ตอนที่ 246 เผชิญหน้า
ตอนที่ 246 เผชิญหน้า
ราวกับว่าจือโบได้รับความทุกข์ทรมาณที่แสนสาหัส สองมือของนางกุมขมับไปที่ศีรษะ ร่างกายบิดไปมาอย่างรุนแรง เหงื่อเย็นไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่แตกต่างจากสภาพที่นางถูกทรมาณจากหยางไค่
มันเป็นการตอบสนองจากจิตวิญญาณที่ถูกทรมาณ !
หยางไค่และเหลิ่งซานสบตากัน พวกเขาต่างมองเห็นความตกตะลึงในสายตาของกันและกัน
จือโบทนรับต่อความทุกข์ทรมาณเป็นเวลานาน นางจึงสงบลง เสื้อผ้าของนางถูกชโลมด้วยเหงื่อจนเปียกชุ่ม ร่างกายอ่อนล้าโดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่ดวงตาทั้งสองของนางประกายด้วยความรู้สึกที่เยือกเย็นจนทิ่มแทงเข้าสู่กระดูก
เป็นพวกเขา !! พวกเขากำลังเตือนข้า!! เรียกข้า !! ให้ข้าตามพวกเขาไป !! จือโบกัดฟันไว้แน่น ดวงตาประกายด้วยเจตนาแห่งการฆ่า หลังจากที่กล่าวจบ นางจับเสื้อของหยางไค่ไว้แน่น และจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่จริงจัง : ช่วยข้า ฆ่าพวกเขาด้วย !!
หยางไค่แสะยิ้มที่มุมปาก : ข้ามีความคิดนี้ตั้งแต่แรก
ก่อนหน้านั้นหยางไค่เคยเสนอความคิดนี้ แต่ถูกจือโบปฏิเสธ แต่เขาไม่คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีจุดจบเช่นนี้ จือโบเป็นสตรีที่มีเหตุผลและหลักการ นางไม่อยากลงมือกับศิษย์พี่น้องของตนเอง แต่ว่าพวกเขาทั้งสองกลับไม่ได้มีเจตนาดีเช่นจือโบ
พวกเขาอยู่ไหน ? หยางไค่กล่าวถาม
ทางนี้ !! จือโบชี้ไปทิศทางหนึ่ง : ระยะทางประมาณ 1 ชั่วยาม !!
1 ชั่วยาม วางแผนให้รอบคอบก่อน ! หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น จากนั้นนางจึงยกจือโบไว้ด้านหลังของเขาและแบกจือโบไปยังบริเวณนั้น
เมื่อจือโบอยู่บนหลังของหยางไค่ นางรู้สึกแปลกๆ ความสัมพันธุ์ของพวกเขาอาจกล่าวได้ว่าเป็นศัตรูต่อกัน แต่ในตอนนี้กับร่วมมือกัน เพื่อเผชิญหน้ากับศิษย์สาวกทั้งสองที่อยู่ในสำนักเดียวกันกับตนเอง มิตรภาพที่เปลี่ยนแปลงทำให้นางรู้สึกว่ากำลังล่องลอยอยู่บนเมฆที่เบาบาง
ระหว่างทาง จือโบกล่วเรื่องราวของศิษย์ทั้งบสองให้เขาฟัง
พวกเขาทั้งสองมาจากตระกูลเดียวกัน พวกเขาเป็นญาติพี่น้องกัน และยังมีความแข็งแกร่งในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 4
คนหนึ่งชือเหยาเหอ อีกคนชื่อเหยาซี พวกเขาแต่ละคนควบคุมสัตว์อสูรกว่า 50 ตน เมื่อรวมตัวกันจะมีสัตว์อสูรกว่า 100 ตน เพียงแค่สัตว์อสูรที่อยู่ในการควบคุมมันมากกว่าจือโบถึง 2 เท่ากว่า เพราะในตอนนี้จือโบมีสัตว์อสูรที่ควบคุมเพียง 30-40 ตนเท่านั้น
หากเผชิญหน้าโดยตรงไม่มีทางที่จะเอาชนะ แต่เพียงแค่คิดหาวิธีการฆ่าพวกเขาคนใดคนหนึ่ง เมื่อพวกเขาสามารถฆ่าคนใดคนหนึ่งสัตว์อสูรที่อยู่ใต้การควบคุมจะตกอยู่ในวังวนแห่งความวุ่นวาย ภายใต้ความวุ่นวายจะก่อเกิดความหวังที่สามารถเอาชนะพวกเขาได้
เพราะความเกรี้ยวโกรธ จือโบได้กล่าวความลับรายละเอียดต่างๆทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคนทั้งสองให้แก่หยางไค่จนหมด หยางไค่ตั้งใจฟังด้วยความสงบ และจดจำไว้ในใจ และไม่หยุดที่จะคิดแผนการและวิธีการที่จะทำให้พวกเขาได้รับชัยชนะ
หลังจากที่ฟังจนจบ หยางไค่กล่าวด้วยความกังวล : ศิษย์พี่จี่ของเจ้าอยู่กับพวกเขาหรือไม่ ? หากว่าศิษย์พี่จี่ของเจ้าอยู่กับพวกเขา คงเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสยิ่ง
จี่เซี่ยเป็นเป็นยอดฝีมือแห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 7 และยังควบคุมสัตว์อสูรขั้นที่ 6 ยากต่อการรับมือที่สุด
จือดบถอนหายใจและกล่าว : หวังว่าเขาจะไม่อยู่ด้วยกัน
1 ชั่วยามผ่านไป พวกเขาทั้ง 3 ไปถึงบริเวณนั้น จือโบได้ลงมาจากหลังของหยางไค่ นางเหลือบมองหยางไค่ด้วยสายตาที่ซาบซึ้ง นางจัดการกับเสื้อผ้าและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของนาง จากนั้นจึงแสดงสีหน้าด้วยความกล้าหาญและเดินนำหน้าไป
หลังจากนั้นไม่นาน หยางไค่มองเห็นเงาร่างของสัตว์อสูรจำนวนมากที่รวมตัวอยู่ด้วยกัน
เมื่อจือโบค่อยๆเข้าใกล้ บริเวณนั้นมีคนสองคนที่ลุกยื่นขึ้น พวกเขาก็คือเหยาเหอและเหยาซีจากตำหนักหลิงหล่อ พวกเขาที่เป็นบุรุษหนึ่ง สตรีหนึ่งแสะยิ้มด้วยความสะใจและจ้องมองมายังทิศทางนี้ ใบหน้าของพวกเขาไร้ซึ่งความรู้สึกผิด พวกเขากล่าวออกคำสั่ง สัตว์อสูรหลายร้อยตัวได้กระจายตัวและล้อมกองทัพสัตว์อสูรของจือโบเอาไว้
ในที่สุดศิษย์พี่ก็มา เหยาเหอกล่าวด้วยสีหน้าที่เหลาะแหละ โดยไม่เห็นจือโบอยู่ในสายตา นางยิ้มอย่างแผ่วเบาและกล่าทักทาย เหยาซีเองก็เริ่มหัวเราะด้วยความสะใจ เขาจ้องมองจือโบอย่างไม่ละสายตา
เป็นพวกเจ้าที่บังคับให้ข้ามาไม่ใช่หรือไง ? จือโบจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็น นางจ้องมองพวกเขาในระยะห่างที่ไม่ถึง 10 จ้าง
ศิษย์สาวกทั้ง 3 แห่งตำหนักหลิงหล่อจ้องมองซึ่งกันและกัน อากาศในห้วงบริเวณนั้นร้อนลุ่มอย่างสุดขีด
หยางไค่ยืนอยู่ตรงด้านหลังของจือโบ เขากวาดสายตามอง และพบเจอกบผู้คนที่ค้นหน้าอย่างมาก
บริเวณที่ห่างออกไปประมาณหลาย 10 จ้าง หยางไค่มองเห็นสตรีแห่งวังบุพผาหมื่นปี 4 คน ทีนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าที่มืดมน เย่วชิงและโจวป้าจากนิกายซิ่วหล่อ เฉินเซียซูและซูเสี่ยวยู่จากสำนักจันทราซ่อนเร้น ต่างรวมตัวอยู่ที่นี้ นอกจากนั้น ยังมีศิษย์สาวกแห่ง ตำหนักค้นใจ หอวารีจันทรา และหออินทรีโบยบินที่ยังมีชีวิต
เมื่อมองเห็นหยางไค่ เฉินเซี่ยซูและซูเสี่ยวหยี่ยิ้มให้แก่หยางไค่ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น ราวกับว่าหยางไค่ต้องพบเจอกับเรื่องที่น่าอัปยศเช่นพวกเขา
หยางไค่พยักหน้า ถือเป็นกล่าวการทักทาย กลุ่มคนของพวกเขาเหลือเพียง 16-17 ตน แต่ในตอนแรกกลุ่มคนของพวกเขามีมากกว่านี้ ระยะเวลาที่ผ่านมาคงมีคนตายไปไม่น้อย
พวกเจ้าสองคน ถอยไป !! เหยาเหอเหลือบมองหยางไค่และเหลิ่งซานและกล่าวออกคำสั่งในทันที
จือโบพยักหน้า
หยางไค่และเหลิ่งซานจึงเดินไปยังบริเวณที่เฉิงเซี่ยซูและกลุ่มคนอื่นๆรวมตัวกัน
เมื่อพวกเขารวมตัวกัน สตรีแห่งวังบุพผาหมื่อนปีจ้องมองหยางไค่และกล่าวถาม : เจ้าหนีไม่พ้นเคราะห์กรรมในครั้งนี้เช่นพวกเรา
หยางไค่กล่าวด้วยรอยยิ้ม : ใช่ ไมทราบว่าแม่นางมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร ?
ก่อนหน้าที่พบเจอ ในขณะที่หวู่เฉิงยี่กดดันหยางไค่ เป็นสตรีแห่งวังบุพผาหมื่นปีที่ช่วยเขา หยางไค่รู้สึกดีต่อนางไม่น้อย พวกนาง 4 พี่น้องล้วนเป็นสตรีที่มีงดงาม ต่างคนต่างมีเสนห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อพวกนางรวมอยู่ด้วยกัน ก่อให้เกิดเป็นภาพเหตุการณ์ที่งดงาม
สตรีแห่งวังบุพผาหมื่นปี : ฮันเสี่ยวชี
สตรีนางหนึ่งที่ดูเหมือนว่านางจะเป็นสตรีที่ดุดันนางเบ้ปากและกล่าวอย่างไม่สนใจ : เจ้าคนนี้ ต่างถูกคุมขังจากพวกเขา ยังจะมีอารมณ์ถามชื่อเสียงเรียงนามของสตรี ? ดูเหมือนว่าเจ้าคงไม่ใช่คนดีอะไร
หยางไค่ขมวดคิ้วและกล่าว : แม่นางไม่เคยได้ยินคำกล่าวนี้หรือไง คำกล่าวทีว่า สัญชาตญานของบุรุษ ? ได้โปรดกล่าวชื่อของแม่นางด้วย ไม่ทราบว่าชื่อของแม่นาง...........
สตรีนางนั้นเบ้ปากและกล่าว : เย่วฮัน !!
เย่วชิงที่อยู่อีกฝั่งเผยรอยยิ้มและกล่าว : เจ้าแซ่เดียวกับข้า หากสามารถมีชีวิตรอดออกไป ข้าจะสาบานเป็นพี่น้องกับศิษย์น้องเย่วฮัน !!
ฮันเสี่ยวชีกล่าวแนะนำศิษย์น้องอีก 2 คนด้วยรอยยิ้ม สตรีที่มีท่าทางมี่เงียบสงบมีชื่อว่าฮวาโน่วหญิง อีกคนที่มีเสน่ห์ที่มากมายชื่อหลิงชิงยู่ว
เมื่อหยางไค่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพวกเขา คนอื่นๆต่างแนะนำตัวให้แก่หยางไค่จนหมด
ฟงเจี่ยนเฮิงแห่งหอวารีจันทรา โจวฟางและหลี่ซินยุนจากตำหนักค้นใจ ชูจิงซานแห่งอินทรีโบยบิน.......
เมื่อศิษย์อัจฉริยะของทุกสำนักมารวมตัวกัน ความอุ่นใจเริ่มปรากฏ ความกังวลที่สาสมมาหลายวันพลันหายไปไม่น้อย
หึม ความตายอยู่ตรงหน้า พวกเจ้ายังอารมณ์ทักทายกัน หากสามารถมีชีวิตรอดต่อไปค่อยกล่าวก็ยังไม่สาย เสียงที่ไม่พอใจได้ขัดขวางเสียงหัวเราะของพวกเขา อย่างกะทันหัน
หยางไค่หันหน้ามองเขา และพบว่าบุรุษหนุ่มคนหนึ่งกำลังจ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มที่เหยียดหยาม
หยางไค่ละสายตาจากเขา โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
เย่วชิงหัวเราะอย่างเย็นชา : ปี่ซูหมิง ตั้งแต่ที่ถูกจับ เจ้าไล่กัดคนนี้ทีคนโน่นที สิ่งที่เจ้ากำลังทำมันหมายถึงอะไร ?
ปี่ซูหมิงกล่าวตอบด้วยเสียงหัวเราะ : ไม่มีอะไร ก็แค่เพียงเศษสวะไร้ค่าเข้ามา มันคุ้มค่าที่จะให้พวกเจ้าดีใจถึงขั้นนี้ ? หรือว่าพวกเจ้ายังคาดหวังจะให้เขาช่วยพวกเจ้า ?
เฉิงเซี่ยซูขมวดคิ้วและกล่าวตอบ : หากเจ้ารู้สึกว่าตนเองไร้ซึ่งความหวังและหนทางที่จะมีชีวิตรอดต่อไป เจ้าก็ดับความหวังของตนเองสิ ทำไมต้องสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ผู้อ่น ? นอกจากนั้นอย่ามาเหยียดหยามศิษย์น้องหยาง เพียงแค่เขตแดนของศิษย์น้องหยาง
ปี่ซูหมิงไม่ได้กล่าวต่อ คนที่อยู่ข้างเคียงเขากลับหัวเราะและกล่าว : เขตแดนต่ำ ก็คือเศษสวะ !! ข้าก็ไม่เข้าใจว่าเศษสวะเช่นเขาทำไมถึงมีชีวิตรอดจนถึงตอนนี้ เขาน่าจะตายตั้งแรก ไม่จำเป็นที่เขาจะอ้อยอิ่งอยู่เช่นนี้
คนคนนี้ น่าจะเป็นศิษย์ในสำนักเดียวกับปี่ซูหมิง พวกเขาทั้งสองเป็นศิษย์พี่น้อง เป็นธรรมดาที่จะอยู่ข้างกัน
ฮันเสี่ยวชีกล่าว : คำกล่าวของพวกเจ้าจะมากไปแล้ว !
เย่วฮันและฮวาโน่วหญิงหลิงชิงยู่วทั้ง 3 ต่างจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เกรี้ยวโกรธ
แม้ว่าปี่ซูหมิงและคนที่อยู่ข้างเคียงเขาจะดูหมิ่นและเหยียดหยามหยางไค่มากแค่ไหน แต่พวกเขาไม่ต้องการท่ะจะทะเลาะกับใคร พวกเขาจึงสบถโดยไม่กล่าวสิ่งใด
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้คือ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นได้ดบหมอดลงในทันที จิตใจของทุกคนต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อึมครึม
เย่วฮันกล่าวปลอบใจ : หยางไค่ใช่ไหม ? ไม่ต้องสนใจพวกเขา พวกเขาทั้งสองมีความคิดในเชิงลบ พวกเขาเห็นคนอื่นมีความสุขไม่ได้
หยางไค่พยักหน้า : ข้าไม่ได้สนใจ ข้าคิดว่ามันเป็ฯนเสียงของสุนัขที่เห่าหอน
ฮันเสี่ยวชีที่อยู่ด้านข้างอึ้งไปชั่วขณะ นางอมยิ้มขึ้นมาในทันที
เจ้าพูดว่าอะไร ? ปี่ซูหมิงและคนที่อยู่ข้างเคียงเบิกตาโพลง พวกเขาจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร กลิ่นอายแห่งการฆ่าแพร่กระจายออกมาอย่างรุนแรง
หากหูของเจ้าไม่หนวก เจ้าน่าจะได้ยินอย่างชัดเจน หยางไค่กล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เจ้ารนหาที่ตาย !! ปี่ซูหมิงตะโกนด้วยความเกรี้ยวโกรธ เขาลุกขึ้นอย่างกะทันหัน
พวกเจ้าอยากตายทั้งหมดใช่ไหม ? อีกฝั่ง เหยาเหอตะโกนด้วยความโกระ : หากว่าอยากตาย ข้าจะทำตามความปราถนาของพวกเจ้าเดี่ยวนี้ !!
ปี่ซูหมิงจ้องมองเหยาเหอด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว เขาจึงนั่งลงอย่างช้าๆ เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่เกรี้ยวโกรธ : คอยดู ข้าจะทำให้เจ้าต้องหลาบจำ !
อืม ข้าจะรอ !! หยางไค่พยักหน้าอย่างช้าๆ
ทางฝั่งของผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจัรกฮั่นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโกรธที่ระเบิดออกมา กลิ่นอายกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่างก็ไม่แตกต่างจากพวกเขา
หลังจากที่บังคับให้จือโบกลับมา เหยาเหอและเหยาซีจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มโดยไม่กล่าวสิ่งใด
เป็นเวลานาน จือโบจึงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น : ทำไมถึงทำเช่นนี้ ?
เหยาเหอกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่แผ่วเบา : ทำไม ? ศิษย์พี่จือเจ้าไม่เข้าใจจริงๆใช่ไหม ?
เพราะในขณะที่อยู่ในสำนัก อาจารย์ดูแลข้ามากกว่าพวกเจ้า ? จือโบหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน
สีหน้าของเหยาเหอและเหยาซีแปรเปลี่ยนอย่างช้าๆ และนิ่งสงบในทันที
จือโบกล่าว : พวกเจ้าเข้าสู่สำนักก่อนข้า แต่ความก้าวหน้ากลับเชื่องช้ากว่าข้า ท้ายที่สุดพวกเจ้าต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่โดยที่พวกเจ้าไม่ยินยอม นี้ก็คือเหตุผลและข้ออ้างที่พวกเจ้าทำเช่นนี้ต่อข้า ?
เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถ ? เหยาซีกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : หากไม่ใช่เพราะอาจารย์มอบสิ่งล่ำค่าที่มากมายให้แก่เจ้า เจ้าจะแข็งแกร่งและอยู่ในลำดับขั้นที่เหนือกว่าพวกเราได้อย่างไร ? เพียงความสามารถของเจ้า พวกเราเทียบกับเจ้าไม่ได้ตรงไหน ?
พวกเจ้าไม่เคยเทียบกับข้าได้ ! จือโบกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ นางเผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัว
ใบหน้าของเหยาเหอแสดงสีหน้าที่ดูหมิ่น : ใช่หรอ ? งั้นข้าขอถามศิษย์พี่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เจ้าเคยคิดไหมว่ามันจะเกิดขึ้น ?
ใช่ ข้าไม่เคยคิดว่าพวกเจ้าจะมีจิตใจที่ชั่วช้าและโหดเหี้ยมเช่นนี้ พวกเจ้ากล้าที่จะลงมือต่อข้า !! สีหน้าของจือโบเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เหยาเหอหัวเราะอย่างเยือกเย็น : ช่างมันเถอะ ข้าจะไม่กล่าวอะไรกับเจ้า เพราะเจ้าเป็นศิษย์พี่ของข้า ! การที่ข้าเรียกเจ้ามา ไม่มีความหมายอื่น ในขณะที่พวกเราไม่สามารถออกจากสถานที่แห่งนี้ พวกเราไร้ซึ่งศัตรู ดังนั้นพวกเราต้องการ.........สัตว์อสูรเหล่านั้นของศิษย์พี่คงไม่มีประโยชน์ ?
สีหน้าของจือโบเย็นยะเยือก : พวกเจ้าต้องการสัตว์อสูรของข้า ?
ถูกต้อง !! เหยาเหอพยักหน้า : ข้าและซีเอ่อกำลังจะก้าวข้ามเขตแดน แต่พวกเราไม่ต้องการที่จะฆ่าสัตว์อสูรของตนเอง ดังนั้นพวกเราหวังว่าศิษย์พี่จะมอบพวกมันให้แก่พวกเราทั้งสอง
จือโบรู้สึกเศร้าโศกอย่างยิ่ง : เพราะเหตุผลนี้ พวกเจ้ายังทำลายจิตวิญญาณของข้า ?
เหยาซีกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : ใครสั่งให้ศิษย์พี่หลบซ่อนตัว ? หากศิษย์พี่ไม่หลบซ่อนตัว พวกเราจะไม่ทำเช่นนี้ ในตอนนี้การที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ไม่มีอะไรสนุกๆให้ทำ เดิมทีข้าคิดว่าข้าจะให้สัตว์อสูรของศิษย์พี่และของพวกเราทั้งสองต่อสู้กัน แต่กลับไม่คิดว่าสวรรค์จะเป็นใจ เป็นเจ้าเองที่บังคับให้พวกเราทำเช่นนี้
ดี ! สีหน้าของจือโบเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของนางประกายด้วยควาสิ้นหวัง : พวกเจ้าต้องการสัตว์อสูรของข้า ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งหมด !!
เหยาเหอหัวเราะอย่างไม่หยุด : ข้ารู้แต่แรกว่าศิษย์พี่ต้องกล่าวเช่นนี้ ศิษย์พี่ได้โปรดออกคำสั่งให้พวกมันอย่าต่อต้าน หากต่อสู้ขึ้นมาจริง คงไม่ใช่เรื่องที่ดี!!
จือโบหลับตาลง โดยทรวงอกของนางกระชับขึ้นลงด้วยความเกรี้ยวโกรธ
แม้ว่าหลังจากที่จือโบมาถึงบริเวณนี้ นางได้เรียกแมลงควบคุมจิตวิญญาณที่ถูกพวกเขานำไปกลับมา โดยไม่ต้องกังวลว่าเหยาเหอและเหยาซีจะทำลายจิตวิญญานของนางอีก แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ได้เปรียบอย่างท่วมถ้น ไม่เพียงแต่สัตว์อสูรที่พวกเขาควบคุมที่มีจำนวนมากมาย ยังมีผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจักรฮั่นกว่าหลาย 10 คนที่พวกเขาควบคุมเอาไว้ พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาอย่างไม่ต้องกล่าวถึง
หากต่อสู้ขึ้นมาจริง จือโบเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีแม้แต่ความหวังอันน้อยนิด ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือก จือโบต้องทำตามคำขอของพวกเขาโดยไม่สามารถต่อต้านได้
เหยาเหอจ้องมองทรวงอกที่อวบอิ่มของจือโบ ดวงตาของเขาประกายด้วยความลึกลับ โดยที่เขาเลียริมฝีปากไปมาอย่างไม่หยุด
เสร็จแล้ว ! จือโบลืมตา สีหน้าเรียบเฉย
เหยาเหอและเหยาซีจ้องมองซึ่งกันและกัน พวกเขาออกคำสั่งในใจออกไป
ทันใดนั้น สัตว์อสูรจำนวนมากมายคำรามด้วยเสียงที่ดังสนั่น โลหิตกระเด็นไปทั่วบริเวณ สัตว์อสูรตัวแล้วตัวเล่าที่ไม่ตอบโต้ต่างล้มลงไปที่พื้น พวกมันต่างถูกสัตว์อสูรเดียวกันกัดที่ลำคอและตายในทันที
สีหน้าของผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจักรฮั่นแปรเปลี่ยนเป็นความตะลึง พวกเขาจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยจิตใจที่หวาดกลัวจนกล้ามเนื้อกระตุกไปมาอย่างไม่หยุด
ระยะเวลาไม่ถึง 10 ลมหายใจ สัตว์อสูร 30-40 ตนถูกฆ่าตายในทันที
ฮ่าฮ่าฮ่า !! เหยาเหอหัวเราะด้วยเสียงที่ดังสนั่น
เมื่อมีลูกแก้วชีพจรโลหิต เขาและเหยาซีจะสามารถบรรลุและก้าวข้ามเขตแดนอีกขั้น จนไปอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 5
สิ่งที่เหลือ คือการบีบเค้นให้ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจักรฮั่นกล่าวเคล็ดวิชาลึกลับที่ไม่ถ่ายทอดแก่บุคคลภายนอก ก็จะสามารถฆ่าผู้คนเหล่านี้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาจะได้รับลูกแก้วชีพจรโลหิตอีกมากมาย
โดยเฉพาะสตรีที่งดงางามแห่งอาณาจักรฮั่นที่ทำให้เหยาเหอสั่นไหว พวกนางต่างงดงามและมีเสน่ห์ที่มากมาย และยังมีเรือนร่างที่เย้ายวน หลายวันที่ผ่านมาที่เขาไม่เข้าใกล้สตรีเหล่านั้น เพราะเหยาซีจ้องมองพวกนางอย่างระมัดระวัง โดยไม่ยอมห่างจากเขาแม้แต่น้อย ทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะเข้าใกล้สตรีเหล่านั้น
แม้ว่าทั้งสองจะเป็นพี่น้องบุญธรรม แต่คงไม่พ้นความสัมพันธุ์เช่นนี้ ...............
เขาต้องหาวิธีการในการแยกจากน้องบุญธรรมของเขา จากนั้นเขาจะสามารถทำตามความต้องการของตนเอง เหยาเหอจ้องมองฮันเสี่ยวชีและคนอื่นๆ โดยกลืนน้ำลายเข้าไปอย่างไม่หยุด
อืม ลูกแก้วชีพจรโลหิตเหล่านั้นข้าให้นางใช้มันก่อน นางหลอมละลายและดูดซับพลังของมัน การที่นางจะก้าวข้ามเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 5 คงต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อย ระยะเวลานั้นคงเพียงพอที่จะให้ตนเองทำตามความต้องการ
ยิ่งคิดยิ่งทำให้จิตใจของเหยาเหอสั่นไหว เขาต้องการที่จะโอบกอดหญิงงามแห่งอาณาจักรให้เร็วที่สุด และหยอกล้อกับพวกนาง ลิ้มรส..............ที่อ่อนหวาน