ตอนที่ 240 เจ้าทำได้อย่างไร
ตอนที่ 240 เจ้าทำได้อย่างไร
เจ้าไม่ต้องมายุ่ง !! เหลิงซ่านปัดมือของจือโบออกไปอย่างรุนแรง
ครั้งนี้เพียงครั้งเดียว !! หยางไค่กล่าวด้วยสีหน้าที่เรียบเฉิย เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ เหลิงซานจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางทราบดีในทันทีว่าตนเองจะไม่ต้องทรมาณการกับลงทัณฑ์จากหยางไค่เช่นนี้อีก
เจ้าทำได้อย่างไร ? เหลิงซานสงสัยเป็นเวลานาน ในที่สุดนางจึงรวบรวมความกล้าและกล่าวถามความสงสัยอที่อย่ในใจ
ก่อนหน้านั้นนางเพียงพุ่งโจมตีหยางไค่ด้วยตราประทับแห่งปีศาจจักรพรรดิ์ แต่หลังจากที่ตราประทับปีศาจจักรพรรดิ์กลับคืนสู่ร่างกายของตนเอง ในหัวสมองของตนเองกลับมีบางสิ่งบางอย่างที่เพิ่มเข้ามาอีก ในเวลานี้ความแข็งแกร่งของเหลิ่งซานยังไม่สามารถฝึกฝนปราณจิตสัมผัสแห่งจิตวิญญาน เหลิ่งซานจึงไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด แต่นางรู้ดีว่าบุรุษหนุ่มที่อู่ตรงหน้าใช้สิ่งนี้ควบคุมความเป็นความตายของตนเอง
ข้าก็สงสัยและประหลาดใจกับสิ่งนี้ เจ้าสามารถกล่าวรายละเอียดให้ข้าฟังได้ไหม ? จือโบยิ้มด้วยความอาย นางจ้องมองหยางไค่ด้วยสยตาที่สงสัย ริมฝีปากเม้มไปมาอย่างหยุด ท่าทางของนางดูเหมือนไม่พอใจ ริมฝีปากสีแดงช่างเย้ายวนอย่างยิ่ง
ง่ายมาก เพียงสร้างตราประทับแห่งความเป็นนายเข้าใปในจิตวิญญานของพวกเจ้าก็เท่านั้น หยางไค่กล่าวตอบด้วยสีหน้าที่่เรียบเฉย
เมื่อสตรีทั้งสองได้ยินคำกล่าวของหยางไค่ พวกนางต่างแสดงสีหน้าที่ตื่นตะลึงด้วยความไม่เชื่อ
ง่ายมาก? แม้ว่าพวกนางจะไม่สามารถฝึกฝนปราณจิตสัมผัสแห่งจิตวิญญาน แต่พวกนางต่างทราบดีว่าการประทับตราประทับลงในจิตวิญญานของผู้อื่นนั้นยากเย็นแสนเข็ญมากเพียงใด อย่าว่าแต่หยางไค่ที่อยู่ในเขตแดนผสานลมปราณ แม้ว่าเขาจะอยู่ในเขตแดนเทพสรรค์ หากคิดจะทำเช่นนี้ก็ต้องใช้ความพยายามและเวลาที่ไม่น้อย และยังต้องระมัดระวังอย่างทำลายจิตวิญญานของผู้อื่น มิฉะนั้นพวกเขาอาจจะกลายเป็นคนเสียสติที่ไร้ความสามารถในทันที
แต่จากคำกล่าวที่ออกจากปากของเขา เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายดาย ?
แต่เมื่อคิดไต่รตร่องถึงเรื่องที่พวกเขาพบเจอ มันก็สามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับเขายิ่งนัก
เหลิ่งซานไม่มีคำกล่าวใดที่จะกล่าวออกไปได้อีก เมื่อตราประทับปีศาจจักรพรรดิ์ถูกโจมตีออกไป แล้วนำกลับมาในระยะเวลาไม่ถึง 3 ลมหายใจ ตนเองกลับไม่เป็นผู้ที่ควบคุมความเป็นความตายของตนเองอีกต่อไป
จือโบเพียงนำแมลงควบคุมจิตวิญญานของตนเองกลับมา แต่กลับพบเจอกับสถานการณ์ที่เหมือนกันกับตนเอง
เมื่อครุ่นคิดไปมา เมื่อเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าฆ่าจิงฮ่าวตายไป การที่เขายังไม่หนีไปไหน เพราะเขามีการเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่แรก ในการรอให้จือโบเดินทางเข้ามาและตกหลุมพรางที่เขาวางเอาไว้
แต่น่าขำยิ่งนักที่จือโบวิ่งเข้าไปหากับดักที่เขาวางเอาไว้ จนตกหลุมพรางนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนต้องสูญเสียความเป็นตัวตนและกลายเป็นทาสของเขาในทันที !!เมื่อหวนคิดถึงเรื่องที่ผ่านพ้นมา จิตใจของจือโบเย็นเยือกด้วยความเศร้าโศก นางรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเองอย่างเงียบๆ
ก่อนหน้านั้นที่หยางไค่กล่าวว่าเขาจะแผดเผาทำลายแมลงควบคุมจิตวิญญาน มันต้องเป็นการบังคับให้ตนเองเรียกแมลงควบคุมจิตวิญญากลับมาอย่างแน่นอน
มันเป็นแมลงควบคุมจิตวิญญานที่ถูกเขาลงมือประทับตราประทับในจิตวิญญานที่เชื่อมผสานกับตนเองตั้งแต่แรก
จือดบจ้องมองหยางไค่อย่างไม่วางตา นางสูดลมหายใจเข้าและกล่าว : เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธุ์ที่มีความแข็งแกร่งเพียงเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 7 จริงหรือ ?
หยางไค่ส่ายหัวอย่างช้าๆ
จือโบตบไปที่ทรวงอกที่สั่นไหวไปมาของตนเองและกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : ข้าว่าแล้วเชียว ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 7 จะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่ในขั้นไหนกันแน่ ?
หยางไค่หัวเราะอย่างแผ่วเบา ร่างกายของเขาสั่นเทา ทันใดนั้นกลิ่นอายที่ไร้ซึ่งรูปร่างแผ่กระจายออกมา พลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายหมุนเวียนด้วยความผลันผวน และกลับเป็นเหมือนเดิมในที่สุด
บรรลุ...ก้ามข้ามเขตแดน จือโบและเหลิ่งซานจ้องมองหยางไค่ด้วยสีหน้าที่โง่เขลา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันเป็นการบรรลุและก้าวข้ามเขตแดนขนาดเล็ก
แต่ว่า ..การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นไม่ได้แข็งแกร่งมากมายอะไร มันยังไม่ถึงขั้นของเขตแดนลมปราณแท้จริงด้วยซ้ำ !
ความแข็งแกร่งของเข้าอยู่ในเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 8 !! หยางไค่ยักคิ้วให้แก่สตรีทั้ง 2
จือโบและเหลิ่งซานต่างกล่าวพึมพำอยู่ในใจ แท้จริงแล้ว ..เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 8 !! คำกล่าวที่เขากล่าวไว้ในตอนแรก มิใช่โกหกแม้แต่น้อย
จือโบและเหลิ่งซานจ้องหน้าซึ่งกันและกัน โดยที่ใบหน้าของพวกเขาต่างแดงก่ำด้วยความอับอาย
พวกนางทั้งสอง คนหนึ่งความแข็งแกร่งในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 6 อีกคนความแข็งแกร่งในเขตแดนขั้นที่ 4 พวกนางทั้งสองต่างเป็นสตรีระดับสูงของสำนักของตนเอง เมื่อปะทะกับหยางไค่ ระยะเวลาเพียงพริบตา กลับถูกหยางไค่ควบคุมความเป็นความตายเอาไว้ในมือ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้พวกนางทั้งสองรู้สึกอับอายและเสียศักดิ์ศรีด้วยความอัปยศยิ่ง
พวกนางต่างหัวเราะด้วยความขมขื่น ทั้งสองต่างไม่ทราบว่าต้องกล่าวสิ่งใดต่อไปอีก
พวกเจ้าทำในสิ่งที่พวกเจ้าอยากทำ แม้ว่าข้าจะควบคุมความเป็นความตายของพวกเจ้าทั้งสอง แต่เพียงพวกเจ้าทั้งสองเชื่อฟังข้า ไม่มีเจตนาคิดร้ายต่อข้า ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าทั้งสองต้องลำบาก ดังนั้น หากพวกเจ้าทั้งสองต้องการที่จะฆ่าบุคคลอื่นหรือสัตว์อสูร ก็แล้วแต่พวกเจ้า เมื่อใดที่ข้าต้องการพวกเจ้า ข้าจะเรียกพวกเจ้าอีก เมื่อกล่าวจบ หยางไค่ได้หลับตาอีกครั้ง
เหลิ่งซานและจือโบค่อยๆถอยกลับ หลังจากที่พวกเขาถอยออกไปเกือบ 10 จ้าง พวกนางทั้งสองไม่ต้องการเข้าใกล้หยางไค่เพื่อทำให้เขาเข้าใจผิด
บุรุษผู้นี้ แปลกประหลาดอย่างยิ่ง !! จือโบจ้องมองหยางไค่ที่อยู่ในระยะไกล และกล่าวพึมพำกับตัวเอง
หึ !! เหลิ่งซานสบทเบาๆ เมื่อหวนคิดถึงการยอมจำนนของตนเอง มันช่างน่าอับอายยิ่งนัก นางกัดฟันไว้แน่นและกล่าว : ไม่ช้าหรือเร็ว ข้าต้องทำให้เจ้าชดใช้อย่างสาสม
จือโบเหลือบสายตามองไป นางกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่แผ่วเบา : เจ้ามีความสามารถที่จะปลดเปลื้องพันธนาการที่ถูกควบคุมจากเขาค่อยพูดก็ไม่สาย !!
ยังมีเจ้า !! เหลิ่งซานจ้องมองจือโบด้วยสายตาแห่งเจตนาการฆ่า : ข้ายังไม่ลืมว่าหลายวันที่ผ่านมาเจ้าสร้างความอัปยศต่อร่างกายของข้าเช่นไร
จือโบหัวเราะเบาๆ : เจ้าจะเกรี้ยวโกรธไปเพื่ออะไร ? ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าสักหน่อย !! ยิ่งกว่านั้น เจ้าก็สนุกสนานและเพลิดเพลินกับมันไปด้วยใช่ไหม ? การตอบสนองขอเจ้าไม่สามารถโกหกข้าได้ !!
สารเลว !! เหลิ่งซานเกรี้ยวโกรธจึงถึงขีดสุด ใบหน้าของนางแดงก่ำ : หากเจ้ายังกล้าที่จะกล่าวถึงเรื่องนั้น ข้าจะไม่จบกับเจ้าเพียงเท่านี้ !
จือโบหัวเราะด้วยสีหน้าที่รังเกียจ : ความเป็นความตายของเจ้า เจ้ายังไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นเจ้าอย่าคิดที่จะมีเจตนาร้ายต่อข้าไปมากกว่านี้ เจ้าคิดหาหนทางในการมีชีวิตรอดภายในเงื้อมมือของเขาให้ได้ก่อน เจ้าก็เห็นการปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกมา เขาไม่มีความเมตตาและความสงสารต่อพวกเราแม้แต่น้อย หากทำให้เขาไม่เชื่อในความภักดิ์ดี เขาต้องฆ่าพวกเราอย่างแน่นอน !!
ฮ่าฮ่า .. เหลิ่งซานหัวเราะอย่างเย็นชา นางกล่าวด้วยสีหน้าที่สาแก่ใจ : ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้ !!ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นควบคุมเป็นอย่างไร ?
พวกเราต่างเป็นสตรีทั้งคู่ ทำไมต้องคิดเล็กคิดน้อยคิดอะไรที่มากไปกว่านี้ด้วย ? ในตอนนี้พวกเราต่างลงเรือลำเดียวกันแล้ว !! จือโบพยักหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
เหลิงซานสูดลมหายใจเข้า แม้ว่าจิตใจของเขาจะเต็มไปด้วยความโกรธเคือง แต่นางไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคำกล่าวของจือโบไม่ใช่เรื่องจริง นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย : เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป ?
ล่อลวงเขา !! สีหน้าของจือโบเต็มไปด้วยความตื่นเต้น : ดูเหมือนว่าเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุประมาณ 16-17 ปี เขาอายุน้อยกว่าพวกเราหลายปี แม้ว่าเขาจะโหดเหี้ยมมากเพียงใด เขาก็เป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง บุรุษยอมมีความต้องการทางเพศ ข้าและเจ้ามีใบหน้าและรูปร่างที่งดงาม การที่เราจะล่อล่วงเด็กหนุ่มให้หลงเสน่ห์คงไม่ใช่เรื่องยาก ?
ข้ารู้ว่าเจ้าอยากขึ้นเตียงกับเขา !! เหลิ่งซานกล่าวทิ่มแทงโดยไม่ไว้หน้า
เจ้าจะกล่าวคำพูดที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำไม ? จือโบกรอกตาไปมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาอย่างฉับพลัน : แต่มีคำกล่าวหนึ่งที่ข้าไม่ได้โกหกเจ้า สตรีแห่งอาณาจักรเทียนหล่างของเรา เคารพและบูชาผู้แข็งแกร่ง แม้ว่าเขตแดนของเขาไม่ได้อยู่ในระดับสูง แต่เขากลับสามารถควบคุมข้าได้ ในจุดนี้แม้แต่ศิษย์พี่ของข้ายังทำไม่ได้
เจ้าไปคนเดียวเถอะ ข้าไม่ทำเรื่องที่น่าอับอาเช่นนั้น !! เหลิงซานกล่าวสบท นางหมุนตัวและเดินจากไปในบริเวณที่ห่างไกล และนั่งขัดสมาธิลง นางถูกหยางไค่ทรมาณจนหมดสติ นางต้องการที่จะพักฟื้นความแข็งแกร่งของตนเอง !!
จืือโบหัวเราะอย่างเย็นชา หากนางสามารถเอาชนะและควบคุมหยางไค่ได้ เหลิงซานก็จะได้รู้ว่าอะไรเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ในโลกแห่งนี้เป็นเช่นนี้เสมอมา บุรุษควบุคุมใต้หล้า สตรีควบคุมบุรุษ เป็นเรื่องที่จริงที่ต้องยอมรับ !!
หยางไค่ที่นั่งขัดสามาธิอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ไปจัดการเรื่องราวของตนเองในเวลาแรก แต่เขากำลังตั้งใจสัมผัสจิตวิญญานของเหลิ่งซานและจือโบ
แม้จะไมได้ยินว่าพวกเขากำลังกล่าวสิ่งใด แต่ความรู้สึกและปฏิกิริยาที่ตอบสนองกล่าวตอบให้แก่หยางไค่อย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังคิดทำสิ่งใด
อืม ไม่เลว ทั้งสองเชื่องฟังอย่างยิ่ง โดยไม่มีความคิดที่จะฆ่าตนเอง
เมื่อสามารถควบคุมพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ มันทำให้หยางไค่รู้สึกยินดีและดีใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นผลงานของมารปฐพี
แผนการของหยางไค่ในตอนแรก เพียงต้องการที่จะแผดเผาทำลายแมลงควบคุมจิตวิญญานทั้งสองตัวเพื่อทำให้จือโบได้รับบาดเจ็บ จากนั้นจึงลงมือฆ่านางก็เท่านั้น
แต่มารปฐพีกลับมีวิธีการที่ดีกว่า
เขาได้ใช้วิธีการที่วิเศษในการเชื่อมผสานจิตวิญญานของหยางไค่และจิตวิญญานของจือโบ เมื่อใดที่นางนำแมลงควบคุมจิตวิญญานกลับไป นั้นหมายความว่าหยางไค่ได้สร้างตราประทับไว้ในจิตวิญญานของนาง และจะสามารถควบนางได้อย่างสมบูรณ์
การทดสอบในครั้งสุดท้าย รวดเร็วและประสบความสำเร็จ
เมื่อมีผลลัพธุ์ทีป่ระสบควาสำเร็จ หยางไค่จึ้งต้องการที่จะลงมือไปยังเหลิ่งซาน ตราประทับปีศาจจักรพรรดิ์เป็นเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนพร้อมกับจิตวิญญานถึง 2 ดวง มันสามารถใช้วิธีการของมารปฐพี มารปฐพีก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง เขาได้ลงมือไปยังตราประทับปีศาจจักรพรรดิ์ของเหลิ่งซาน
นอกจากนั้น มารปฐพีลงมือด้วยความสามารถในระดับสูง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าใครจะสามารถทำลายมันได้ จิตวิญญานเป็นสิ่งที่อ่อนแอ จิตวิญญานของจือโบและเหลิ่งซานถูกหยางไค่สร้างตราประทับแห่งความเป็นนาย หากมียอดฝีมือที่จะช่วยทำลายตราประทับนีี้ พวกเขาต้องกังวลว่าจะทำลายความทรงจำทุกสิ่งทุกอย่างของพวกนางไปด้วยหรือเปล่า
แต่น่าเสียดาย ที่เขาไม่ได้กลืนกินจิตวิญญานแห่งความเคียดแค้นของเหลิ่งซาน !! มารปฐพีรู้สึกอารมณ์เสียอย่างยิ่ง
ข้าสิต้องรู้สึกเสียดาย หยางไค่กล่าวด้วยความไม่พอใจ : หากข้ารู้ว่าทำเช่นนี้ได้ตั้งแต่แรก ข้าจะฆ่าจิงฮ่าวและยู่เฉิงคุนแห่งสำนักทะเลสาปปีศาจจักรพรรดิ์ไปทำไม ? การที่ข้าสามารถควบคุมให้พวกเขาเป็นทาสรับใช้ของข้าเป็นเรื่องที่ดีแค่ไหน
มารปฐพีหัวเราะอย่างแผ่วเบาๆ
เจ้ารู้ตั้งแต่แรก แต่กลับไม่บอกข้าใช่ไหม ? หยางไค่รูสึกโกรธเคือง
มารปฐพีกล่าวขอความยุติธรรม : ศัตรูที่อ่อนแอเช่นนี้ ควบคุมพวกเขาแล้วจะสามารถใช้ประโยชน์ได้มากแค่ไหน หากนายน้อยไม่กล่าวแผนการออกมาตั้งแต่แรก ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะทำเช่นนี้ได้
ช่างมันเถอะ การรับบุรุษเป็นทาสรับใช้คงเป็นเรื่องที่น่าขนลุก !! หยางไค่ไมไ่ด้สนใจไปมากกว่านี้
หลังจากที่แอบตรวจสอบจือดบและเหลิ่งซาน หยางไค่จึงเริ่มจัดการกับเรื่องของตนเอง
หยางไค่สูดลมหายใจเข้า หยางไค่กล่าวอัญเชิญอยู่ในใจ เพื่อกล่าวเรียกเสือดาวเงาลวงสีทองมาหาตน หลังจากนั้นหยางไค่ยืนมือและสัมผัสไปยังหน้าผากของมัน และทำลายตราประทับควบคุมสัตว์อสูรที่อยู่ภายในร่างกายของมัน
หลังจากที่สัตว์อสูรขั้นที่ 5 เป็นอิสระจากการถูกควบุคม มันได้วิ่งหนีออกไปในทันที
หยางไค่ไม่ได้ลงมือฆ่ามัน ไม่ได้ตามมันไป แต่กลับเป็นจือโบที่กล่าวออกคำสั่งให้สัตว์อสูรหลาย 10 ตัวลงมือเคลื่อนไหว และไล่มันกลับมา จากนั้นจึงปลูกฝังแมลงควบคุมจิตวิญญานของนางอีกครั้ง
หยางไค่ไม่ได้สนใจการกระทำของจือโบ มือซ้ายของเขาพุ่งตราประทับแห่งพยัคฆ์ขาวออกมา ส่วนมือขวาพุ่งตราประทับแห่งเทพวัวออกมา สองมือกุมเข้าหากัน และผลักดันไปด้านหน้า
เมื่อเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังขึ้น เงาร่างของพยัคฆ์ขาวที่สะท้านสวรรค์ เทพวัวที่ทะลายปฐพีได้ปรากฏออกมา
เมื่อถูกเสียงนี้ดึงดูด จือโบและเหลิ่งซานรีบหันหน้ากลับไปมอง พวกเขามองเห็นร่างเงาแห่งสัตวือสูรที่ราวกับมีชีวิต โดยที่มันกำลังอ้าปากขนาดยักษ์ของมัน
พวกนางทั้งสองไม่เคยเห็นเคล็ดวิชาที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ เพราะสัตว์อสูรทั้งสองตนมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกมันไร้ซึงโลหิตและเนื้อหนัง แต่เป็นสัตว์อสูรที่สร้างขึ้นมาจากพลังลมปราณของหยางไค่
นี้ .พลังลมปราณต้องบริสุทธุ์ถึงขั้นไหน จึงจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ? เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนผสานลมปราณไม่ใช่หรือไง ?
ในขณะที่พวกนางทั้งสองจ้องมองด้วยสายตาที่ประกาย หยางไค่ถอนหายใจออกมา เขายื่นมือทั้งสองออกมา นิ้วก้อยทั้งสองเกี่ยวกันไปมา สัตว์อสูรทั้งสองตนจึงสลายไปในทันที
เมื่อหยางไค่ใช้เคล็ดวิชาแห่งจิตวิญญานอสูรเป็นเวลานาน หยางไค่จึงพบความลึกลับของเคล็ดวิชานี้อีกครั้ง นั้นก็คือไม่ว่าในเวลาใด พยัคฆ์และเทพวัวจะปรากฏออกมาได้เพียง 1 ตน ไม่มีทางที่พวกมันจะออกมาทีละ 2 ตน
เคล็ดวิชาแห่งจิตวิญญานอสูรเป็นสัตว์อสูร 2 ตน หากรวมตัวกันจะกลายเป็นตราประทับแห่งจิตวิญญานสัตว์อสูร แต่เมื่อเงาร่างของสัตว์อสูรทั้งสองปรากฏตัวออกมาจนมันสลายไป เงาร่างของพวกมันจะไม่สามารถปรากฏตัวออกมาได้อีก
สิ่งทีเกิดขึ้นคงเกี่ยวข้องกับจิตวิญญานอสูรของสัตว์อสูรทั้ง 2 กับสิ่งที่อยู่ในร่างกายตนเอง
หยางไค่ต้องการที่จะฝึกฝนตราประทับแห่งจิตวิญญานอสูร มีเพียงวิธีเดียวคือการทำลายจิตวิญญานของสัตวือสูรทั้ง 2
หยางไค่จึงปลดปลอ่ยตราประทับพยัคฆ์ขาวและเทพวัวออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยการหลอมรวมพวกมันให้กลายเป็น 1 ในขณะที่หยางไค่ฝีกฝนมัน หยางไค่พยายามที่จะค้นหาความลึกลับที่ว่อนอยู่ในตัวของมันอีกหน