ตอนที่ 242 เข้าเป็นโรค
ตอนที่ 242 เข้าเป็นโรค
...ในเวลาถัดไป หยางไค่ที่ถูกห่อหุ้มด้วยหมอกควันสีดำทะมึนแสะยิ้มให้แก่พวกนางทั้งสอง รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งมารปีศาจ ฟันสีขาวสว่างใสท่ามกลางหมอกควันสีดำทะมึนซึ่งให้ความรู้สึกที่ดุดันและน่าหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด
เมื่อมองเห็นดวงตาที่แดงก่ำและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งมารปีศาจ จือโบและเหลิ่งซานยืนนิ่งอยู่กับที่ พลังลมปราณแท้จริงที่ปลดปล่อยออกมาสงบลงในทันที พวกนางมิกล้าที่จะแสดงเจตนาร้ายต่อหยางไค่อีก
เจ้า...... จือโบขมวดคิ้วไว้แน่น นางไม่เข้าใจว่าหยางไค่ได้ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนเดินทางเข้าสู่เส้นทางมารปีศาจหรือไม่
ต้องให้บทลงโทษแก่พวกเจ้า!! หยางไค่สบทด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น สองมือของเขาพุ่งออกมา ตราประทับพยัคฆ์ขาวและเทพวัวได้ถูกปลดปล่อยออกมา ทันใดนั้นเงาร่างแห่งจิตวิญญานสัตว์อสูรทั้งสองได้ปรากฏออกมา
เงาร่างแห่งจิตวิญญาณสัตว์อสูรทั้ง 2 แตกต่างจากเงาร่างที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังลมปราณหยาง เพราะร่างกายของเงาร่างทั้งสองเป็นสีดำทะมึน เฉกเช่นหยางไค่ในเวลานี้ และมันยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งมารปีศาจที่ลึกลับ
ภายใต้เสียงคำรามที่ดังขึ้น เงาร่างแห่งจิตวิญญานสัตว์อสูรได้พุ่งออกไป และพุ่งไปยังสตรีทั้งสองจนพวกนางล้มลงไปที่พื้น
พวกเราทำผิดไปแล้ว พวกเราคิดว่าเจ้าถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งมารปีศาจ !! จือโบตะโกนเสียงดัง แม้ว่าความแข็งแกร่งของนางจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเงาร่างแห่งจิตวิญญาณสัตว์อสูร แต่นางไม่กล้าที่จะต่อต้าน เพราะนางหวาดกลัวที่จะทนรับความรู้สึกจากการถูกทรมาณจิตวิญญานที่แสนสาหัสจากหยางไค่
แม้ว่าข้าจะถูกธาตุไฟเข้าแทรก จนก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งมารปีศาจ พวกเจ้าจะใช้โอกาสนี้ในการฆ่าข้า ? หยางไค่ยิ้มอย่างเยือกเย็น หากไม่ใช่เพราะเข้าใจความคิดและเจตนาที่อยู่ในใจของพวกนาง หยางไค่คงไม่ยั้งมือต่อพวกนางเช่นนี้
การกระทำของพวกนาง เป็นเพียงการคุ้มครองตนเอง
เมื่อหยางไค่สั่งการทางจิตวิญญาณไปยังเงาร่างแห่งจิตวิญญาณสัตว์อสูรได้ทั้งสอง ทันใดนั้นเงาร่างแห่งจิตวิญญานสัตว์อสูรได้ได้พลันหายไป สตรีทั้งสองรีบคลานลงด้วยความหวาดกลัวจนร่างกายสั่นเทา
หยางไค่จ้องมองพวกนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน : โทษตายยากที่จะให้อภัย แต่มิอาจที่จะเว้นบทลงโทษที่พวกเจ้าสร้างมันขึ้นมา กล่าวมาซิ พวกเจ้าควรได้รับบทลงโทษเช่นไร !!
ร่างกายของจือโบสั่นเทา นางกัดริมฝีปากและกล่าว : ข้ารับบทลงโทษได้ทุกอย่าง แต่อย่าทรมาณจิตวิญญาณของข้าเท่านั้น !
เป็นเรื่องจริง ? หยางไค่ขมวดคิ้ว
อืม จือโบพยักหน้าอย่างจริงจัง เมื่อจิตวิญญาณถูกทรมาณ ขอตายดีกว่ามีชีวิตรอดต่อไป มันเป็นการลงทัณฑ์ที่โหดเหี้ยมที่สุด
เจ้าล่ะ ? หยางไค่เหลือบมองไปยังเหลิ่งซาน
ข้า.........ก็เช่นกัน............. เหลิ่งซานกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกัก
หยางไค่จ้องมองพวกนางด้วยสายตาที่เยือกเย็น เขากล่าวด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ : งั้น......พวกเจ้าถอดเสื้อผ้าของตนเองสิ
เมื่อได้ยินดังนี้ ร่างกายของสตรีทั้งสองสั่นไหวอย่างรุนแรง
จือโบเป็นคนที่รู้สึกตัวและได้สติก่อน นางยิ้มออกมาในทันที นางค่อยๆเปลื้องผ้าของนางทีละชิ้น ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา และซ่อนเร้นอารมณ์ต่างๆที่ไม่สิ้นสุด
แต่เหลิ่งซาน กลับยืนนิ่งด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ โดยไม่ยอมทำตามบทลงโทษที่หยางไค่กล่าวออกมา
ไม่ถอดก็ได้ ทรมาณ 3 ครั้งจนหมดสติ เจ้าเลือกเองละกัน ! หยางไค่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ
เมื่อหวนคิดถึวความรู้สึกที่ทุกข์ทรมาณ ร่างกายของเหลิ่งซานเย็นเฉียบในทันที หลังจากนั้น นางจึงหลับตาไว้แน่น น้ำตาไหลออกมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โหดเหี้ยม : หากมีวันหนึ่ง ที่ข้าเป็นอิสระ ข้าจะฉีกร่างของเจ้าให้แหลกละเอียด !!
หยางไค่หัวเราะเสียงดัง : ข้าจะรอ !!
เสื้อผ้าชิ้นแล้วชิ้นเล่าค่อยๆถอดออกมา เรือนร่างที่เกือบจะเปลือยเปล่าของพวกนางทั้งสองได้ปรากฏต่อหน้าหยางไค่ ไม่ว่าจะเป็นจือโบหรือเหลิ่งซานต่างมีเรือนร่างที่ไม่เลว และยังมีใบหน้าที่งดงาม เรือนร่างของพวกนางอวบอิ่มอย่างมีเสน่ห์ ทรวงอกอวบอั๋น หน้าท้องแบนราบ สะโพกเต่งตึง สองขาวที่เรียวยาว
หยางไค่จ้องมองพวกนางทั้งสองด้วยสายตาที่บ้าบิ่น เขาเปรียบเทียบเรือนร่างของพวกนางอย่างเงียบ เขาจ้องมองจนดวงตาเริ่มร้อนผ่าว แม้แต่ท้องน้อยอย่างร้อนลุ่มไปด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เรือนร่างของสตรีทั้งสองเหลือเพียงเสื้อซับตัวน้อยที่อยู่บนเรือนร่าง คนหนึ่งปกปิดทรวงอกด้วยเสื้อซับสีแดง ส่วนอีกคนปกปิดทรวงอกด้วยเสื้อซับสีม่วงอ่อน เสื้อซับที่เบาบางไม่สามารถปกปิดปถุมถันของพวกนางทั้งสอง ปถุมถันสีแดงสองจุดที่มีขนาดเท่าลูกองุ่นอยู่แนบติดกับเสื้อซับของพวกนาง มันดูหอมหวานและบริสุทธ์จนมิอาจที่จะเปรียบเปรย
ร่างกายส่วนล่าง เปิดเผยอย่างสง่า มันเผยให้เห็นส่วนลับของพวกนางกว่าครึ่ง มันให้ความรู้สึกที่ลึกลับ มองไม่เห็นอย่างละเอียด จนคิดจินตนาการเพ้อฝันไปไกล
นอกจากนั้นส่วนที่สำคัญที่สุด ความงามบนเรือนร่างของพวกนางต่างประทับเข้าไปยังความทรงจำของหยางไค่
ยังต้องถอดอีกไหม ? จือโบเม้มริมฝีปากไว้แน่น นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอาย
หยางไค่เพียงต้องการสั่งสอนพวกนางทั้งนั้น เขาไม่ต้องการที่จะทำอะไรไปมากกว่านี้
หยางไค่รู้ว่า จือโบเป็นสตรีที่ไร้ซึ่งความอับาย นางกล้าหาญที่จะเผยเรือนร่างที่เปลือยเปล่าให้แก่เขา แต่เหลิ่งซานไม่ได้เป็นเช่นจือโบ หากทำสิ่งที่มากเกินไปอาจทำให้นางไม่สามารถที่จะทนรับได้
เมื่อมองเห็นทรวงอกที่อวบอิ่มเป็นบุญตา หยางไค่จึงโบกมือและกล่าว : ไปได้ !!
จือโบอึ้งกับคำกล่าวของหยางไค่ เหลิ่งซานกระพริบตาไปมาด้วยความตกใจเช่นเดียวกัน เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่สงสัย สตรีทั้งสองต่างทราบดีว่าตนเองคงไม่สามารถหนีรอดจากเหตุการณ์อันน่าอัยศนี้ แต่ไม่คิดว่าหยางไค่ที่เป็นบุรุษหนุ่มและถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายแห่งมารปีศาจเพียงแค่มองพวกนาง และปล่อยพวกนางออกไป
หลังจากที่ครุ่นคิดเป็นเวลานาน จือโบอ้าปากและเลียริมฝีปากของตนเอง นางจ้องมองหยางไค่ด้วยเจตนาที่ลึกซึ้ง ดวงตาประกายด้วยความต้องการและยิ้มด้วยความเย้ายวน
เมื่อเผชิญหน้ากับสตรีที่งดงามเช่นนี้ บุรุษหนุ่มในโลกต่างต้องลุ่มหลงในสตรีที่งดงาม นอกจากบุรุษหนุ่มที่มิจิตใจมั่นคงที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวข้องกับสตรีเท่านั้น
แท้จริงแล้วเขา.........
ฮ่าฮ่าฮ่า...................
ชั่วเวลาพริบตา จิตใจของจือโบได้มีความคิดที่น่าขำขัน นางอดไมได้ที่จะหัวเราะ จนไหล่ของนางสั่นไหวไปมา แต่นางกลับกลั้นเสียงหัวเราะ ด้วยความยากลำบากยิ่ง
พวกเจ้ายังยืนอยู่ทำไม ? ข้าจะนับถึง 3 หากพวกเจ้ายังไม่ไปอย่าคิดที่จะหนีไปได้อีก !! หยางไค่ไม่ไดสังเกตุถึงสีหน้าของจือโบ เขาขมวดคิ้วและกล่าวข่มขู่
ราวกับว่าเหลิ่งซานได้หลุดออกจากความฝันที่เลวร้าย นางรีบก้มตัวต่ำลงในทันที
เสื้อผ้าทิ้งไว้ที่นี้ ส่วนพวกเจ้าออกไปเดี่ยวนี้ !! หยางไค่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส
เหลิ่งซานจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่เกลียดชังและไม่ยุติธรรม นางจึงปิดบังส่วนสำคัญของร่างกาย และบินหนีออกไปในทันที
จือโบไม่ได้กังวลและรีบร้อน นางค่อยกุ้มตัวต่ำลง ซึ่งเผยให้เห็นเรือนร่างที่งดงามของนาง นางมองไปที่หยางไค่และส่งสายตาที่หวานซึ้ง ก่อนจะหมุนตัวกลับ บิดเอวที่พลิ้วไปมาอย่างน่าเย้ายวน สะโพกของนางส่ายไปมา บิดไปมา อย่างไม่หยุด ....
เมื่อมองเห็นสตรีทั้งสองหายตัวเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หยางไค่จึงหลับตา และกดทับอารมณ์ที่พุ่งพล่านออกมา !!
ในความเป็นจริง หยางไค่ไม่รังเกียจที่จะร่วมรักกับจือโบสักครั้ง เพราะสตรีนางนี้มีหน้าที่งดงามเรือนร่างที่น่าลุ่มหลงและใจกว้างที่จะไม่รังเกียจเรื่องเช่นนี้ หากหยางไค่ได้ครอบครองร่างกายของนางสักครั้ง นางคงไมได้สนใจอะไรมาก
แต่ว่า พวกเขาทั้งสองเป็นศัตรู หากมีความขัดแย้งจนไม่สามารถที่จะเจราจาต่อไปได้ ไม่แน่ว่าอาจต้องจบลงด้วยความตาย
นอกจากนั้นในขณะที่อยู่ในเกาะซ่อนเร้น การต้านทาน กดทับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทำให้เขตแดนของเขามีความก้าวหน้าไม่น้อย ดังนั้นหยางไค่จึงต้องการที่จะใช้โอกาสในครั้งนี้ในทำให้เขตแดนของตนเองมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ความแข็งแกร่งและสตรี หยางไค่เต็มใจที่จะเลือกความแข็งแกร่ง
หยางไค่กดทับอารมณ์ความรู้สึกตรงนี้ เพื่อให้ความแข็งแกร่งในเขตแดนของเขามีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ เหลิ่งซานและจือโบกำลังใช้สองมือปิดบังเรือนร่างของพวกนาง และจ้องมองซึ่งกันและกันโดยไร้ซึ่งคำกล่าวใดๆ
การลอบโจมตีในครั้งนี้ล้มเหลวอย่างใหญ่หลวง แต่กลับถูกเจ้าเด็กหนุ่มล่วงเกิน มันเสียเปรียบอย่างยิ่ง !!
เหลิ่งซานโกรธเคืองจนเกือบจะเสียสติ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดแค้น นางยืนมือดึงต้นหญ้าที่เหี่ยวเฉา และกล่าวอย่างขุ่มเคือง : ไอ่สารเลว ไอ่สัตว์เดรฉาน รังแกสตรีไร้ทางสู้ เจ้าเป็นสัตว์ประเภทไหนกัน ความอัปยศในวันนี้ สักวันหนึ่งข้าจะให้เจ้าชดใช้อย่างสาสม !!
จือโบไร้ซึ่งคำกล่าว หลังจากนั้นนางจึงกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่ข่มขืน : พวกเราที่อยู่ต่อหน้าเขา คงไม่ใช่สตรีที่อ่อนแอ ? ความแข็งแกร่งและเขตแดนของเขาอ่อนแอกว่าพวกเรา นอกจากนั้น พวกเราเป็นคนคิดวางแผนทำเช่นนั้น สิ่งที่เขาทำไปเพราะต้องการสั่นสอนพวกเรา โดยการมองเรือนร่างของพวกเราไม่กี่ครั้ง เขาไม่ได้ทำอะไรพวกเราสักหน่อย
เหลิ่งซานจ้องมองจือโบด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกลียดชัง : เจ้าไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ?
ฮ่าฮ่า........ จือโบหัวเราะอย่างกะทันหัน ดวงตาของนางดั่งจันทร์เสี้ยว : หากเป็นบุรุษหนุ่มคนอื่นที่จ้องมอง ข้าจะยังโกรธเคืองสักหน่อย แต่เป็นเขาไง.........ให้เขามองเท่าที่เขาต้องการก็ไม่เห็นเป็นไรไป
หึม ดูเหมือนว่าเจ้าก็สมยอมด้วยเช่นกัน สีหน้าของเหลิ่งซานเต็มไปด้วยความรังเกียจ
จือโบไม่ได้สนใจเหลิ่งซาน นางได้กล่าวต่อ : ข้าจะกล่าวความลับให้เจ้าฟัง หากเจ้ารู้ความลับนี้เจ้าคงไม่ให้ความสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ความลับอะไร ? เหลิ่งซานกล่าวถามด้วยสีหน้าที่มีพิรุธ
จือโบโน้มหน้าเข้าไปและกล่าวอย่างแผ่วเบา
เมื่อเหลิ่งซานได้ยิน ใบหน้าของนางแด่งก่ำและเขียวคล้ำ ดวงตาของนางเผยให้เห็นความยินดีและความสุขท่ามกลางดความโชคร้ายที่เกิดขึ้น
เจ้าบอกว่า...........เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ? เหลิ่งซานพยายามกั้นเสียงหัวเราะและกล่าวถามอย่างแผ่วเบา
ชู่ว !! กล่าวออกมาทำไม ? เจ้ารู้ก็พอ จือโบกล่าวบอกแก่เหลิ่งซานด้วยสีหน้าที่ขำขัน
เจ้ารู้ได้ไง ? เหลิ่งซานกล่าวถามด้วยความสงสัย เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกสนิทสนมกับจือโบถึงขั้นนี้ โดยที่นางได้ขยับร่างกายเข้าใกล้จือโบ
พวกเราทั้งสองเกือบจะเปลื้องผ้าจนหมด แต่เขากลับไม่ทำอะไรพวกเราแม้แต่น้อย นอกเสียจากส่วนนั้นของเขาไม่..........จะมีคำไหนที่กล่าวอธิบายได้ จือโบกล่าวอย่างแผ่วเบา : หากเป็นบุรุษอื่น พวกเขาคงไม่สามารถที่จะต้านทานเสน่ห์อันเย้ายวนของพวกเราทั้งสอง ดังนั้น เขาต้องเป็นโรคร้ายที่ทำให้ส่วนนั้นของเขาไม่แข็งตัว !!
เมื่อเหลิ่งซานได้เย็น นางจึงพยักหน้าอย่างช้าๆ และเห็นด้วยกับคำกล่าวของจือโบ
สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกได้ว่าเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ของบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง !! ดูเหมือนว่าจือโบจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย นางพยักหน้าเห็นด้วยกับเหลิ่งซาน และกล่าวไปมาอย่างสนุกสนาน: แต่ห้ามกล่าวเรื่องนี้ต่อหน้าเขา ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เขาเกิดความรู้สึกแห่งความต้องการฆ่าขึ้นมาได้
อืม ข้าจะไม่พูด เหลิ่งซานพยักหน้าและกล่าวต่อ : หากเขามีโรคภัยเช่นนั้นจริง ก่อนหน้านั้นที่เจ้าหลอกล่อเขา คงไม่มีผลต่อเขาใช่ไหม ?
จือโบหัวเราะอย่างแผ่วเบา : เป็นเพราะเขามีโรคภัย ข้าจึงล่อลวงเขา !!ในตอนนี้พวกเราไร้ซึ่งหนทางที่จะควบคุมเขา นอกเสียจากการล่อลวงเขาให้หลงเสน่ห์พวกเรา ให้เขาทุกข์ทรมาณต่อความต้องการ โดยไม่สามารถที่จะปลดปล่อย มันก็เป็นการแก้แค้นไม่ใช่หรือไง ?
สายตาของเหลิ่งซานประกายด้วยความเข้าใจ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวัง นางชื่นชมในความคิดของจือโบ : เจ้าช่างรอบรู้จริงๆ
จือโบถลึงตาใส่นาง : สาวน้อย สตรีแห่งอาณาจักรเทียนหล่างของพวกเราไม่ได้รับรักษาความบริสุทธ์เฉกเช่นสตรีแห่งอาณาจักรฮั่น
แล้วเจ้า.......เคยกับบุรุษหนุ่ม........... ในขณะที่เหลิ่งซานกล่าว ใบหน้าของนางยังแดงก่ำ
จือโบเองรู้สึกอับอายและไม่เต็มใจที่จะกล่าว : ไม่เคย !! ข้ายังไม่เคยพบเจอกับบุรุษหนุ่มที่สามารถควบุคมข้าได้
เหลิ่งซานเบ้ปากใส่จือโบ : ข้าไม่เชื่อ !!
หยางไค่นั่งขัดสมาธิฝึกฝนเป็นเวลากว่า 2 วัน หยางไค่จึงสามารถกดทับความต้องการและความพุ่งพล่านแห่งอารมณ์ที่เกิดขึ้น เขตแดนของเขามีความก้าวหน้าไม่น้อย เขาเริ่มฝึกฝนตราประทับทาสสัตว์อสูรอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้ตราประทับแห่งพยัคฆ์ขาวและเทพวัวหลอมรวมเป็นหนึ่งเหมือนครั้งแรก แต่ในที่สุดเขาก็สามารถค้นหาเบาะแสควมรู้สึกหนึ่ง ความรู้สึกนี้ชัดเจนยิ่งกว่าแต่ก่อนอย่างมาก
2 วันที่ผ่านมา หยางไค่สูญเสียพละกำลังและพลังลมปราณเป็นจำนวนมาก แต่การกักเก็บพลังของกระดูกทองคำลึกซึ้งจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด การสูญเสียเพียงเท่านี้ไม่ได้เป็นปัญหาแก่มันแม้แต่น้อย
จือโบและเหลิ่งซานนั่งอยู่กลางสัตว์อสูรฝูงหนึ่ง บนเรือนร่างของพวกเขาสวมใส่เสื้อซับที่เบาบางเช่นเดิม
การลงโทษจากหยางไค่ยังไม่ได้จบลง
ความแข็งแกร่งของพวกนางอยู่ในระดับสูง ดังนั้นจึงไม่รู้สึกหนาวเย็น แต่สภาพของพวกนางในตอนนี้น่าอับอายอย่างยิ่ง ดังนั้นจือโบจึงสึ่งการให้สัตว์อสูรล้อมพวกนางทั้งสองไว้ถึง 3 รอบด้วยกัน เพื่อปิดบังการมองเห็นจากผู้อื่น
2 วันที่ผ่านมา สตรีทั้งสองกล่าวพูดคุยกันไปมาอย่างไม่หยุด แต่เรื่องส่วนใหญ่ล้วนเป็นวธีการในการแก้แค้นหยางไค่ ทำให้เขารู้สึกขมขื่นอย่างถึงขีดสุด ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนอยากที่จะตาย พวกนางพูดคุยกันไปมา จนความแค้นที่มีได้ลดลงและเริ่มสนิทสนมกว่าเดิมอย่างมาก
จากเสียงหยางไค่ที่ดังขึ้น จือโบตื่นตกใจ นางสูดลมหายใจเข้าและกล่าว : จิตใจของเขายังมีความเป็นมนุษย์
ในขณะที่กล่าว นางสั่งการให้สัตวอสูร 2 ตัววิ่งออกไป โดยให้มันนำเสื้อผ้าของนางและเหลิ่งซานกลับมา
ในขณะที่พวกนางทั้งสองสวมใส่เสื้อผ้าอย่างเรียบร้อยและเดินไปถึงด้านข้างของหยางไค่ หยางไค่ได้ลืมตาของเขาอย่างกะทันหัน
สตรีทั้งสองตื่นตกใจ หลายวันที่ผ่านมาเด็กหนุ่มผู้นี้สูญเสียพลังลมปราณไปเป็นจำนวนมาก สุดท้ายได้เกิดภาพเหตุการณ์ที่เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งมารปีศาจ แต่ในเวลานี้กลับฟื้นฟูความแข็งแกร่งเหมือนตอนแรก โดยไม่เห็นร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย
สตรีทั้งสองต่างคิดว่า หยางไค่เป็นบุรษหนุ่มที่ลึกลับ