ตอนที่ 249 ข้านี้แหละจอมยุทธุ์แห่งอาณาจักรอั่น
ตอนที่ 249 ข้านี้แหละจอมยุทธุ์แห่งอาณาจักรอั่น
เสียงแห่งการต่อสู้ดังสะท้านฟ้า ผู้ฝึกยุทธุ์ 17-18 เรียงล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่ โดยมอบหน้าที่การดูแลความปลอดภัยด้านหลังให้แก่กันและกัน ในตอนนี้ ศิษย์อัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักทั้ง 18 สำนัก ได้ร่วมมือกันเป็นปึกแผ่น
ผ่านไปได้ไม่นาน สัตว์อสูรที่ตายต่างล้มลงไปที่พื้นเป็นจำนวนมาก เหล่าผู้ฝึกยุทธุ์ต่างปลดปล่อยพลังลมปราณแท้จริงของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
จากกลิ่นโลหิตที่ฟุ้งไปทั่ว กระตุ้นให้สัญชาตญานที่ดุดันของสัตว์อสูรให้ดุดันยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าพวกมันกำลังตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง โดยพวกมันพุ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต กลุ่มคนเหล่านี้ได้เผชิญหน้ากับสัตว์อสรูกว่า 50 ตนที่ยากลำบากอยู่แล้ว แต่เมื่อหยางไค่และจือโบเจ้ามา มันได้นำพาสัตว์อสูรอีก 50 ตัวที่เหลือ ในชั่วเวลาพริบตาก่อให้เกิดแรงกดดันที่หนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง
จากเสียงร้องที่โหยหวน ผู้ฝึกยุทธุ์คนหนึ่งถูกสัตว์อสูรขั้นที่ 5 กัดทะลวงไปที่ทรวงอก โลหิตไหลรวยริน แม้จะยังไม่ตายแต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เขาค่อนข้างฉลาดหลักแหลม เขาค่อยถอยเข้าไปและแทรกเข้าไปยังวงล้อมภายในคนที่อยู่ข้างๆรีบขยับปิดตำแหน่งที่ขาดหายไป
สามารถควบคุมพวกมันได้ไหม ? หยางไค่กล่าวถามจือโบด้วยเสียงที่สั่นเทา
กำลังพยายาม แต่มันยากต่อการควบคุม ! จือโบกัดฟันไว้แน่น ในขณะที่นางพุ่งโจมตี นางได้ปลดปล่อยแมลงควบคุมวิญญานของนาง แต่ว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นกำลังเคลื่อนไหวไปมาด้วยความดุดัน ทำให้แมลงควบคุมวิญญาณไม่สามารถแสดงอำนาจแท้จริงของมันออกมาได้
ระยะเวลา 1 ก้านธูปผ่านไป จือโบควบคุมสัตว์อสูรได้ไม่ถึง 5 ตน นอกจากนั้นหลังจากที่สัตว์อสูรทั้ง 5 ตนถูกควบคุม ใช้เวลาต่อสู้ได้ไม่นานก็ถูกโจมตีจากสัตว์อสูรด้วยกันจนตาย
จากระยะเวลาที่ไหลผ่าน จากพลังลมปราณแท้จริงที่ใกล้จะหมดไปและคนอื่นๆที่ได้รับบาดเจ็บ ความกังวลและอันตรายได้เข้าใกล้มาเรื่อยๆ
ทำยังไรดี ? หน้าผากของจือโบเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น การต่อสู้ที่ยาวนานเช่นนี้ สัตว์อสูรตายไปเพียง 30 ตน นอกจากนั้นส่วนใหญ่ยังเป็นสัตว์อสูรขั้นที่ 4 สัตว์อสูรขั้นที่ 5 ที่ยังมีชีวิตล้วนเป็นต้นตอในการสร้างความกดดันให้แก่ผู้ฝึกยุทธุ์ที่เหลือ
หยางไค่กัดฟันไว้แน่น ในฝั่งนี้เขาไม่ต้องกังวลว่าสัตว์อสูรจะสามารถทำลายการป้องกันของพวกเขา ความแข็งแกร่งของเขาได้ปลดปล่อยออกมาจนหมด โดยสัตว์อสูรไม่สามารถเข้าใกล้เขาแม้แต่น้อย
หลังจากที่คิดไตร่ตรองเป็นเวลานาน เขาจึงกล่าวตะโกน : ทุกคนเหลือพลังลมปราณแท้จริงไว้บ้าง หากไม่ไหว..........ให้บินหนีบนกลางอากาศ !! แต่จำเอาไว้ ไม่ว่าใครก็ห้ามบินหนีไปก่อนผู้อื่น !
ฮันเสี่ยวชีกล่าว : เจ้าไม่ต้องกล่าวอะไรมาก พวกเราฟังคำสั่งของเจ้า !!
เย่วฮันรู้สึกกังวล : เจ้าจะทำอย่างไร ? เจ้าอยู่ในเขตแดนผสานลมปราณ...........
ทุกคนต่างสามารถที่จะโบยบิน แต่หยางไค่เพียงคนเดียวที่ไม่สามารถโบยบิน เมื่อถึงตอนนั้นเขาต้องถูกสัตว์อสูรฉีกร่างเป็นชิ้นๆอย่างแน่นอน
ข้าจะพาเขาไปเอง ! จือโบกล่าวด้วยสีหน้าที่เย็นยะเยือก
กลุ่มคนจำนวนไม่น้อยต่างจ้องมองนางด้วยความประหลาดใจ
แต่การทำเช่นนี้ไม่ใช่การกระทำที่ปลอดภัย ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนผสานลมปราณสามารถโบยบินบนอากาศ แต่ความเร็วไม่ได้ว่องไวมาก นอกจากนั้นยังสูญเสียพลังลมปราณแท้จริงไม่น้อย หากสัตว์อสูรไล่ตามมา มันจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย
การต่อสู้ที่รุนแรงยังดำเนินต่อไป ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหลบเข้าไปในศูนย์กลางวงล้อมอย่างต่อเนื่อง กลุ่มคนที่ต่อสู้ได้ลดน้อยลง ในขณะเดียวกัน สัตว์อสูรก็ตามมากขึ้นเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้น ราวกับว่าสัตว์อสูรถูกกระตุ้นอีกครั้ง สัตว์อสูรเริ่มโจมตีอยางแข็งแกร่งมากกว่าครั้งที่แล้ว กลุ่มคนเหล่านี้รับมือกับพวกมันอย่างเร่งรีบจนวุ่นวาย และยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าที่มากมาย
สีหน้าของหยางไค่นิ่งสงบ เขาตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น และหวาดหวั่นอยู่ในใจ เขากำลังครุ่นคิดถึงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการหลบหนี
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด สัตว์อสูรกว่าหลายตัวพุ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต จือโบและเหลิ่งซานที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของเขาป้องกันการโจมตีจากพวกมัน ด้วยความเต็มใจ หลังจากที่ตอบโต้กันไปมาเป็นเวลานาน จึงสามารถหยุดยั้งการโจมตีจากสัตว์อสูรเหล่านั้น ในสงครามการต่อสู้ที่ยากลำลาก สัตว์อสูรขั้นที่ 5 จำนวน 2 ตนได้กระโดดพุ่งข้ามกลุ่มของสัตว์อสูรที่เหลือ มันอ้าปากกว้างขณะลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ และกระโดดพุ่งไปยังจือโบและเหลิงซาน โดยแสะยิ้มให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคมของพวกมัน
สีหน้าของสตรีทั้งสองเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นแห่งความหวาดกลัว
พวกเขากำลังต่อต้านกับสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้า แล้วจะมีพละกำลังต่อต้านสัตว์อสูรขั้นที่ 5 ที่กำลังพุ่งเข้ามาได้อย่างไร ?
ไม่ต้องคิดที่จะให้ผู้อื่นช่วยเหลือ คนอื่นๆต่างต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้า แม้แต่หยางไค่ก็เช่นเดียวกัน !! เมื่อสัตว์อสูรขั้นที่ 5 ทั้ง 2 ตนได้พุ่งขย้ำเข้ามา หากไม่ตายเขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
ในช่วงเวลาแห่งความตื่นตกใจ หยางไค่ไม่สนใจกับสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง เขาปล่อยให้มันพุ่งเข้ามาขย้ำร่างกายของตนเอง สีหน้าของหยางไค่แปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึมอย่างสุดขีด เขาขมวดคิ้วด้วยความแน่วแน่ พลังลมปราณถูกปลดปล่อยออกมาจากฝ่ามือทั้งสองอย่างรุนแรง
ซ้ายมือ ตราประทับพยัคฆ์ขาว ขวามือตราประทับเทพวัว สองฝ่ามือแห่งตราประทับหลอมรวมเป็นหนึ่ง !!
คลื่นแสงประกายพุ่งออกมา !!
ตราประทับทาสสัตว์อสูร !! พุ่งไปยังร่างกายของสัตว์อสูรขั้นที่ 5 ตนหนึ่ง
ทันใดนั้น สัตว์อสูรขั้นที่ 5 ตนนี้่ได้แสะเขี้ยวออกมาอย่างน่าหวาดกลัว มันพุ่งขย้ำไปยังสัตว์อสูรอีกตนที่มาพร้อมกันกับมัน สัตว์อสูรทั้ง 2 ตนเริ่มการต่อสู้ระหว่างกัน จือโบและเหลิ่งซานจึงหลุดพ้นจากภัยอันตรายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
พวกเขาทั้งสองจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่ชื่นชม ดวงตาประกายด้วยความซาบซึ้ง
ก่อนนั้นไม่ว่าจะเป็นใคร พวกนางต่างต้องการเอาชีวิตหยางไค่ แต่เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นที่ทำให้หยางไค่เป็นผู้เหนือกว่าจนพวกนางต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
หลายวันที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเหลิ่งซานหรือจือโบ แม้จะเชื่อฟังเขา แต่ในใจของพวกเขาต่างคิดที่จะกำจัดหยางไค่ตลอดเวลา เพื่อทำลายตราประทับแห่งความเป็นนายที่อยู่ในจิตวิญญานของตนเอง
ความคิดเช่นนี้ไม่เคยลดน้อยลง แม้แต่ตอนนี้ก็เช่นกัน
แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะไม่ยอมรับว่า หยางไค่ช่วยชีวิตพวกนางโดยไม่ห่วงชีวิตของตนเอง มันทำให้หัวใจของเหลิงซานและจือโบสั่นไหว เมื่อเทียบกับศิษย์ในสำนักของตนเอง บุรุษหนุ่มที่ควบคุมพวกนาง ที่ทรมาณพวกนางหลายครั้ง ดูเหมือนว่าจะเป็นที่พักพิงที่แข็งแกร่งให้แก่พวกนางมากกว่า
******!! หยางไค่ตะโกนด่า เมื่อสักครู่ที่เขาปลดปล่อยตราประทับทาสสัตว์อสร เขาถูกสัตว์อสูรขย้ำชิ้นเนื้อออกไปจำนวนหนึ่ง แม้ว่าบาดแผลจะไม่หนักหนาสาหัส แต่โลหิตสีแดงสดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นเขาได้ตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ พลังลมปราณระเบิิดออกมาอย่างบ้าคลั่งและโจมตีออกไปอย่างรุนแรง
เมื่อสัตว์อสูรขั้นที่ 5 ทั้งสองโจมตีไม่สำเร็จ ราวกับว่าสัตว์อสูรที่เหลือไม่ต้องการที่จะต่อสู้ต่อไป หลังจากที่มันเข้าโจมตีได้สักพัก ได้มีสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งวิ่งหลบหนีออกไป
ระยะเวลาสั้นเพียงครึ่งก้านธูป สัตว์อสูรจำนวนมากได้หนีออกไปจนหมด ส่วนที่ไม่เหลือล้วนถูกฆ่าจนหมด
กลุ่มคนที่เหลือต่างยืนในตำแหน่งเดิม พวกเขาหอบหายใจเข้าออกด้วยความเหน็ดเหนื่อย ร่างกายของพวกเขาล้วนชะโลมด้วยโลหิตสีแดง โดยมีสภาพที่อ่อนล้าอย่างสุดขีด พวกเขาจ้องมองซากศพของสัตว์อสูรที่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกที่ราวกับว่าได้เกิดใหม่อีกครั้ง
ไม่รู้ว่าใครได้หัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน ราวกับว่าทะเลสาปที่สงบนิ่งได้ถูกก้อนหินก้อนหนึ่งโยนเข้าไป มันได้สร้างความรู้สึกแห่งความสุข ความดีใจและความยินดีที่ซาบซึ้ง
เสียงหัวเราะดังขึ้นมาอย่างไม่หยุด แม้แต่สตรีที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างหัวเราะออกมาอย่างไม่อาย
รอดแล้ว !! เรามีชีวิตรอด !! แม้จะลำบากแสนเข็ญ แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่พวกเราทุกคนกลับมีชีวิตรอดต่อไป !! เดิมทีพวกเขาคิดว่าหลังจากที่ถูกเหยาเหอและเหยาซูควบคุม พวกเขาต้องตายในไม่ข้าหรือเร็ว แต่ในตอนนี้ กลับไม่มีใครตายแม้แต่คนเดียว !!
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นผลงานของหยางไค่
หากหยางไค่ไม่มีความคิดที่จะกำจัดเหยาเหอ และร่วมมือกับจือโบฆ่าเหยาซี และรอจนกระทั่งพวกเขาทั้งสองหนีไม่พ้นจากความตาย
ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้า !! สตรีแห่งตำหนักค้นใจหันหน้ามองหยางไค่และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
หยางไค่ยิ้มและพยักหน้าเบาๆ
พวกเราต่างเป็นหนี้ชีวิตเจ้า !! ฮันเสี่ยวชีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
การต่อสู้ที่หนักหนาสาหัสผ่านไป พวกเขาทุกคนเริ่มฟื้นฟูพลังลมปราณของตนเอง การต่อสู้ในครั้งนี้ กลุ่มคนกว่า 8 ส่วนได้รับบาดเจ็บ และมีคนอื่นๆไม่กี่คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
อาการบาดเจ็บเหล่านี้ไม่ทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย เพียงแค่ดูแลและฟื้นฟูให้ดี ระยะเวลาครึ่งเดือนก็สามารถหายเป้นปกติเหมือนเดิมได้
หยางไค่ไม่ได้ตระหนี่ เขาได้นำยารักษาอาการบาดเจ็บและยาสมานแผลออกมาจากถุงผ้าสวรรค์ล้อมปฐพี ทำให้คนอื่นๆ ต่างซาบซึ้งในความมีน้ำใจของหยางไค่
เวลาแห่งความสุขที่มีชีวิตรอดได้ผ่านพ้นไป ความเศร้าโศกได้ปกคลุมสถานแห่งนี้อีกครั้ง
ความเศร้าโศกนี้เกิดจากผู้ฝึกยุทธุ์ทั้งสองที่อยู่ใต้การควบคุมของเหยาซี
ก่อนที่เหยาซีจะตาย นางสั่งการให้สัตว์อสูรที่อยู่ในการควบคุมฆ่าหยางไค่และจือโบ แต่ไร้ซึ่งคนทำตาม ในความเกรี้ยวโกรธของนาง เหยาซีได้ลงทัณฑ์ผู้ฝึกยุทธุ์ทั้งสองคน เพื่อบังคับให้พวกเขาทำตามคำสั่ง
คนหนึ่งคือหลี่ซินหยุนจากตำหนักค้นใจ หรือเป็นศิษย์พี่ของโจวฟาง อีกคนหนึ่งเป็นศิษย์น้องของปี่ซูหมิง ที่กล่าวเหยียดหยามอย่างไค่อย่างไม่หยุด
ทุกคนต่างรวมตัวอยู่ข้างพวกเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
เป็นอย่างไร ? หยางไค่กล่าวถาม
สีหน้าของโจวฟางมืดมน เขากล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่ขมขื่น : จุดตันเถียนของศิษย์พี่ถูกทำลายจากแมลงสวะนั่น !!
สีหน้าของหยางไค่แปรเปลี่ยนเขากล่าวอย่างช้าๆ : การบ่มเพาะพลังของเขา .
โจวฟางพยักหน้าอย่างช้าๆ
เมื่อจุดตันเถียนถูกทำลาย พลังลมปราณจะพลันหายไปจนหมด แม้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่จากนี้ไปเขาจะเป็นเพียงคนสามัญทั่วไป โดยไม่สามารถที่จะฝึกฝนวิชายุทธุ์ได้อีกต่อไป นอกจากการค้นหาโอสถในการรักษาจุดตันเถียนให้กลับมาเหมือนเดิม
แต่ว่า โอสถเหล่านี้เป็นเพียงตำนาน เรื่องราว แล้วจะไปค้นหาที่ไหน ?
หลี่ซินหยุนเป็นศิษย์อัจฉริยะแห่งตำหนักค้นใจ การที่เขาสามารถเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ นั่นหมายความว่าการบ่มเพาะพลังของเขาต้องอยู่ในระดับสูง แต่ในตอนนี้เพียงเพราะแมลงตัวเล็กๆ กลับทำให้เขาไม่สามารถที่จะฝึกฝนวิชายุทธุ์ได้อีกต่อไป
ในเวลานี้จิตใจของหลี่ซินหยุนมืดมัว สีหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับว่าจิตวิญญานของเขาได้หลุดลอย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยากที่จะรับมัน
เมื่อเปรียบเทียบกับความเงียบขรึมของเขา ศิษย์อีกคนที่พบเจอกับเหตุการณ์นี้ไ้ดระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความบ้าคลั่ง
คนคนนี้ก็คือศิษย์น้องของปี่ซูหมิง ่ก่อนหน้านั้นเขาคอยเหยียดหยามถากถางหยางไค่ตลอดเวลา และไม่รู้ว่ามันเป็นผลกรรมของเขาหรือไม่ ที่ทำให้เหยาซีเลือกที่จะลงทัณฑ์เขา
คนคนนี้กอดปี่ซูหมิงไว้แน่น ดวงตาแข็งกร้าว และร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่หยุด : ศิษย์พี่ ข้ายังสามารถบ่มเพาะพลัง ข้ายังสามารถฝึกฝนวิชายุทธุ์ จุดตันเถียนของข้ายังไม่ถูกทำลาย ใช่ไหม ?
ปี่ซูหมิงจ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น ปากของเขาขยับไปมาโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนศิษย์น้องของเขาอย่างไร
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งต่างตกอยู่ในความเงียบ จิตใจเต็มไปด้วยความเห็นใจ แม้ว่าก่อนหน้าพวกเขาจะไม่ชื่นชอบเขา เพราะการกระทำที่ไร้มารยาทต่อหยางไค่ แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจักรฮั่น
ศิษย์พี่ บอกข้าได้ไหม ข้ากลายเป็นคนพิการไปแล้วใช่ไหม ? เขายังคงกล่าวถามด้วยดวงตาและลำคอที่ตะโกนถามจนแดงก่ำ
ปี่ซูหมิงจึงพยักหน้าด้วยความลำบากใจ
เป็นไปไม่ได้ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นความดุดัน : เป็นไปไม่ได้ แมลงเพียงตัวเดียว จะทำลายจุดตันเถียนของข้าได้อย่างไร ? ข้ามีความสามารถที่โดดเด่น เข้าสู่สำนักเป็นเวลากว่า 10 ปี และยังอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 3 ในอนาคตข้าจะกลายเป็นยอดฝีมือแห่งเขตแดนเทพสวรรค์ ข้าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับ 1 ในใต้หล้า ข้า .
ในขณะที่กล่าวตะโกน ราวกับว่าเขาฉุกคิดบางอย่างได้ ดวงตาของเขาหันมองไปยังจือโบ : ใช่แล้่ว เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจักรเทียนหล่าง เจ้าต้องรู้วิธีในการช่วยเหลือข้า !!
เมื่อได้ยินดังนี้ สายตาของทุกคนประกายด้วยความสว่าง แม้แต่หลี่ซินหยุนยังกล่าวถามจือดบ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวังและความตื่นเต้น
สีหน้าของจือโบเรียบเฉย นางส่ายหัวไปมาและกล่าว : ข้าไร้ซึ่งหนทาง
สายตาของหลี่ซินหยุนมืดมนลงไป ศิษย์น้องของปี่ซูหมิงคำรามอย่างไม่หยุด : สารเลว คนแห่งอาณาจักรเทียนหล่างของเจ้า แมลงเหล่านั้นถูกนำมาจากพวกเจ้า ทำไมเจ้าจะไม่รู้ ? เจ้ารู้ แต่เจ้าไม่ยินยอมที่จะช่วยข้า !!
สีหน้าของจือโบแปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น กลิ่นอายแห่งความต้องการฆ่าพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของหยางไค่เย็นเยือกในทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เฉินเซี่ยซู่จึงกล่าว : อย่ากล่าวเช่นนี้ แม้ว่าแมลงควบคุมวิญญานจะเป็นพวกเขาที่นำมันมา แต่คนที่ลงมือต่อเจ้าไม่ใช่แม่นางคนนี้ นอกจากนั้น จุดตันเถียนของเจ้าถูกทำลาย ใครจะช่วยเจ้าได้ ?
คนคนนั้นกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่เยือกเย็น : ทำไม ? ก่อนหน้านั้นนางก็เคยโจมตีพวกเรา แต่ในตอนนี้เจ้ากลับพูดแทนนาง ? เบิกตาของเจ้าแล้วดูให้ดี นางเป็นนางแพศยาแห่งอาณาจักรเทียนหล่าง ข้านี้แหละจอมยุทธุ์แห่งอาณาจักรฮั่นที่แท้จริง