ตอนที่ 243 ความเป็นมาของจือโบ
ตอนที่ 243 ความเป็นมาของจือโบ
ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า หยางไค่กล่าวและจ้องมองจือโบ
ได้สิ จือโบยิ้มอยางแผ่วเบา นางค่อยๆเดินไปยังข้างกายของหยางไค่ นำพามาซึงกลิ่นหอมหวาน นางนั่งลงอย่างไม่ลังเล โดยไม่มีท่าทีโกรธเคืองการบทลงโทษของหยางไค่แม้แต่น้อย
สิ่งที่ทำให้หยางไค่ไม่คาดคิด นั่นคือเหลิ่งซานก็เดินเข้ามาด้วย นางนั่งอยู่อีกฝั่ง แต่นางไมได้ทำตัวอย่างเป็นธรรมชาติเช่นจือโบ ร่างกายของนางมีแข็งทื่อและอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่หยางไค่จ้องมองนาง นางกลับยิ้มอย่างแผ่วเบาให้แก่หยางไค่ รอยยิ้มของนางน่าเกลียดกว่าสภาพที่นางร้องไห้เสียอีก
หยางไค่ขมวดคิ้ว โดยไม่รู้ว่าสตรีทั้งสองกำลังคิดจะทำอะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรตัวเขาไม่รู้สึกถึงเจตนาแห่งการฆ่าของสตรีทั้งสอง หยางไค่จึงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพียงเห็นว่าพวกนางทั้งสองเข็ดหลายกับการกระทำของตัวเอง โดยไม่กล้าที่จะเสียมารยาทต่อเขาก็เพียงพอ
นายท่านมีเรื่องอะไรจะกล่าวถาม ? จือโบจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่ยินดี โดยที่นางพยายามจะเผยให้เห็นทรวงอกที่อวบอิ่มดั่งบุพผาแร้มแย้มของนาง
ฮ่าฮ่า.........เจ้าเรียกข้าว่าอะไร ? สีหน้าของหยางไค่แสดงออกด้วยความประหลาดใจ
นายท่านไง.......... จือโบยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ทรวงอกที่อวบอิ่มนำพามาซึ่งอารมณ์ที่น่าหวาดหวั่น น้ำเสียงอ่อนหวานจนถึงขีดสุด
ไม่เพียงแต่คำกล่าวนี้ที่ทำให้หยางไค่ไม่สามารถทนต่ออารมณ์ที่พลุกพล่าน แม้แต่เหลิ่งซานที่นั่งอยู่ข้างกายยังขนลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน จิตใจของนางชื่นชมต่อความไร้ยางอายของจือโบอย่างยิ่ง
เพราะตัวนางไม่สามารถทำถึงได้ถึงขั้นนี้
จือโบยิ้มดั่งบุพผาที่บานสะพรั่ง : ข้าไม่ทราบชื่อของท่าน และในตอนนี้ความเป็นความตายของข้าถูกควบคุมโดยนายท่าน ข้าจะต่างจากหญิงนางโลมที่เป็นทาสรับใช้ได้อย่างไร ? สิ่งใดมที่นายท่านกล่าว ข้าไม่กล้าที่จะขัด นายท่านให้ข้านอนลงข้าก็ไม่กล้าที่จะขัดขืน ในขณะที่กล่าว นางจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่เขิลอาย สุ้มเสียงเริ่มต่ำลง : นายท่านให้เขาเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่า ข้าก็จะทำ...........นายท่านเป็นนายของข้าอย่างแท้จริง !!
ไม่ต้องมาแสแสร้งต่อข้าเช่นนี้ !! หยางไค่ขมวดคิ้ว : คำว่านายท่านที่เจ้ากล่าว เจ้าไม่ได้กล่าวเพราะความเต็มใจของเจ้า ข้าได้ยินยังรู้สึกรังเกียจ ข้าเคยกล่าวไว้ การควบคุมพวกเจ้าเพียงเพราะข้าต้องรักษาชีวิตของข้าเอง เพียงแค่พวกเจ้าไม่มีเจตนาร้ายต่อข้า ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก !
จือโบอึ้งไปชั่วขณะ นางเม้มริมฝีปากและกล่าว : ข้าล้อเล่นเท่านั้น แล้วเจ้ามีชื่อว่าอะไร ?
หยางไค่ แล้วพวกเจ้าล่ะ ?
สตรีทั้งสองต่างกล่าวชื่อของตนเองออกมา
ฐานะของเหลิ่งซานหยางไค่ทราบดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กล่าวถามหรือตรวจสอบอะไรไปมากกว่านี้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนคือจือโบ
กล่าวเรื่องราวของศิษย์พี่ของเจ้าให้ข้าฟัง อย่าโกหกข้า ในขณะที่เจ้ากำลังโกหก จิตวิญญานของเจ้าจะมีการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมือนเดิม ข้าสัมผัสได้ หยางไค่กล่าวตักเตือน
ข้าไม่กล้า ! จือโบถลึงตาใส่หยางไค่ นางนิ่งไปสักครู่และกล่าว : ข้ามาจากตำหนิงหลิงหล่อแห่งอาณาจักรเทียนหล่าง ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินหรือไม่
หยางไค่ส่ายหัวไปมาอย่างช้าๆ เขารับรู้เพียงเรื่องราวที่เกี่ยวกับชายแดนแห่งอาณาจักรฮั่นเป็นส่วนใหญ่ แต่เรื่องราวที่อยู่นอกชายแดนอาณาจักรฮั่นเขารับรู้ค่อนข้างน้อย แต่ว่าเหลิ่งซานเคยได้ยิน สีหน้าของนางจึงแสดงออกมาด้วยความตื่นตะลึง
ดูเหมือนว่าศิษย์น้องเหลิ่งจะเคยได้ยิน จือโบกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่แผ่วเบา
เหลิ่งซานพยักหน้า : สำนักที่มีความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเทียนหล่าง เป็นธรรมดาที่ข้าจะเคยได้ยิน !
สำนักที่มีความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ อยู่ในระดับเดียวกับตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรฮั่น ? หยางไค่ตื่นตะลึง เขาไมคิดว่าสำนักของจือโบจะมีความแข็งแกร่งและรุ่งโรจน์ถึงขั้นนี้
ประมาณนั้น จือโบหัวเราะเบาๆ มือข้างหนึ่งของยื่นออกไปและจับไปที่แขนของหยางไค่อย่างฉับพลัน : นอกจากนั้น ข้ายังเป็นองค์หญิงองค์หนึ่งของอาณาจักรเทียนหล่าง ดังนั้นทางที่ดีจะอย่าทำให้ข้าตาย หากเจ้าพาข้าไปยังอาณาจักรเทียนหล่าง ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะได้เป็นราชบุตรเขย จากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าจะได้รับแต่ความมั่นคั่งที่ไม่สิ้นสุด ฮาฮ่า..............
หยางไค่จ้องมองไปที่จือโบ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีทางเชื่อเรื่องเช่นนี้ สตรีนางนี้มีไหวพริบที่เฉียบแหลม จิตใจลึกซึ้งจนยากที่จะหยั่งถึง นางมิใช่สตรีที่ง่ายต่อการต่อกร แต่หากเป็นเหลิ่งซาน จิตใจของนางคิดสิ่งใดสิง่นั้นจะปรากฏบนใบหน้าของนางโดยมิอาจปิดบัง มันให้ความกดดันที่น้อยกว่าจือโบอย่างมาก
แม้ว่ศิษย์พี่น้องของพวกเราจะมายังตำหนักหลิงหล่อ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะเป็นตัวแทนของสำนักทั้งหมด หากเป็นเพราะเช่นนี้จึงทำให้พวกเจ้าดูถูกความแข็งแกร่งของอาณาจักรเทียนหล่างละก็ ก็อย่าคิดเช่นนั้นเด็ดขาด !! จือโบกล่าวอย่างต่อเนื่อง : พวกเราทั้งหมด เป็นเพียงศิษย์สาวกทั่วไป หน้าที่สำคัญของพวกเราคือการค้นคว้าแมลงจำนวนหนึ่ง ในจุดนี้ พวกเจ้าทั้งสองก็เคยสัมผัสกับมัน
แมลงควบคุมวิญญาณของเจ้า ? หยางไค่กล่าวถามด้วยเสียงหัวเราะที่แผ่วเบา
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เหยียดหยามของหยางไค่ จือโบจึงกล่าวด้วยความขุ่นเคือง : ความแข็งแกร่งของข้าต่ำเกินไป แมลงที่ข้าฟูมฟักปลูกฝังออกมาจึงไม่ใช่คู๋ต่อสู้ของเจ้า หากเป็นแมลงควบคุมวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่านี้ พวกมันจะไม่หวาดกลัวความร้อนแม้แต่น้อย !!
แท้จริงแล้วแมลงเหล่านั้นหวาดกลัวความร้อน !! หยางไค่ได้รับข้อมูลด้วยความบังเอิญ
จือโบรู้ในทันทีว่านางได้เปิดเผยความลับออกไป นางจึงกล่าวอย่างระมัดระวัง : อืม ดาวข่มของมันคือความร้อน ดังนั้นผู้ฝึกยุทธุ์ที่ฝึกฝนวิชายุทธุ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังหยางหรือไฟที่ร้อนระอุ จะไม่สามารถควบคุมมันได้
เรื่องที่นางกล่าว สามารถอธิบายได้ว่าทำไมในขณะที่เหลิ่งซานกล่าวว่าหยางไค่ฝึกฝนวิชายุทธุ์ที่มีคุณสมบัติของพลังหยาง จือโบจึงต้องลงมือฆ่าหยางไค่ในทันที
แต่ว่าแมลงเหล่านี้ยังมีประโยชน์อย่างมาก อย่างน้อยกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่างของพวกเจ้าก็สามารถควบคุมสถานที่แห่งนี้ ! หยางไค่คิดถึงหวู่เฉิงยี่และกลุ่มคนแห่งอาณาจักรฮั่นกว่า 30 คน ที่ถูกไลล่าจนต้องรวมตัวกัน อย่างไร้ซึ่งหนทางในการฝึกฝนวิชายุทธุ์ ในใจของหยางไค่ก็ได้เกิดความรู้สึกที่สั่นไหวขึ้นมา
ตนเองโชคดีที่พบเจอกับความลับของแมลงควบคุมวิญญาณโดยบังเอิญ หากเขาต่อสู้กับจือโบพร้อมกับสัตว์กว่าหลาย 10 ตัว ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นผู้ได้เปรียบและเป็นผู้ชนะในการต่อสู้
ประโยชน์ของมันมีมากมาย พวกเราสามารถควบคุมสัตว์อสูรจากแมลงควบคุมวิญญาณ เมื่อสัตว์อสูรพบเจอกับผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจักรฮั่นของพวกเจ้า พวกเราไม่ต้องลงมือ ก็สามารถฆ่าพวกเจ้าได้ แต่ข้อเสียของมันก็ยังปรากฏ หากพบเจอกับคนอยางเจ้า พวกเราต้องป้องกันไม่ให้แมลงควบคุมวิญญาณถูกแผดเผา เพื่อไม่ให้มันทำให้จิตวิญญาณของเราได้รับบาดเจ็บ จือโบจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่โกรธเคือง ทรวงอกของนางกระชับขึ้นลงอย่างรุนแรง
ดังนั้นนอกเสียจากผู้ที่ฝึกฝนวิชายุทธ์แห่งพลังหยางและวิชายุทธุ์แห่งเปลวเพลิง พวกเขาเหล่านั้นต่างเป็นเป้าหมายของพวกเจ้า !! หยางไค่กล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา
มันเป็นเช่นนั้น เมื่อไร้ซึ่งคนสองประเภทนี้ พวกเราสามารถควบคุมแมลงควบคุมจิตวิญญานให้มันแสดงอำนาจพลังของมันที่มากที่สุดของมัน !! จือโบกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งยะโส : แต่ทว่า พวกเราไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนี้มากเท่าใด แมลงควบคุมวิญญาณมีรูปร่างที่เล็กมาก หากกล่าวโดยทั่วไป แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์แห่งอาณาจักรฮั่นที่ฆ่าสัตว์อสูรที่อยู่ในการควบคุมของพวกเรา พวกเขาจะไม่พบการดำรงอยู่ของแมลงควบคุมจิตวิญญาน พวกเราต้องหาเวลาที่เหมาะสมและเรียกแมลงเหล่านั้นกลับมาก็เพียงพอ ข้าไม่เชื่อและไม่เข้าใจ ว่าทำไมเจ้าถึงค้นพบความลับนี้ จือโบกล่าวด้วยความประหลาดใจและจ้องมองไปที่หยางไค่
หยางไค่แสะยิ้มและกล่าว : เจ้าเดาดูสิ !!
จือโบกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น ทรวงอกของนางกระชับขึ้นลงอย่างไม่หยุด แต่นางไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม
ในสถานที่แห่งนี้ นอกเสียจากผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจักรเทียนหล่าง นอกเสียจากหยางไค่ที่สามารถควบคุมแมลงควบคุมจิตวิญญาน คนอื่นๆที่เหลือไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างต่อสู้กับสัตว์อสูรของผู้ฝึกยุทธุที่สามารถควบคุมแมลงควบคุมจิตวิญญาน พวกเขาต่างไม่ทราบถึงการดำรงอยู่ของแมลงควบคุมจิตวิญญานเหล่านี้
ใช่แล้ว วันนั้นข้ามองเห็นกลุ่มคนแห่งตำหนักหลิงหล่อของพวกเจ้ามีถึง 4 คน ทำไมถึงเหลือเจ้าเพียงคนเดียว ? หยางไค่กล่าวถามด้วยความสงสัย
เมื่อคำกล่าวนี้ถูกกล่าวออกมา ดวงตาของจือโบประกายด้วยความอับปยศและความเกรี้ยวโกรธ เหลิ่งซานที่อยู่อีกฝั่งได้หัวเราะอย่างแผ่วเบา
กล่าวไม่ได้ ? หยางไค่กล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม ใบหน้าค่อนข้างที่จะไม่เป็นมิตร
ไม่ใช่ว่ากล่าวไม่ได้ จือโบสูดลมหายใจเข้า : เหลิ่งซานเจ้าก็รับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เล่าให้เขาฟังสิ !!
หยางไค่สงสัยในเรื่องที่เกิดขึ้น เขาจ้องมองไปยังเหลิ่งซาน
อืม ข้ารู้ เหลิ่งซานพยักหน้าเบาๆ
กล่าวมาซิ
เหลิ่งซานนิ่งไปสักครู่ ราวกับว่านางกำลังลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นนางจึงกล่าว : ครึ่งปีที่ผ่านมา ความโหดเหี้ยมและความไร้มารยาทของกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่างและจือโบทำให้ข้าและจิงฮ่าวต้องทนต่อความยากลำบากมาอย่างยาวนาน หลายเดือนที่ผ่านมาพวกเราต่างหลบซ่อนเสมอมา แต่ว่าจมูกของสัตว์อสูรไวยิ่งกว่าสิ่งใด มันรับรู้การดำรงอยู่ของพวกเราตลอดเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงพบที่หลบซ่อนของพวกเรา พวกเราหลบๆซ่อนๆ เป็นเวลานานจนถึง 1 เดือนที่แล้ว !!
1เดือนที่แล้ว ข้าพบเจอกับกลุ่มผู้ฝึกยุทธุ์กลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มของผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจักรฮั่น มีกลุ่มคนประมาณ 30 กว่าคน
สีหน้าของหยางไค่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เขารู้ดีว่ากลุ่มคนเหล่านั้นคือใคร
แม้ว่าชื่อเสียงแห่งสำนักทะเลสาปปีศาจจักรพรรดิ์จะไม่สู้ดี และยังเป็นสำนักแห่งมารปีศาจ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็คือคนแห่งอาณาจักรฮั่น ดังนั้นข้าและจิงฮ่าวจึงเข้าร่วมกับพวกเขา เดิมทีพวกเราคิดว่าพวกเรามีที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ ฮ่าฮ่า .. เหลิ่งซานหัวเราะด้วยความขมขื่น : แต่กลับไม่คิดว่าเพียง 2 วัน พวกเราต่างถูกล้อมจากสัตว์อสูรที่มากมาย
เมื่อหวนคิดกลับไป ในตอนนั้นหากข้าและจิงฮ่าวไมเข้าร่วมกับกลุ่มคนเหล่านั้น พวกเราคงไม่ตกอยู่ในมือของศัตรูได้รวดเร็วเช่นนี้ กลุ่มคนกว่า 30 คน มีความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ เป้าหมายก็ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นล่ะ ? หยางไค่กล่าวถาม
พบเจอการต่อสู้ที่ยากลำบาก ตายไปเป็นจำนวนมาก กลุ่มคนที่เหลือต่างถูกจับจนหมด
ถูก จับ ? หยางไค่ตื่นตะลึง : ทำไมถึงถูกจับ ? พวกเจ้าเป็นยอดฝีมือแห่งเขตแดนลมปราณแท้จริง ? หากพบเจอกับภัยอันตรายพวกเจ้าสามารถหลบหนีโดยการโบยบินนี้?
หนีไม่รอด เหลิ่งซานกล่าวด้วยสีหน้าที่เศร้าโศก
ไม่ใช่พวกเขาไร้ความสามารถ จือโบสูดลมหายใจเข้าและกล่าวแทรกเข้ามา
แล้วเป็นเพราะเหตุใด ?
เป็นเพราะศิษย์พี่จี่ของข้าแข็งแกร่งเกินไป !! จือโบจ้องมองหยางไค่
ความแข็งแกร่งแห่งเขตแดนของเขา ?
เขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 7 ไม่ใช่ความแข็งแกร่งแท้จริงของเขา จือโบส่ายหัวไปมา
เป็นเพราะสัตว์อสูรที่อยู่ใต้การควบคุมของเขา ? เขาควบคุมสัตว์อสูรจำนวนเท่าไหร่ ? หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น
จือโบชูนิ้วขึ้นมา 1 นิ้ว
100 ?
จือโบส่ายหัว
คงไม่ใช่ 1000 ? สีหน้าของหยางไค่เปลี่ยนแปลงไป
จือโบหัวเราะด้วยความขมขื่น : เจ้าคิดอะไร เขามีสัตว์อสูรในการควบคุมเพียง 1 ตน !! แต่เป็นสัตว์อสูรขั้นที่ 6
ดวงตาของหยางไค่ประกายด้วยความตื่นตะลึง
ถูกต้อง สัตว์อสูรขั้นที่ 6 แม้จะมีเพียงสัตว์อสูรขั้นที่ 6 เพียงตนเดียวที่ไม่แข็งแกร่งมาก แต่มันเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงได้อย่างง่า่ยดาย ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจักรฮั่นที่วิ่งหนีตาย ต่างตายอยู่ภายใต้การโจมตีของสัตว์อสูรขั้นที่ 6 ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของศิษย์พี่จี่
สถานที่แห่งนี้มีสัตว์อสูรขั้นที่ 6 ? หยางไค่กล่าวถามด้วยความสงสัย ตั้งแต่เขาเข้ามาจนถึงตอนนี้ สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่เขาเคยพบเจอเป็นเพียงสัตว์อสูรขั้นที่ 5 จือโบและศิษย์พี่จี่ของนางใช้แมลงควบคุมวิญญานในการควบคุมสัตว์อสูร ตนเองก็สามารถใช้ตราประทับทาสสัตว์อสูรในการควบคุมสัตว์อสูร หากว่าสามารถค้นพบสัตว์อสูรขั้นที่ 6 อีกตน มันจะทำให้การเดินทางในสถานที่แห่งนี้มีความง่ายดายมากขึ้นกว่าเดิมอย่างยิ่ง
ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่ตนเดียว !! ดวงตาของจือโบประกายด้วยความอิจฉา : นอกจากนั้นศิษย์พี่จี่ที่ควบคุมสัตว์อสูรขั้นที่ ุ6 สูญเสียพลังจิตวิญญานเป็นจำนวนไม่น้อย เขายอมปล่อยสัตว์อสูรที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา นำแมลงควบคุมจิตวิญญานออกมา จากนั้นจึงให้พวกมันกลืนกินซึ่งกันและกันเพื่อหลอมรวมให้เป็นหนึ่ง การกระทำนี้ค่อนข้างอันตราย หากเกิดข้อผิดพลาด แมลงควบคุมวิญญานจะตายทั้งหมด แต่ศิษย์พี่จี่ค่อนข้างโชคดี หลังจากที่แมลงควบคุมจิตวิญญานกว่าร้อยตัวหลอมรวมเป็นหนึ่ง มันได้แปรเปลี่ยนเป็นแมลงควบคุมจิตวิญญานที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นอีกขั้น ดังนั้นเขาจึงสามารถควบคุมสัตว์อสูรขั้นที่ 6 ได้
แม้ว่าจือโบจะกล่าวอธิบายอย่างง่ายดาย แต่หยางไค่ที่ได้ยินกลับชื่นชมศิษย์พี่จี่ของนางอย่างมาก
ยอมเสี่ยงอันตรายที่ใหญ่หลวง เพื่อทำให้แมลงควบคุมจิตวิญญานแปรเปลี่ยนเป็นแมลงควบคุมจิตวิญญานที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นอีกขั้น ในตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับบุคคลที่มีการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบเจอกับบุคคลเช่นนี้