ตอนที่ 258 ก่อกำเนิดปราณจิตสัมผัส
ตอนที่ 258 ก่อกำเนิดปราณจิตสัมผัส
เมื่อสักครู่มารปฐพีตื่นตะลึงจนความคิดวุ่นวายไปหมด เขาไม่ได้คิดถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้เมื่อถูกหยางไค่กล่าวเตือน ในที่สุดเขาก็เข้าใจในจุดนี้
ในขณะที่อยู่บนเกาะซ่อนเร้น เมื่อหยางไค่ได้รับดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์ มันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาน แต่ว่าการบ่มเพาะพลังของหยางไค่ยังไม่ถึงเขตแดนเทพสวรรค์ แม้ว่าดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์จะอยู่ในร่างกายของเขา แต่กลับมองไม่เห็นร่องรอยของมันแม้แต่น้อย
ในครั้งนี้เมื่อหยางไค่ตกอยู่ในอันตราย จิตวิญญานได้รับบาดเจ็บ ดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์จึงสำแดงอำนาจพลังและความสามารถของมันออกมา
เมื่อมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ทำไมยังต้องหวาดกลัวหมอกสีขาวเหล่านี้ด้วยล่ะ ?
หมอกสีขาวและดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์ ทำให้สูญเสียและได้รับการฟื้นฟู ในขณะที่จิตวิญญานของหยางไค่ถูกทำลาย จิตวิญญานของหยางไค่จะเจริญเติบโตและมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
แ่ต่ในขณะที่มันกำลังเกิดขึ้น หยางไค่จะได้รับความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมาณ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ผู้คนทั่วไปจะรับได้
นายน้อยมีสวรรค์คอยช่วยเหลือ มีดวงดาวแห่งความโชคดีส่องสว่าง ข้ารู้ตั้งแต่แรกว่านายน้อยจะปลอดภัย มารปฐพีกล่าวประจบประแจงเกินความจริงอีกครั้ง
หยางไค่หัวเราะอย่างแผวเบา เมื่อไร้ซึ่งความกังวล เขาค่อยๆคุกเข่าลง โดยอยู่ภายในใต้การห่อหุ้มของหมอกสีขาว โดยไม่ขยับเขยื้อน
แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมีเป็นสถานที่ต้องห้าม แต่มันเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมในการขัดเขลาจิตวิญญาน หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป เขาไม่มีทางทราบได้เลยว่าจะค้นพบสถานที่่ล้ำค่าเช่นนี้ได้อีกเมื่อไหร่ ?
ดังนั้นหยางไค่จึงตัดสินใจ อยู่ในสถานที่แห่งนี้ระยะเวลาหนึ่ง แม้ว่าทุกครั้งที่ดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์ฟื้นฟูจิตวิญญานของเขา มันทำให้จิตวิญญานของเขามีความก้าวหน้าเพียงน้อยนิด ่แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็มีการพัฒนา มันต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งในการบ่มเพาะให้มันแข็งแกร่งไม่แน่ว่าตนเองอาจจะฝึกฝนปราณจิตสัมผัสแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ก็เป็นได้
ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาณราวกับคลื่นทะเลที่ซัดเข้ามาอย่างรุนแรง มันต้องใช้ความอดทนที่แข็งแกร่ง หยางไค่อดทนต่อความเจ็บปวดทุกข์ทรมาณในทุกๆครั้ง หลังจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมาณ ในขณะที่เวียนศีรษะจนสติจะหลุดลอยไป ดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์จะฟื้นฟูและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญานของเขาแม้ว่าการดำเนินการจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่หยางไค่พึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง
การบ่มเพาะจิตวิญญานเสียเวลาอย่างมาก
ครึ่งวันผ่านไป เสียงร้องด้วยความโหยหวนจากจากความทุกข์ทรมาณดังขึ้น หยางไค่เบิกตาโพลง และมุ่งไปยังทิศทางของต้นเสียง ซึ่งพบเห็นศิษย์พี่ของจือโบ จี่เซียที่กำลังพุ่งตรงออกไปจากหมอกสีขาว สภาพของเขาค่อนข้างอ่อนล้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่เขากำลังพุ่งออกไป เขาไม่หยุดที่จะปลดปล่อยพลังลมปราณแท้จริงออกไปและพุ่งโจมตีกระบวนท่าด้วยเคล็ดวิชาต่างของเขาออกไปอย่างรุนแรง
มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้มิได้โชคดีเหมือนหยางไค่ที่มีดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์คอยช่วยเหลือ โดยไม่ต้องกังวลว่าจิตวิญญานจะถูกทรมาณอีก
ในตอนนี้สติของเขาไม่เหมือนเดิม แม้ว่าเขาจะสามารถหนีออกจากหมอกสีขาวเหล่านี้ เขาจะกลายเป็นคนบ้าที่เสียสติ
หยางไค่ค่อยๆลุกขึ้น เขาจ้องมองไปที่จี่เซียด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น หลังจากที่ครุ่นคิดได้สักครู่ เขาเดินเข้าไปหาจี่เซียอย่างทนไม่ได้
แม้ว่าไม่สนใจเขา เขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน แต่ว่าเขาเป็นยอดฝีมือแห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 7 หลังจากที่เขาตายลูกแก้วชีพจรโลหิตที่เขาได้รับไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
จี่เซียนำพาหยางไค่พุ่งเข้ามายังหมอกสีขาวแห่งนี้ เดิมที่เขาต้องการสำรวจและเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่เคยได้สัมผัส แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการขูดหลุมฝังศพของตนเอง หากเขารู้ว่าหมอกสีขาวเหล่านี้เป็นอันตราย เขาคงไม่วิ่งเข้ามาด้วยความโง่เขลาอย่างแน่นอน
เขาก้าว 3 ก้าวดั่งก้าว 2 ก้าว โดยได้มาถึงด้านหน้าของจี่เซีย เขาพุ่งหมัดออกไป โดยที่จีเซียไม่ได้หลบเลี่ยง แต่จี่เซียได้พุ่งหมัดออกไปปะทะกับหมัดของหยางไค่
หยางไค่เอียงตัวหลบหนี หมัดเปลวเพลิงผลาญอัคคีโจมตีไปที่ร่างกายของจีเซี่ย ปัง ! จี่เซียลอยกระเด็นออกไป
การต่อสู้ไม่ได้รุนแรง เพราะจีเซียไร้ซึ่งสติสัมปชญะ พลังลมปราณแท้จริงขั้นที่ 7 เป็นเพียงพลังลมปราณที่ว่างเปล่า โดยที่เขาไม่สามารถแสดงอำนาจพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ ผ่านไปไม่ถึง 10 ลมหายใจจี่เซียได้ตายอยู่ในการโจมตีของหยางไค่
หยางไค่เก็บลูกแก้วชีพจรโลหิตของจี่เซีย จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิลง เพื่อฝึกฝนจิตวิญญานของตนเองต่อ
ในสถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งดวงตะวันและจันทรา ไม่รู้เวลาที่ไหนผ่าน มีหลายครั้งที่หยางไค่แยกแยะเวลาด้วยความรู้สึกของตนเองว่าผ่านไปนานแค่ไหน
หลังจากที่ฝึกฝนอยู่ในหมอกสีขาวเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ในที่สุดเขตแดนของหยางไค่ได้บรรลุไปยังเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 9 !
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความพยายามในการฝึกฝนของเขาเพียงอย่างเดียว เพราะเขาได้ดูดซับพลังของลูกแก้วชีพจรโลหิตกว่า 80 ดวง ลูกแก้วชีพจรโลหิตเหล่านี้ล้วนเป็นลูกแก้วชีพจรโลหิตที่เขาได้รับจากการกลุ่มของเฉินเซียซู
ส่วนใหญ่เป็นลูกแก้วชีพจรโลหิตของสัตว์อสูร มีเพียงลูกแก้วชีพจรโลหิตของยอดฝีมือแห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงเพียง 5 ดวงเท่านั้น และภายในลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้ง 5 ดวงซ่อนเร้นพลังที่วิเศษมากกว่าลูกแก้วชีพจรโลหิตของสัตว์อสูร
เมื่อดูดซับพลังที่มากมายมหาศาลเช่นนี้ ควบคู่กับการฝึกฝนบ่มเพาะพลังกว่าครึ่งเดือน มันจึงทำให้เขตแดนของเขามีความก้าวหน้า นอกจากนั้นเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 9 ที่เพิ่งบรรลุยังแข็งแกร่งพอที่จะบรรลุเขตแดนลมปราณแท้จริงได้โดยง่าย
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา หยางไค่ค่อยๆคุ้นชินกับความเจ็บปวดจากการถูกทรมาณจิตวิญญาน โดยสามารถทำได้แม้แต่ไม่สนใจมัน แม้ว่าความเจ็บปวดยังดำรงอยู่ แต่มันไม่สามารถส่งผลกระทบต่อหยางไค่แม้แต่น้อย
ในขณะที่มันฟื้นฟู มันค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ การรับรู้ของของเขาเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ครึ่งเดือนหลังผ่านไป หยางไค่เริ่มหาทางจากจากสถานที่แห่งนี้
ในเมื่อไม่ต้องกังวลถึงการบ่มเพาะจิตวิญญานของตนเอง เมื่อหมอกสีขาวรอบบริเวณจะโจมตีจิตวิญญานขอเขา แต่ดอกบัวจิตเทพสวรรค์จะค่อยฟื้นฟูจิตวิญญานที่ถูกทำลาย ไม่ว่าเขาจะใส่ใจหรือไม่ใส่ ผลที่ได้รับก็เป็นเหมือนเดิม
หลังจากที่ค้นหาทางออกเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายของเขายังคงวนเวียนอยู่ในหมอกสีขาว โดยไม่เห็นทางออกด้านหน้าและไม่เห็นผู้ที่เข้ามาใหม่
เมื่อสถานการณ์เริ่มเลวร้าย จิตใจของหยางไค่เริ่มมีความกังวล โดยเขาได้เปิดใช้เพลิงปีกอัคคีโลกันย์ แต่ก็ไม่สามารถบินออกจากสถานที่แห่งนี้
ในวันนี้ ในขณะที่หยางไค่กำลังสำรวจ เขารู้สึกอย่างฉัับพลันว่าหมอกสีขาวมีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนี้ค่อนข้างประหลาด หากไม่ใช้จิตใจสัมผัส จะไม่รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการรับรู้ของหยางไค่เริ่มมีความแข็งแกร่งมากขึ้น หากเป็นเมื่อครึ่งเดือนก่อนเขาไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความปกติที่เกิดขึ้น
หยางไค่หยุดฝีเท้าและสังเกตุไปทั่วบริเวณ
ผ่านไปได้สักพัก หยางไค่จึงยืนยันได้ว่า หมอกสีขาวที่อยู่รอบบริเวณ มันค่อยๆรวมตัวไปอย่างจุดหนึ่งที่แน่นอน แม้ว่าไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้คือ แต่หยางไค่ได้สำรวจหลายครั้ง ในที่สุดก็ค้นพบต้นตอของมัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางปล่อยให้มันผ่านไปอย่างแน่นอน
หยางไค่ติดตามตำแหน่งทิศทางที่หมอกสีขาวลอยผ่านไป เขาค่อยๆเดินเข้าไปลึกยิ่งขึ้น การเคลื่อนไหวของหมอกสีขาวเริ่มมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น มันยังได้นำพาเสียงแห่งสายลมมาด้วย ราวกับว่าบริเวณแห่งนั้น มีบางสิ่งบางอย่างกำลังดูดกลือนหมอกสีขาวเหล่านี้
หยางไค่ระมัดระวังตัวขึ้นเรื่อยๆ ฝีเท้าของเขาเบาอย่างยิ่ง เขาค่อยๆเดินเข้าใกล้บริเวณแห่งนั้น
ผ่านไปได้ไม่นาน ฟู่วฟู่ว !! เสียงราวกับการดูดกลืนดังขึ้น ราวกลับว่าลมวายุที่เยือกเย็นกำลังไหลเวียนเข้าสู่หลุมลึกแห่งหนึ่ง
หยางไค่ตั้งสติอย่างแน่วแน่ถึงขีดสุด การรับรู้ของเขาได้ขยายเป็นวงกว้าง หยางไค่ค่อยเดินเข้าไปยังบริเวณต้นตอของเสียงด้วยความระมัดระวังอย่างสุดขีด
หลังจากนั้น หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น เขามองเห็นก้อนศิลาที่มีรูปร่างแปลกประหลาดโดยตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ห่างจากเขามาก นอกจากนั้นสถานที่หมอกสีขาวไหลเวียนเข้าไป คือรูหลุมเล็กๆในก้อนศิลานั้น
ก้อนศิลาก้อนนี้ราวกับกว่ามันกำลังอ้าปากของมัน และกำลังดูกลืนหมอกสีขาวเหล่านี้
เมื่อตรวจสอบแล้วว่าไร้ซึ่งอันตราย หยางไค่จึงผ่อนปรนความกังวล เขาค่อยๆเดินเข้าไป และสำรวจอย่างละเอียด โดยพบว่าตรงกลางของก้อนศิลาว่างเปล่า หมอกสีขาวไหลเวียนจากด้านบนไปสู่หลุมลึกของมัน และมันได้ไหลออกมาจากช่องว่างเล็กๆที่อยู่ด้านหลัง เสียงที่ดังขึ้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มันแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
หยางไค่เดินวานรอบๆก้อนศิลานี้ 1 รอบ และพบว่าก้อนศิลานี้ไม่ธรรมดา
บนก้อนศิลามีร่องรอยแห่งการถูกโจมตี มีร่องรอยที่เบาบาง โดยที่ก้อนศิลาไม่ได้แตกสลายไป
ร่องรอยเหล่านี้ เกิดจากการถูกโจมตี ต้องมีคนเคยโจมตีมันมาก่อน คนที่สามารถเข้ามาถึงบริเวณนี้ ความแข็งแกร่งอย่างน้อยต้องอยู่ในเขตแดนลมปรารแท้จริง แต่การโจมตีของเขตแดนลมปราณแท้จริงกลับมีเพียงร่องรอยที่บางเบา ศิลาก้อนี้ต้องมีความแข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นเอาไว้อย่างแน่นอน
หากเป็นศิลาทั่วไป แล้วถูกผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงโจมตี มันคงแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆตั้งแต่ครั้งแรก
เมื่อจิตใจมีการวางแผน หยางไค่จึงเริ่มทดสอบโดยเริ่มโจมตี และพบว่ามันเป็นอย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้ แม้ว่าตนเองจะใช้พลังความแข็งแกร่งทั้งหมดของตนเองโจมตีออกไป ก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้
แม้จะทราบดีว่าก้อนศิลาก้อนนี้เป็นสมบัติวิเศษ แต่หยางไค่ทำได้เพียงมองมันอย่างไร้ความหวังเท่านั้น เพราะศิลาขนาดใหญ่เช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดมันต้องมีน้ำหนักประมาณหลายพันจิน หรืออาจจะมากกว่านั้น ตัวเขาไม่สามารถนำมันกลับไปได้
ในขณะที่กำลังหอบหายใจ หยางไค่ได้หันไปมองยังเบื้องล่างของศิลาก้อนนี้อย่างฉับพลัน เขาค่อยลดตัวลงต่ำ
ในช่องว่างที่หมอกสีขาวลอยออกมา มันมีหลุมเล็กๆหลุมหนึ่ง หลุมเล็กๆมีขนาดประมาณเม็ดทั่วเหลือง และในตอนนี้ ในหลุมเล็กนั้นมีแสงสว่างที่สดใสประกายออกมา ดูเหมือนว่ามันเป็นหยดวารีที่มีสีเหลืองอำพัน
หยางไค่สูดดมมัน และพบว่ามันมีกลิ่นหอม สติของเขาสั่นสะเทือน มันรู้สึกสบายยิ่งกว่าเวลาที่ดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์ฟื้นฟูจิตวิญญานของเขา
สมบัติวิเศษ !! แม้ว่าหยางไค่ไม่ทราบว่าหยดวารีสีเหลืองอำพันที่เขาพบเจอจะเป็นสิ่งใด แต่เขายืนยันได้ว่ามันเป็นสมบัติวิเศษ และยังเป็นสมบัติวิเศษที่มค่าต่อจิตวิญญาน
เมื่อจ้องมองหยดวารีที่อยู่ด้านล่าง ดวงตาของหยางไค่ประกายด้วยความโลภอย่างสุดซึ้ง
หยางไค่ยื่นนิ้วออกไป เขาควบคุมพลังลมปราณด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะดูดซึมหยดวารีสีเหลืองอำพันนี้ออกมาจากหลุมลึกนั้น
ยังมิทันที่หยางไค่จะตรวจสอบ หมอกสีขาวที่อยู่รอบบริเวณเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ความเร็วในการเคลื่อนไหวขอมันรวดเร็วกว่าเดิมถึงหลาย 10 เท่า โดยมันได้ไหลเวียนเข้าสู่รูหลุมเล็กๆบนศิลาก้อนนั้น
แต่ว่าในครั้งนี้ หมอกสีขาวที่ไหลเวียนเข้าไปไม่ได้ลอยออกมา โดยที่มันได้ไหลเข้าสู่หลุมลึกแห่งนั้นด้วยพลังบางอย่างที่แปลกประหลาด โดยมันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หยางไค่ตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้น หลุมลึกเล็กๆแห่งนั้นราวกับว่ามีหมอกแห่งหยดวารีเกิดขึ้น เบื้องล่างของมันราวกับว่ามีเส้นไหมสีเหลืองอำพันกำลังควบแน่นไปมาอย่างไม่หยุด
หรือว่าหยดวารี 1 หยดที่อยู่ในมือของตน เป็นเหตุผลที่ทำให้หมอกสีขาวรวมตัวกันและก่อให้เกิดเป็นสถานที่แห่งนี้ ?
แม้จะเป็นการคาดเดา แต่จากสถานการณ์ที่ตนเองมองเห็น หยางไค่คาดเดาว่ามันต้องเป็นความจริง
เดิมทีหยางไค่ต้องการเก็บหยดวารีหยดนี้เอาไว้ แต่เมื่อทราบว่าสถานที่แห่งนี้ไม่สามารถก่อกำเนิดได้อีก หยางไค่จึงไม่ได้สนใจมัน
เมื่อครุ่นคิดไปมา หยางไค่ได้เทหยดวารีสีเหลืองอำพันที่เขาได้รับเข้าไปในปากและกลืนมันเข้าไปในทันที
ในปากของเขาเต็มไปด้วยความหอมหวาน ราวกับน้ำผึ้งที่อ่อนหวาน หยางไค่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหยดวารีสีเหลืองอำพันกำลังแปรเปลี่ยนเป็นพลังบางอย่าง มันได้พุ่งเข้าสู่จุดตันเถียนของตนเอง จากการเผาไหม้ของพลังลมปราณหยาง จากหนทางของเส้นชีพจรลมปราณ มันได้พุ่งเข้าสู่ศีรษะของหยางไค่ในทันที
ทันใดนั้น เขารู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาอเบาหวิวดังปุยเมฆ ความรู้สึกสบายที่ไม่อาจอธิบายได้แผ่ซ่านจากภายในสู่ภายนอก เนื้อหนังทุกส่วน รุขุมขนถูกอนุต่างเริ่งร่าด้วยความยินดีอย่างไม่หยุด
ศีรษะสติสัมปชญะของเขาสว่างและชัดเจนยิ่งกว่าทุกครั้ง
ความรู้สึก การสัมผัส การมองเห็น การได้ยิน ในตอนนี้มันแข็งแกร่งและขยายเป็นบริเวณที่กว้างขวางยิ่งกว่าเดิม
เมื่อหันหน้ามองออกไป หยางไค่มองเห็นแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 100 จ้าง
บริเวณของหมอกสีขาวเหล่านี้ หยางไค่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมที่อยู่ห่างออกไปกว่า 10 จ้าง และมันยังครึมทืบไปด้วยหมอกสีขาว แต่ในตอนนี้ การมองเห็นด้วยจิตสัมผัสของเขาขยายเป็นวงกว้างกว่า 10 เท่า !
การได้ยินจากจิตสัมผัส มีความก้าวหน้าเช่นเดียวกัน !
ตนเองได้กลืนกินสิ่งของบางอย่างที่มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมเข้าไป !! หยางไค่ไม่กล้าที่จะรอช้า เขานั่งขัดสมาธิลง รวบรวมจิตใจของตนเอง และหลอมละลายพลังของหยดวารีสีเหลืองอำพันนั้นต่อ
จากการดูดซับพลังของมัน คุณสมบัติของมันเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ครั้งแรกมันเป็นร่างกาย หยางไค่สัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังฟ้าดินที่ไหลผ่านร่างกายของเขาไป และยังสามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอวัยวะภายในทั้ง 5
เมื่อรอจนกระทั่งความรู้สึกนี้ผ่านไป ศีรษะแลจิตใต้สำนึกของเขามีความรู้สึกที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น ราวกับว่ามีกำแพงที่ขวางกั้นอยู่ภายใน จะอ้อมเข้าไปก็ไม่สามารถทำได้ มันทำให้หยางไค่ร้อนรนจนแทบคลั่ง โดยไม่สามารถทำอะได้
การดำรงอยู่ของกำแพงที่ขวางกั้น แม้แต่ความการรับรู้ของหยางไค่ยังถูกขวางกั้น
สถานการณเช่นนี้ดำรงอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุด กำแพงที่ขวางกั้นได้ถูกทำลายไป
ความรู้สึกที่ร้อนรนถูกแทนที่ด้วยความสบาย หยางไค่รู้สึกว่าสติสัมปชญะของเขาได้ถูกชำระและก่อกำเนิดขึ้นมาใหม่โดยไม่สามารถอธิบายออกมาได้
การรับรู้ของตนเองมีความก้าวหน้าไปพร้อมๆกัน มันได้แปรเปลี่ยนไปราวกับ
ดวงตาที่ไร้ซึ่งรูปร่าง ภายใต้การกลั่นตัวที่รวดเร็วมันได้ปลดปล่อยการมองเห็นไปยังรอบบริเวณในทันที
บริเวณที่ตนเองเดินผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นหมอกสีขาว ต้นใหญ่ทุกคน ราวกับว่ามองเห็นด้วยตนเอง มันได้จดจำเข้าไปยังสมองของตนเอง อย่างชัดเจน
โดยไม่มีการละเลย สิ่งต่างๆในบริเวณรัศมี 3 ลี้
หยางไค่เบิกตาอย่างฉับพลัน ดวงตาประกายด้วยความประหลาดใจอย่างขีดสุด แต่เขายังคิดไตร่ตรองด้วยความสงบ
ผ่านไปสักครู่ เขาจึงเผยให้เห็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาด ดวงตาประกายอย่างแพรวพราว
มารปฐพี ...ดูเหมือนว่าข้าฝึกฝนปราณจิตสัมผัสจนสำเร็จ หยางไค่กล่าวด้วยความแผ่วเบา
ว่าไงน่ะ ? มารปฐพีตื่นตะลึง : นายน้อยไม่ได้กล่าวผิดไปใช่ไหม ?
ไม่ ข้าฝึกฝนปราณจิตสัมผัสได้จริงๆ ดวงตาของหยางไค่ประกายด้วยรอยยิ้มที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เขาได้กล่าวความรู้สึกของตนเองให้แก่มารปฐพีอีกครั้ง
มารปฐพีอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เขาตื่นตะลึงว่าหยางไค่เป็นคนแห่งสวรรค์ชั้นฟ้าเป็นเวลานาน โดยไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้อีกต่อไป
หากเป็นเช่นนี้ .มันเป็นปราณจิตสัมผัสแห่งจิตวิญญานอย่างแน่นอน ! คำกล่าวของมารปฐพีเต็มไปด้วยวามตื่นตะลึงและความชื่นชม เพียงแค่หลับตาเขาก็สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบบริเวณ หากไม่ใช่ปราณจิตสัมผัสแห่งจิตวิญญานแล้วจะเป็นสิ่งใด ?
ในเขตแดนเทพสวรรค์ ผู้ฝึกยุทธุ์สามารถใช้มันในการตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆบริเวณ การรับรู้มีความผิดพลาดที่ค่อนข้างน้อย สามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง แต่ว่าความสามารถเช่นนี้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่มัน โดยใช้ความสามารถของตนเองการได้ยินการได้กลิ่น โดยบางครั้งอาจจะต้องหลอมรวมกับกลิ่นอายที่ไหลเวียนอยู่บริเวณนั้น เพื่อแแยกแยะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณใกล้เคียง
การรับรู้ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง บางครั้งมันอาจมีความผิดพลาด แต่เมื่อผู้ฝึกยุทธุ์ที่ยังไม่บรรลุเขตแดนเทพสวรรค์ มีเพียงวิธีการนี้ที่จะทำให้ได้รับข้อมูลที่มองไม่เห็น
แต่เมื่อบรรลุเขตแดนเทพสวรรค์จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันสามารถบ่มเพาะปราณจิตสัมผัส เมื่อจิตสัมผัสถูกปลดปล่อยออกมา จะสามารถมองเห็นสถานการณ์ที่อยู่รอบข้างราวกับเห็นด้วยตาตนเอง
เมื่อเปรียบเทียบกับการรับรู้โดยทั่วไปกับปราณจิตสัมผัส ประโยชน์และความสามารถของปราณจิตสัมผัสแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากกว่า ความแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่เพียงทำให้สามารถสืบหาข้อมูลลับจากศัตรู ปราณจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งจะสามารถโจมตี ทำให้พวกเขาได้รับชัยชนะมามากมาย
แต่ว่า ..ปราณจิตสัมผันมีเพียงยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ถึงจะฝึกฝนมันได้ แต่นายน้อยของเขายังอยู่ในเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 9 เท่านั้น !!
ระหว่างกลางของมันมีความแตกต่างระหว่างเขตแดนขนาดใหญ่และขนาดเล็กที่มากมาย !!
แม้ว่าระยะเวลาที่ติดตามหยางไค่เขาจะพบเจอกับความแข็งแกร่งและความลึกลับของหยางไค่ แต่ในตอนนี้มันก็ทำให้มารปฐพีไม่สามารถยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นายน้อยฝึกฝนปราณจิตสัมผัสจนสำเร็จ นั่นหมายความว่านายน้อยต้องมีการรับรู้ในจิตใต้สำนักด้วย ? มารปฐพีกล่าวถาม
ไม่มี !! หยางไค่รู้สึกสงสัยโดยไม่สามารถหาคำตอบได้เช่นเดียวกัน การรับรู้ทางจิตใต้สำนึกหยางไค่รู้จักมันอย่างดี แต่เมื่อสักครู่ที่ตรวจสอบ หยางไค่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีการปรากฏของการรับรู้ทางจิตใต้สำนึก
เป็นไปได้อย่างไร ? มารปฐพีกล่าวร้องด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะกล่าวถามต่อ : นายน้อยสามารถมองเห็นภายในร่างกายของตนเองหรือไม่ โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ในความคิด ? เพราะในร่างกายของท่านมีดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์ เมื่อมองเห็นมันก็หมายความว่าท่านมีการรับรู้ทางจิตใต้สำนึก
มองไม่เห็น หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น : ดูเหมือนว่าข้าตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายนอกได้เท่านั้น