่าวไว้ ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างยอดฝีมือเหล่านี้ ?
ไม่ควรดำรงอยู่ในสถานที่แห่งนี้เป็นเวลานานอีกต่อไป ! มารปฐพีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม
อืม หยางไค่พยักหน้า เมื่อคาดเดาทิศทางได้ เขาได้บินออกไปโดยเพลิงปีกอัคคีโลกันย์
ก่อนหน้าที่เขาไม่กล้าเปิดใช้เพลิงปีกอัคคีโลกันย์เพราะว่าตนเองยังไม่สามารถตรวจสอบสถานการณ์การเคลื่อนไหวของรอบๆบริเวณ แต่ในตอนนี้เมื่อมีปราณจิตสัมผัส มันไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อปลดปล่อยปราณจิตสัมผัส จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในบริเวณรัศมีหลาย 10 ลี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีผู้คนคอยแอบติดตาม
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หยางไค่ได้บินออกจากหุบเขาอเวจี
หยางไค่บินลงไปยังพื้นดิน เพื่อสืบหาทิศทาง เมื่อคาดเดาทิศทางได้แล้ว เขาได้เดินไปยังทิศทางสถานที่แห่งหนึ่ง
นายน้อยไม่กลับหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ? มารปฐพีจ้องมองด้วยความสงสัย เพราะทิศทางที่หยางไค่เดินออกไป ไม่ใช่หนทางที่กลับไปยังหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว
ยังไม่กลับ ข้าจะเข้าไปในทะเลสาปโอสถราชันย์ ! หยางไค่พยักหน้า
ในตำราสีดำที่ไร้ซึ่งอักขระกล่าวบอกแก่ตนเองให้ไปยังทะเลสาปโอสถราชันย์ โดยที่เขาไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่ ก่อนหน้านี้เขาต้องการที่จะฝึกฝนวิชายุทธุ์และบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งอีกสักหน่อย เมื่อความแข็งแกร่งของตนเองมีความก้าวหน้าเขาจึงจะเดินทางไปยังทะเลสสาปโอสถราชันย์ แต่ไม่คิดว่าหลิงไท่ซูจะพาเขาไปยังหุบเขาอเวจี
ในตอนนี้การบ่มเพาะพลังของเขาอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง เขาจึงปราถนาที่จะไปยังทะเลสสาปโอสถราชันย์
เมื่อบรรลุเขตแดนลมปราณแท้จริง หยางไค่ได้ปลดปล่อยท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหว มันเบาหวิวไร้ซึ่งร่องรอยพลังลมปราณเพียง 1 ลมหายใจทำให้เขาสามารถประกายร่างกายออกไปถึงหลายร้อยจ้าง
แต่เขาทดสอบเพียงไม่กี่ครั้ง เพราะการใช่ท่าร่างแห่งการเคลื่อนไหว เป็นการกระทำที่สูญเสียพลังลมปราณอย่างยิ่ง
2 วันผ่านไป หยางไค่ได้เดินทางออกจากหุบเขาอเวจีกว่าหลายพันลี้
ในขณะที่กำลังเดินทาง จิตวิญญานของหยางไค่ก่อเกิดความรู้สึกที่ถูกรบกวน ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากตัวเขา แต่มันได้ส่งมาจากทิศทางหนึ่งที่ห่างไกล
หยางไค่ตื่นตกใจ เขาหันหน้าไปยังทิศทางนั้น
ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าบริเวณที่ห่างออกไปหลาย 10ลี้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
หยางไค่ขมวดคิ้ว หยางไค่รู้สึกแปลกประหลาดโดยไม่สามารถหาคำตอบได้ ในตอนนี้ตนเองมีปราณจิตสัมผัสที่ครอบคลุมรัศมีบริเวณกว่าหลายลี้ แต่ว่าความเคลื่อนไหวที่อยู่ในระยะห่างเช่นนั้นจะส่งมาถึงตัวเขา ?
ตราประทับแห่งความเป็นนาย !! ทันใดนั้น ดวงตาของหยางไค่ประกายด้วยความสว่าง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าจิตวิญญานถูกรบกวน
ในสถานที่แห่งนี้ ตนเองเคยประทับตราประทับแห่งความเป็นนายให้แก่จือโบและเหลิ่งซาน ในระยะบริเวณที่ห่างออกไปกว่าหลาย 10 ลี้ ต้องมีใครสักคนที่พบเจอกับภัยอันตราย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเช่นนี้
จือโบหรือเหลิ่งซาน ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของหยางไค่เคร่งเครียด เขารีบวิ่งไปยังบริเวณนั้นในทันที
หยางไค่รู้สึกไม่ผิด ระยะบริเวณหลาย 10 ลี้ จือโบกำลังได้รับภัยอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุด ในขณะที่แยกจากหยางไค่ ความแข็งแกร่งของนางอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 6 ระยะเวลาที่ยาวนานในการบ่มเพาะพลัง เขตแดนของนางได้บรรลุไปยังเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 7
ชาติกำเนิดของนางมิได้ต้อยต่ำ สามารถกล่าวได้ว่าจือโบเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง
แต่ในตอนนี้ นางตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง นางต่อต้านการโจมตีของศัตรูอย่างรวดเร็ว โดยรอบข้างของนางเต็มไปด้วยอันตราย
ช่องท้องของนางมีบาดแผลหลายแห่ง โลหิตสีแดงชะโลมเสื้อผ้าของนางจนเปียกชุ่ม ใบหน้าที่งดงามซีดเซียว แม้จะพบเจอภัยอันตราย นางก็ยังขบฟันไว้แน่น โดยไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย
ในขณะที่ออกมาจากหุบเขาอเวจี นางโชคไม่ได้ ที่พบเจอกับการโจมตีจากสัตว์อสูรจำนวนมากมาย หากไม่ใช่เพราะแมลงควบคุมวิญญานของนางสามารถควบคุมสัตว์อสูรตนหนึ่ง นางคงต้องละทิ้งชีวิตในหุบเขาอเวจีอย่างแน่นอน
การต่อสู้ในครั้งนั้น นางได้รับบาดเจ็บอย่างมาก นางได้ปลดปล่อยสัตว์อสูรที่นางควบคุมในสถานที่แห่งนั้น
มันไม่ง่ายที่นางจะหนีออกมา แต่เมื่อเดินทางมาถึงตรงนี้กลับถูกคนคนหนึ่งไล่ฆ่าอย่างไร้ความปราณี !
คนคนนี้นางรู้จักดี นั่นคือหวู่เฉิงหยี่ที่หยางไค่กำลังตามหานั้นเอง
เขตแดนของหวู่เฉิงหยี่ทะยานขึ้นสู่เขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 8 แม้จะสูงกว่าจือโบเพียงขั้นเดียว แต่เพราะความเหนื่อยล้าที่เดินทางออกมา และยังได้รับบาดเจ็บก่อนหน้า ทำให้นางไม่สามารถป้องกันตนเอง โดยนางเป็นผู้เสียเปรียบในการต่อสู้ในระยะเวลาไม่นาน และยังถูกแทงด้วยกระบี่ สถานการณ์การของนางจึงไม่สู้ดีนัก
กลิ่นอายแห่งกระบี่ได้พุ่งโจมตีออกมาจากทั่วบริเวณทั้ง 4 ทิศ สีหน้าของจือโบเต็มไปด้วยความกังวล นางได้นำสมบัติวิเศษที่เป็นกระจกทองเหลืองออกมา จากนั้นจึงถ่ายเทพลังลมปราณเข้าไป ให้มันแปรเปลี่ยนเป็นโล่ป้องกันอยู่ตรงหน้าของตนเอง
ติ่งติ่งตังตัง !! กลิ่นอายแห่งกระบี่โจมตีไปยังโล่ป้องกันของนาง โดยไม่สามารถทำอันตรายต่อจือโบ แต่มันทำให้นางถอยหลังออกไป และสูดลมหายใจเข้าออกอย่างไม่หยุด
ข้าต้องการเพียงวิธีการการทำให้สัตว์อสูรเป็นทาสของข้า ! นำมันออกมาให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า !! กระบี่ที่อยู่ในมือของหวู่เฉิงหยี่จ่อไปที่ต้นคอของจือโบ เขากล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
ในสถานที่แห่งนี้ หวู่เฉิงหยี่มองเห็นความแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ของวิธีการควบคุมสัตว์อสูรของกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่าง ดังนั้นเขาจึงอยากได้มันมาครอบครอง เขาวางแผนเพื่อแย่งชิงมัน ในครั้งนี้เขาได้ตัวของจือโบ สิ่งที่เขาต้องการคือเคล็ดวิชาลึกลับที่ไม่ถ่ายทอดให้แก่ภายนอกของตำหนักหลิงหล่อ
ฝันไปเถอะ !! จือโบขนฟันแน่น
หวู่เฉิงหยี่หัวเราะอย่างเยือกเย็น : ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ไม่เช่นนั้นข้าจะจับไว้ ความตายจะเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้า !! สตรีที่มีรูปร่างและหน้าตาเช่นเจ้า คงมีผู้คนไม่น้อยที่ชื่นชม
ดวงตาของจือโบประกายด้วยความเยือกเย็น นางยิ้มออกมาอย่างเย้ายวน : เจ้าชอบใช่ไหม ?
สีหน้าของหวู่เฉิงหยี่นิ่งสงบราวกับน้ำแข็ง : ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่ไร้ความรู้สึก ไม่มีทางที่ข้าจะหวั่นไหวกับสตรี ดังนั้นเจ้าต้องเก็บเจตนาของเจ้าเอาไว้ แต่ว่าข้ามีอาจารย์ลุงที่หื่นกระหาย ข้าเชื่อว่าเขาจะเก็บเจ้าเอาไว้อย่างแน่นอน !!!
สีหน้าของจือโบซีดขาวลง นางกัดฟันและสบถด่า : ไอ่สารเลว !