ตอนที่ 237 ความลึกลับของการควบคุมสัตว์อสูร
ตอนที่ 237 ความลึกลับของการควบคุมสัตว์อสูร
ระยะเวลาสั้นๆเพียง 30 ลมหายใจ หยางไค่ได้ตัดกรงเล็บปีศาจของจิงฮ่าวไดสำเร็จ เมื่อจิงฮ่าวสูญเสียสองมือที่มีค่าที่สุด เขาไร้ซึ่งความสามารถในการต่อต้าน เมื่อถูกหยางไค่และสัตว์อสูรตนนั้นร่วมมือโจมตี แม้แต่จะบินออกไปก็ไม่สามารถที่จะทำได้ จนสุดท้าย เขาได้ถูกหยางไค่ฆ่าตายในที่สุด
เมื่อจิงฮ่าวตาย สัตว์อสูร 2 ตนที่จ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้วิ่งหนีออกไปอย่างสุดชีวิตราวกับว่าได้รับคำสั่งจากใครสักคน
หยางไค่จ้องมองพฤติกรรมของพวกมันด้วยความระมัดระวังตั้งแต่แรก เขาทราบดีว่าสัตว์อสูรทั้งสองเป็นทาสรับใช้ของกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่าง แม้ว่าหยางไค่ต้องการที่จะฆ่ามัน แต่ความเร็วของพวกมันเร็วเกินไป ในช่วงเวลาแรกหยางไค่มิอาจจะตามพวกมันทัน เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดจะขึ้น หยางไค่จึงต้องปล่อยให้พวกมันหลบหนีออกไป
หยางไค่ถอยหายใจอย่างแผ่วเบา เขาจ้องมองสัตว์อสูรขั้นที่ 5 ตนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเคียง หยางไค่ขมวดคิ้วไปมาด้วยความสุข สีหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้นและดีใจ
การต่อสู้ในครั้งนี้ ง่ายดายยิ่งกว่าการต่อสู้กับศิษย์สาวกแห่งสำนักระเบี่เก้าดวงดารา
เมื่อมีการดำรงอยู่ของมารปฐพี และมีการย้อนโจมจีจากสัตว์อสูร ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้จิงฮ่าวต้องตาย
แม้ว่าตายจิงฮ่าวคงไม่เข้าใจว่าทำไมสัตว์อสูรที่เขานำพามาจึงลงมือโจมตีเขาอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้
ต้นตอทั้งหมด เกิดขึ้นจากเคล็ดวิชาแห่งจิตวิญญาณอสูร
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นวิธีการที่หยางไค่พบเจอโดยบังเอิย หลายวันก่อนหยางไค่พบเจอกับสัตว์อสูรขั้นที่ 5 ตนหนึ่ง เดิมที่หยางไค่ต้องการเปิดใช้งานเคล็ดวิชาแห่งจิตวิญญาณอสูร โดยการอัญเชิญให้สัตว์อสูรทั้งสองช่วยเหลือ แต่ไม่รูเป็นเพราะเหตุใด จิตวิญญาณอสูรของทั้งสองได้หลอมรวมกลายเป็น 1 กลายเป็นแสงประกายที่เจิดจรัส และพุ่งผสานเข้าไปยังร่างกายของสัตว์อสูรขั้นที่ 5
หลังจากนั้นสัตว์อสูรขั้นที่ 5 กลับเชื่อฟังคำสั่งของหยางไค่ไปโดยปริยาย !!
การค้นพบโดยบังเอิญทำให้หยางไค่รู้สึกดีใจอย่างบ้าบิ่น ระยะเวลาที่ผ่านมาเขาได้ค้นหาสิ่งลึกลับอื่นๆที่ซ่อนเร้นเอาไว้ แต่บางครั้งเหมือนว่าเขาจะค้นพบแต่บางครั้งดูเหมือนว่าเขาจะล้มเหลง แม้แต่การเปิดใช้งานในบางครั้งอาจจะสำเร็จ ในบางครั้งกลับล้มไม่เป็นท่าอย่างน่าอับอาย
นอกจากนั้นในตอนนี้สัตว์อสูรที่พบเจอลดน้อยทุกวัน ทำให้เขาไม่ได้รับโอกาสในการทดสอบ กลายเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
แต่ว่าหยางไค่ได้คิดชื่อของเคล็ดวิชานี้ไว้เรียบร้อย
เคล็ดวิชาที่ พยัคฆ์ขาวและเทพวัวหลอมรวมกลายเป็น 1 สร้างขึ้น ถูกขนานนามว่า ตราประทับทาสสัตว์อสูร !!
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันเป็นเคล็ดวิชาที่สามารถขอรับการช่วยเหลือจากสัตว์อสรูทั้ง 2
ในขณะที่ต่อสู้กับจิงฮ่าว ตราประทับทาสสัตว์อสูรแสดงประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ของมัน ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด หากไม่เป็เพราะสัตว์อสูรขั้นที่ 5 ที่ลอบโจมตีจิงฮ่าว จากความแข็งแกร่งของจิงฮ่าว มีโอกาสที่เขาจะหนีไปได้อย่างง่ายดาย
หากว่าเคล็ดวิชานี้สามารถใช้มันได้อย่างคล่องตัว มันจะมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพยัคฆ์ขาวและเทพวัว แม้ว่าการโจมตีของสัตว์อสูรทั้ง 2 จะไม่ธรรมดา แต่ว่าพลังทางด้านร่างกายของมันค่อนข้างอ่อนแอ เมื่อพวกมันร่วมมือการโจมตีก็เทียบเท่าพลังของสัตว์อสูรขั้นที่ 5 เพียง 1 ตัว แต่มันดีกว่าเพราะมันมีจำนวนที่มากกว่าเท่านั้น
ห่างออกไป 30 ลี้ จือโบที่กำลังนั่งขัดสมาธิได้ลืมตาของนางอย่างฉับพลัน ดวงตาที่งดงามประกายด้วยความประหลาดใจยิ่งกว่าครั้งไหน
เหลิ่งซานที่ยืนตรงด้านหลังของนางแสดงออกอย่างไม่ต่างกัน สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นางจ้องมองไปยังทิศทางของหยางไค่ ดวงตาประกายด้วยความเจ็บปวด และยังซ่อนเร้นด้วยความดีใจและความเศร้าโศก
ไม่ว่าอย่างไร จิงฮ่าวเป็นศิษย์พี่ในสำนักเดียวกันของนาง แม้ว่าการตอบตกลงกับข้อเสนอของจือโบจะทำให้นางเกลียดชัง แต่เมื่อคนตายเปรียบเสมือนแสงเทียนที่ดับหมอด ไม่มีทางที่เขาจะมาสร้างความแปดเปื้อนให้แก่ตนเอง ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดแค้นต่อจิงฮ่าว แต่ในตอนนี้กลับเป็นตัวนางที่ตกอยู่ในความลำบาก ในตอนนี้นางมีชีวิตเพียงลำพัง
และยังถูกสตรีแห่งอาณาจักรเทียนหล่างควบคุมเอาไว้ในมือ อนาคตที่เหลือของนางจึงมืดมนอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกันที่จิงฮ่าวตายไป สตรีแห่งอาณาจักรเทียนหล่างรับรู้จากวิธีการที่แตกต่าง
ศิษย์พี่ของเจ้า.......ตายไปแล้ว จือโบค่อยๆลุกขึ้น นางจ้องมองเหลิ่งซานด้วยสายตาที่เรียบเฉย
ตายก็ดี !! เหลิ่งซานหัวเราะอย่างเยือกเย็น
ฮ่าฮ่า เป็นบุรุษหนุ่มที่ไร้ค่า ทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก จือโบหัวเราะด้วยความงดงาม นางขมวดคิ้วและกล่าว : แต่ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง สามารถฆ่าจิงฮ่าวในระยะเวลาสั้นๆ เป็นยอดฝีมือที่แท้จริง !!
เมื่อจือโบกล่าวไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นดวงตาของนางประกายด้วยความสง่า ราวกับว่าพบเจอกับของเล่นใหม่ที่น่าอัศจรรย์ ใบหน้าแสดงออกด้วยความตื่นเต้น แม้แต่ลมหายใจของหนางยังหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
จือโบเคลื่อนไหวฝ่าเท้า นางค่อยๆเดินไปยังทิศทางที่หยางไค่ปรากฏตัว สัตว์อสูรกว่า 10 ตนรีบลุกขึ้นมา และวิ่งตามจือโบไป
เหลิ่งซานจ้องมองนางด้วยความประหลาดใจ นางรีบตามไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด
นางรู้ดีว่าตนเองไม่มีหนทางและโอกานในการหลบหนี ไม่เพียงแต่สัตว์อสูรกว่าหลาย 10 ตัวที่นางไม่สามารถรับมือ แต่เป็นสิ่งที่จือโบปลูกฝังเอาไว้ในร่างกายของนาง ที่เพียงพอจะควบคุมความเป็นความตายของนาง
หยางไค่เก็บลูกแก้วชีพจรโลหิตที่กลั่นตัวหลังจากที่จิงฮ่าวตาย จากนั้นจึงหันหน้ามองไปยังสัตว์อสูรขั้นที่ 5 ที่ยืนเคียงข้างเขา
มันเป็นเสือดาวเงาร่างสีทอง มันมีรูปร่างที่สง่างาม สัดส่วนที่งดงามและผิวหนังที่เรียบเนียน เนื้อหนังทุกส่วนของมันล้วนซ่อนเร้นพลังแห่งการฆ่าที่น่าหวาดกลัว กรงเล็บทั้ง 4 แหลมคมอย่างยิ่ง มันคมกริบจนสามารถที่ฉีกเหล็กกล้าที่มีความลึกประมาณ 3 ชุ่น
หยางไค่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นสัตว์อสูรขั้นที่ 5 ที่มีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์อสูรที่เขาเองได้ฆ่าไปเมื่อหลายวันก่อน ความแข็งแกร่งของมันน่าจะเป็นสัตว์อสูรขั้นที่ระดับกลาง
เทียบเท่าผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 5-6
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อมันต่อสู้ขึ้นมามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธุ์แหงเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 5-6 ผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 3 ก็สามารถที่จะฆ่าพวกมันได้
แต่สิ่งที่ทำให้หยางไค่สงสัยไม่ใช่ความแข็งแกร่งของมัน แต่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้
หยางไค่มีความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างแท้จริงตลอดเวลา
ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ผิดปกติ เมื่อมันถูกผสานจากพลังแห่งตราประทับทาสสัตว์อสูรมันไม่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าเสือดาวเงาลวงสีทองกลับมีพฤติกรรมที่บ้าคลั่งและไม่สงบนิ่ง มันส่ายหางไปมาอย่างไม่หยุด และคำรามตลอดเวลา
มีปัญหา !!
หยางไค่หวนคิดถึงวิธีการควบคุมสัตว์อสูรของกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่าง และคิดว่ามันคงมีความขัดแย้งกับตราประทับทาสสัตว์อสูรของตนเอง
หยางไค่เดินไปข้างหน้า เขาเริ่มเอาใจใสเสือดาวเงาลวงสีทองและยืนมือสัมผัสไปยังหน้าผากของมัน และค่อยๆถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าไป เพื่อให้มันหมุนเวียนอยู่ในภายในร่างกายของมัน
เมื่อพลังลมปราณหมุนเวียนออกไป 5-6 รอบ ในที่สุดหยางไค่จึงค้นพบบริเวณที่ผิดปกติ
บนหน้าผากของเสือดาวเงาลวงสีทอง มีสิ่งอื่นที่ส่งผลต่อความผันผวนต่อชีวิตของมันกำลังเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุด
สีหน้าของหยางไค่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เขาจ้องมองเสือดาวเงาลวงสีทองด้วยความลึกซึ้ง และพบว่ามันเริ่มทุกข์ทรมาณมากยิ่งขึ้น ตราประทับทาสสัตว์อสูรที่ผสานเข้าสู่ร่างกายของมันกำลังต่อสู้และแย่งชิงการควบคุมเสือดาวเงาลวงสีทองกับบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่รู้จัก
ทั้งสองสิ่งต่อสู้แย่งชิงไปมา ต้องมีสิ่งหนึ่งที่ได้รับบาดเจบ ไม่ว่าสุดท้ายสิ่งไหนจะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ สุดท้ายสิ่งที่จะได้รับบาดเจ็บคือเสือดาวเงาลวงสีทอง
หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น หยางไค่ปลดปล่อยพลังลมปราณที่เพิ่มมากขึ้น หยางไค่ระมัดระวังในการควบคุมมัน เขาไม่กล้าที่จะรุนแรง เพราะจิตวิญวิญญาณอสูรของเสือดาวเงาลวงสีทองอยู่ในกำมือของเขา เมื่อจิตวิญวิญญาณอสูรถูกทำลาย เสือดาวเงาลวงสีทองจะตายในทันที
เขารอกระทั่งเสือดาวเงาลวงสีทองมีการตอบสนอง หยางไค่จึงกล้าที่จะถ่ายเทพลังลมปราณที่มากขึ้นให้แก่มัน
หยางไค่ทำเช่นนี้ 3- 4ครั้ง ในที่สุดสิ่งที่อยู่บนศีรษะของมันไม่สามารถที่จะทนรับได้ มันพยายามพุ่งออกมาด้านนอกด้วยความรีบเร่ง เมื่อรับรู้เช่นนี้ หยางไค่เริ่มจ้องมองด้วยความตั้งใจที่มากขึ้น เขาเองก็อยากรู้ว่ากลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่างใช้วิธีการใดในการควบคุมสัตว์อสูรให้เป็นทาสของมัน
10 ลมหายใจผ่านไป ทันใดนั้นศีรษะของเสือดาวเงาลวงสีทองได้มีแมลงตัวหนึ่งที่มีความยาวประมาณ 3 ชุ่นพุ่งออกมา
มือและดวงตาของหยางไค่เฉียบแหลมและว่องไว หยางไค่ได้จับกุมมันไว้ในมือของตนเอง
เมื่อจ้องมองอย่างเร่งรีบ หยางไค่พบว่าแมลงตัวนี้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับตะขาบ และมีคล้ายคลึงกับไส้เดือน แต่ยังมิทันที่หยางไค่จะมองเห็นอย่างชัดเจน แมลงตัวนี้ได้พุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาโดยพุ่งเข้าไปทางนิ้วมือของเขาเอง
หยางไค่ตื่นตกใจ เขารีบหมุนเวียนพลังลมปราณ
หลังจากนั้น แมลงตัวนี้ถูกพลังลมปราณหยางโจมตี มันถูกขังอยู่ในเส้นชีพจรลมปราณของหยางไค่และดิ้นไปมาอย่างไม่หยุด
หยางไค่ขมวดคิ้ว โดยไม่ได้ฆ่ามันในทันที หยางไค่สัมผัสได้ว่า แมลงตัวนี้หวาดกลัวต่อพลังลมปราณหยางของตนเองอย่างมาก มิเช่นนั้น มันคงไม่ออกมาจากร่างกายของเสือดาวเงาลวงสายฟ้าจนการบีบบังคับของตนเอง
ในเมื่อพลังลมปราณหยางเป็นดาวข่มของมัน ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดให้กังวลใจ
เมื่อกล่าวขึ้นมา ก่อนหน้านั้นที่อยู่ในเกาะซ่อนเร้น หยางไค่ถูกแมลงกลืนฟ้าพุ่งเข้าสู่ร่างกาย แต่แมลงกลืนฟ้ามีความแข็งแกร่งที่มากกว่าแมลงตัวนี้อย่างมาก
หยางไค่สัมผัสมันอย่างละเอียด แมลงตัวนั้นสั่นเทาอยู่ในเส้นชีพจรลมปราณของเขา โดยมิกล้าที่จะขยับเขยื้อน มันเชื่องยิ่งกว่าหนูที่มองเห็นแมวเสียอีก
มีพลังที่แปลกประหลาดไหลเวียนอยู่ในร่างกายของแมลง จึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะฟักตัวอยู่ในร่างกายของตนเอง
มารปฐพี เจ้าดูแมลงตัวนี้หน่อยสิ มันมีสิ่งไหนที่แปลกประหลาด หยางไค่กล่าวต่อมารปฐพี
มารปฐพีตอบรับ เขาค่อยๆเคลื่อนตัวไปพร้อมกับเข็มสลายวิญญานไปยังตำแหน่งที่แมลงตัวนี้ถูกขังเอาไว้ เขาตรวจสอบเป็นเวลานานจึงกล่าวตอบ : นายน้อย แมลงตัวนี้มีจิตวิญญานที่เชื่อมผสานกับกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเท่ียนหล่าง
จิตวิญญานที่เชื่อมผสาน? หยางไค่ขมวดคิ้ว : พวกมันมีเพียงพลังลมปราณแท้จริงไม่ใช่หรือไง ? พวกเขายังไม่ได้ฝึกฝนปราณจิตสัมผัสแห่งจิตวิญญาน ทำไมพวกเขาจึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ?
มารปฐพีหัวเราะอย่างแผ่วเบา : นายน้อย นายน้อยลืมหรือไปแล้วยังไง ?นายน้อยก็มีจิตวิญญานที่เชื่อมประสานกับข้า นายน้อยเหมือนกับพวกเขา ที่ยังไม่ได้ฝึกฝนปราณจิตสัมผัสแห่งจิตวิญญาน
หยางไค่เข้าใจในทันที : ความหมายของเจ้า .พวกเขามีคนคอยช่วยเหลือ ?
มารปฐพีกล่าว : เป็นเช่นนั้น และต้องเป็นยอดฝีมือ โดยการเชื่อมจิตวิญญานของพวกเขาเข้าไปในร่างกายของแมลงเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถควบคุมแลงเหล่านี้ได้
พวกเขาสามารถควบคุมแมลง ..เมื่อแมลงแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของสัตว์อสูร .พวกเขาจึงสามารถควบคุมสัตว์อสูร !! ดวงตาของหยางไค่ประกายด้วยความสว่าง ความสงสัยในจิตใจถูกไขอย่างกระจ่าง
หลายวันที่ผ่านมาเฉิงเซี่ยซูเคยกล่าวต่อหยางไค่ ว่ากลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่าง ต่างควบคุมสัตว์อสูรกว่าร้อยตัว ในเวลานั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจว่ากลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่างทำอย่าง่ไรถึงสามารถควบคุมสัตว์อสูรที่มากมายเช่นนั้น
จนถึงตอนนี้เขาจึงเข้าใจอย่างแจ่มชัด สิ่งที่พวกเขาควบคุมไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นแมลงที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ โดยการสั่งการให้แมลงควบคุมการเคลื่อนไหวของสัตว์อสูร
เมื่อครุ่นคิดไปมา หยางไค่รีบวิ่งไปยังบริเวณที่จิงฮ่าวตาย หยางไค่ขุดคุ้ยเศษผงสีขาว และมันเป็นอย่างที่เขาคาดเดา มีแมลงที่คล้ายคลึงกันอยู่ในเศษผลงเหล่านั้น
หยางไค่ยื่นมือจับมัน ก่อนจะปล่อยให้มันแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเขา เมื่อถูกตรวจสอบจากมารปฐพี หยางไค่มั่นใจในทันทีว่าภายในร่างกายของแมลงมีจิตวิญญานที่เชื่อมกับกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่าง
แท้จริงแล้วจิงฮ่าวไม่ได้เป็นทาสรับใช้ของกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเที่ยนหล่าง ... หยางไค่กล่าวพึมพำกับตัวเอง
ร่างกายของเขาคงถูกแมลงเหล่านี้แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นเขาจึงต้องเข้าร่วมกับกลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่างอย่างไรซึ่งหนทาง
สิ่งนี้สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าทำไมสัตว์อสูรทั้ง 3 ตนที่มากับจิงฮ่าว จึงไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขาจิงฮ่าวและสัตว์อสูรทั้ง 3 อยู่ฐานะที่เท่าเทียมกัน แม้กล่าวเช่นนี้ออกไปจะเป็นเรื่องที่น่าเวทนา แต่เรื่องจริงมันเป็นเช่นนี้
จือโบ ...
จิงฮ่าวคือกล่าวสบทชื่อนี้ออกมา กลุ่มคนแห่งอาณาจักรเทียนหล่างที่ควบคุมเขาชื่อว่าจือโบ ?
หยางไค่ครุ่นคิดไปมา ความคิดที่บ้าคลั่งได้ปรากฏขึ้น มุมปากของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่โหดเหี้ยม เขากล่าวถามมารปฐพี : มารปฐพี หากข้าใช้พลังลมปราณหยางในการเผาไหม้แมลงเหล่านี้ จิตวิญญานของผู้ฝึกยุทธุ์แห่งอาณาจักรเทียนหล่างก็คงจะได้รับบาดเจ็บ ?
มันเป็นเช่นนั้น แม้จะเป็นเพียงจิตวิญญานเพียงเล็กน้อย แต่มันก็สามารถทำให้นางได้รับความเดือนร้อนไม่น้อย
ฮ่าฮ่า หยางไค่หัวเราะด้วยความโหดเหี้ยม ในหัวสมองของเขาเริ่มครุ่นคิดวิธีการต่างๆ
มารปฐพีกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง : นายน้อย ข้ามีข้อเสนอดีๆ ฮ่าฮ่าฮ่า .
โอ้ว ? พูดมาซิ เมื่อหยางไค่ได้ยินดังนี้ เขาหัวเราะด้วยความตื่นเต้น เขารู้ในทันทีว่าข้อเสนอของมารปฐพีเป็นเช่นไร ..