ตอนที่ 225 กลิ่นอายที่พุ่งทะยาน
ตอนที่ 225 กลิ่นอายที่พุ่งทะยาน
หลังจากที่ผ่านไปไม่ถึง 10 ลมหายใจ หยางไค่รู้สึกว่าเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 4 ของตนเองถึงขีดจำกัดสูงสุดของมัน การบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของเขาได้พุ่งทะยานไปยังเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 5 และมันยังคงพุ่งทะยานสูงขึ้น สูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่อง ................
วามก้าวหน้าอย่างฉับพลันเช่นนี้ทำให้หยางไค่ตื่นตระหนก แม้ว่าเขาเองต้องการที่การบ่มเพาะพลังของตนเองให้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ แต่พลังที่มากมายมหาลซึ่งพุ่งทะลักเข้าสู่ร่างกายของเขา เกินกว่าขีดความสามารถสูงสุดที่เขาจะได้รับได้
กล้ามเนื้อทั่วร้ายเกรงแข็งอย่างฉับพลัน ร่างกายของหยางไค่พองขึ้นมาอย่างเท่าตัว ทันใดนั้นมันสามารถมองเห็นผิวหนังและเส้นโลหิตภายในที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างรุนแรง ราวกับว่ามันมีไส้เดือนจำนวนมากมายกำลังชอนไชเคลื่อนไหวอยู่ภายใน เกิดเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างสุดขีด
หลังจากที่ผ่านไปชั่วครู่ ผิวหนังของหยางไค่เกิดเป็นรอยแตกที่นับไม่ถ้วน กล้ามเนื้อที่อยู่ภายในร่างกายเริ่มฉีกขาดอย่างช้าๆ โลหิตสีแดงค่อยไหลรวยรินออกมา ทำให้ร่างกายของเขาปกคลุมด้วยโลหิตสีแดงสดอย่างน่าหวาดกลัว
ภายใต้พลังแห่งกความกดทับที่มากมายมหาศาล กระดูกทองคำหิวโหยยิ่งกว่าที่ผ่านมา มันดูดกลืนพลังที่ถูกหลอมละลายเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าหยางไค่จะหมุนเวียนกลยุทธุ์หยางจนถึงขีดสุด ก็มิอาจควบคุมความเร็วในการไหลเวียนของพลังเหล่านั้น
พู่ว พู่ว พู่ว ... *
ร่างกายของหยางไค่มีเสียงกระซิบกระซาบที่อัดอั้นดังขึ้น หลังจากเสียงนั้นได้หายไป ร่างกายของหยางไค่ได้ระเบิดคลื่นแห่งโลหิตออกกมา แสงประกายสีแดงดั่งโลหิตพุ่งออกมาจากร่างกายของหยางไค่ พื้นที่บริเวณรัศมีวงกลมได้ถถูกพลังที่ดุดัน โหดเหี้ยม ชั่วร้ายที่ถึงขีดสุดปกคลุมในพริบตา
มารปฐพีตะโกนด้วยความตื่นตะลึงและหวาดกลัว จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้รับการตอบสนองจากหยางไค่ ในเวลานี้มารปฐพีเป็นดั่งมดตัวน้อยที่ตกลงไปในกระทะที่ร้อนระอุจนมิอาจที่จะทำอะไรต่อไป
หยางไค่กดทับความทุกข์ทรมาณที่แผ่ซ่านมายังทุกคนทุกแห่งของร่างกาย เขาขบฟันไว้แน่น ในขณะที่ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง ในเวลานี้ ความรู้สึกที่สิ้นหวังได้ก่อเกิดขึ้นห้วงจิตใจ พลังกดทับมากมายมหาศาลที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายทำให้เขารู้สึกว่ากำลังยืนอยู่บนขอบเหวแห่งความตายที่มิอาจต้านทานมันได้
จากพลังที่มากมายมหาศาลที่ไหลเข้ามายังท่วมท้น ทำให้หยางไค่รู้สึกว่าร่างกายของตนเองได้พองขึ้นอีก 1 เท่าตัว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พลังที่มากมายมหาศาลเหล่านั้นต้องทำให้ร่างกายของเขาระเบิดเป็นเสี่ยงๆอย่างแน่นอน
นอกจากนั้นสิ่งที่หยางไค่ต้องอดทนในช่วงเวลาทิ่วิกฤตไม่ได้มีเพียงพลังที่มากมายมหาศาลเหล่านี้ แต่มันยังมีกลิ่นอายวิญญานแห่งความโหดเหี้ยม ความดุดัน ความชั่วร้ายที่ไหลเข้าสู่จิตวิญญานพร้อมกับพลังเหล่านี้
มันเป็นกลิ่นอายแห่งสัตว์อสูรทั้ง 2 ตนที่ตายไป เพราะพลังอันยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลของพวกมัน และพลังแห่งสวรรค์ที่ลึกลับในสถานที่แห่งนี้ ทำให้เมล็ดวิญญาณและโลหิตของพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นลูกแก้วชีพจรโลหิต แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจที่จะทำลายกลิ่นอายของพวกมันไปได้
กลิ่นอายแห่งวิญญาณที่ชั่วร้ายเหล่านี้ ไม่แตกต่างจากความกดทับแห่งพลังอันยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลที่พุ่งเข้ามา
หยางไค่จึงทำได้เพียงควบคุมสติและความรู้สึกของตนเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้กลิ่นอายแห่งสัตว์อสูรเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขา ในขณะเดียวกันเขายังได้ครุ่นคิดหาวิธีในการหยุดยั้งพลังเหล่านี้
ในความเป็นจริงวิธีการแก้ปัญหาทำได้ง่ายมาก เพียงแค่พลังลมปราณหยางที่อยู่ภายในร่างกายสามารถหลอมละลายพลังเหล่านี้ในระยะเวลาและความเร็วที่เท่าเทียนมกัน มันจะทำให้สถานการณ์ที่วิกฤตเหล่านี้คลี่คลายในทันที
แม้ว่าจะรู้ถึงวิธีการ แต่การทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยากและยากยิ่ง
กลยุทธุ์หยางหมุนเวียนถึงขีดสุด ไร้ซึ่งหนทางที่จะทำให้มันหมุนเวียนได้เร็วยิ่งกว่านี้
มีเพียงหนทางเดียวในการคลี่คาย นั้นคือการทำให้พลังลมปราณหยางที่อยู่ภายในมีความบริสุทธุ์และหนาแน่นยิ่งขึ้น !!
กลยุทธุ์หนางเปรียบดั่งลูกไฟลูกหนึ่ง พลังที่พุ่งเข้าสู่ร่างกานในตอนนี้เปรียบดั่งชิ้นส่วนของเหล็กกล้า หากลูกไฟยิ่งบริสุทธุ์ ยิ่งหนาแน่น อุณหภมิยิ่งสูง มันจะสามารถหลอมละลายเหล็กกล้าเหล่านั้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ไม่มีเวลาที่จะคิดไต่รตรองอีก เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา หยางไค่กัดฟันตนเองไว้แน่นและระเบิดหยดน้ำพลังลมปราณหยาง 1 หยดจากจุดตันเถียน
หยดน้ำพลังลมปราณหยาง 1 หยด เท่ากับพลังลมปราณทั้งหมดทีอยู่ในเส้นชีพจรลมปราณ
เมื่อมีการะเบิดหยดน้ำพลังลมปราณหยาง เส้นชีพจรลมปราณที่อัดอั้นแน่นด้วยพลังลมปราณหนาแน่นมากขึ้นอย่างมิอาจควบคุม ความเจ็บปวดของเส้นชีพจรลมปราณและกล้ามเนื้อที่อุดมไปด้วยโลหิตทำให้รางกายของหยางไค่สั่นเทาอย่างรุนแรง
เสียงลมหายใจที่ไร้ซึ่งสุ้มเสียงระเบิดออกมา หยางไค่พยายามบีบเส้นชีพจรลมปราณของตนเองอย่างบ้าคลั่ง เพื่อให้พลังลมปราณหยางที่อยู่ในเส้นชีพจรลมปราณหดตัวลง เพื่อทำให้มันบริสุทธุ์ยิ่งขึ้น มันเป็นวิธีการที่ต้องทดสอบความอดทนของมนุษย์อย่างยิ่ง โชคดีที่ความอดทนแห่งความไร้พ่ายสำแดงอำนาจพลังของมันออกมาในช่วงเวลาสำคัญ การก้าวข้ามเขตแดนในช่วงเวลาสั้นๆทำให้หยางไค่สามารถทนต่อพลังที่ทิ่มแทงอย่างทุกข์ทรมาณเช่นนี้
หลังจากทีทนทุกข์ทรมารเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ความกดทับแห่งพลังอันยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลได้ลดน้อยลง พลังลมปราณหยางในเส้นชีพจรลมปราณที่อยู่ภายใต้การหมุนเวียนของหยางไค่ ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งกับพลังลมปราณ มันจึงทำให้พลังลมปราณในร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นความบริสุทธุ์ที่มากขึ้น จึงทำให้กลยุทธุ์หยางหมุนเวียนด้วยความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ด้วยการร่วมมือของสองพลังอำนาจ ทำให้พลังอันยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาถูกหลอมละลายได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อสัมผัสได้ดังนี้ จิตวิญญานหยางไค่กระตุกอย่างรุนแรง เขาพยายามหมุนเวียนพลังลมปราณในเส้นชีพจรลมปราณเพื่อควบคุมการหลอมละลายของพลังลมปราณ
เมื่อเวลาผ่านไป พลังลมปราณหยางในร่างกายบริสุทธุ์ยิ่งขึ้น ความเร็วในการหลอมละลายพลังที่พรั่งพรู่เข้ามาก็มีความรวดเร็วยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน
หากมองจากภายนอก ร่างกายที่พองโตเปรียบดั่งลูกบอลที่ถูกเจาะรู มันค่อยๆหดตัวลงอย่งรวดเร็วจนอยู่ในสภาพเช่นเดิมของตนเอง
มารปฐพีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาหลบซ่อนตัวในเข็มสลายวิญญาณและอธิษฐานอย่างไม่หยุดยั้น ความเป็นความตายของหยางไค่เกี่ยวข้องกับเขา เขาจะไม่กังวลได้อย่างไรล่ะ ?
เมื่อความเร็วในการหลอมรวมของพลังลมปราณหยางเริ่มชะลอตัวลง หยางไค่ได้ระเบิดหยดน้ำพลังลมปราณหยางอีก 1 หยด เขาใช้วิธีการที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ในการหมุนเวียนให้พลังลมปราณทั้งสองหลอมรวมกัน
ครึ่งวันผ่านไป พลังลมปราณหยางบริสุทธุ์ถึงระดับหนึ่ง เมื่อกลยุทธุ์หยางหมุนเวียน หยางไค่ได้ยินเสียงหึ่งหึ่งที่ดั่งมาจากร่างกายของตนเอง มันเป็นเสียงที่จะเกิดขึ้นในขณะที่พลังลมปราณหมุนเวียนอยู่ภายในเส้นชีพจรลมปราณจนถึงขีดสุด
เมื่อถึงตอนนี้ ความสามารถในการหลอมละลายของพลังลมปราณหยางไค่เทียบเท่ากับการพลังอันยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลที่ไหลทะลักเข้าไป ร่างกายที่พองโตได้กลับมาสู่สภาพเดิม
ไร้ซึ่งอันตรายต่อชีวิต !! หยางไค่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาค่อยๆลืมตาและมองไปรอบๆ ตัวลและพบว่าลูกแก้วเส้นชีพจรโลหิตทั้ง 2 ดวงถูกหลอมละลายไปเพียงเล็กน้อย ขนาดของมันไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่า เขาประเมินพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้ง 2 ดวงต่ำเกินไป
การต่อสู้และการดิ้นรนในสถานการณ์ที่อันตรายถึงชิวต ทำให้หยางไค่เกิดความคิดบางอย่าง จิตใจของเขาเริ่มเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งทีเกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงการยกระดับความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้น
การบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธุ์ในเขตแดนผสานลมปราณ ซ่อนเร้นภารกิจของพวกเขา 1 ประการ นั้นคือการเตรียมความพร้อมในการยกระดับพลังลมปราณให้กลายเป็นพลังลมปราณแท้จริง เพื่อให้พลังลมปราณภายในร่างกายของตนเองกลายเป็นพลังลมปราณที่บริสุทธุ์ หนาแน่น และเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เมื่อมันบรรลถึงขีดจำกัดสูงสุดในระดับหนึ่ง พลังลมปราณจะเปลี่ยนแปลงเป็นพลังลมปราณแท้จริง ซึ่งเป็นการประสบความสำเร็จในการยกระดับพลังลมปราณให้กลายเป็นพลังลมปราณแท้จริงได้อย่างสมบูรณ์
ก่อนหน้านั้น ความแข็งแกร่งของหยางไค่ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันเป็นเพียงการพลังภายในร่างกายที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อประสบการณ์บททดสอบแห่งความเป็นความตายที่ผ่านมา เขาพบว่าการบรรลุและก้าวข้ามเขตแดนไม่ได้มีเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้น แต่มันยังมีวิธีและหนทางอื่น
แม้ว่าปริมาณพลังงานในร่างกายของเขาจะไม่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเพาะปลูกได้
อาจจะกล่าวได้ว่า แม้พลังภายในร่างกายจะไม่เพิ่มขึ้น ก็สามารถก้าวข้ามเขตแดนได้
เมื่อพลังลมปราณบริสุทธุ์ถึงระดับหนึ่ง มันจะเป็นการบรรลุและก้าวข้ามเขตแดนเช่นเดียวกัน !! จากการบรรลุและก้าวข้ามเขตแดนในทุกๆครั้ง พลังลมปราณจะบริสุทธุ์มากขึ้นๆ และมันจะกลายเป็นพลังลมปราณแท้จริงในที่สุด
แต่ว่า ผู้ฝึกยุทธุ์โดยทั่วไปไม่ได้มีเงื่อนไขทางร่างกายเฉกเช่นหยางไค่ ที่จุดตันเถียนของเขากักเก็บพลังที่มากมายมหาศาลตลอดเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงมีหนทางเดียวคือการดูดซับพลังลมปราณจากภายนอกเพื่อเพิ่มพลังลมปราณในร่างกายของตนเอง และค่อยๆ หลอมละลายมัน จนกลายเป็นพลังลมปราณที่บริสุทธุ์
แต่ครึ่งวันก่อนนี้ หยางไค่เผชิญหน้ากับสถานการณ์แห่งความเป็นความตายที่สิ้นหวัง ซึ่งเป็นการพบหนทางในการบ่มเพาะพลังที่เหมาะสมสำหรับตนเอง
การพบเจอในครั้ง ทำให้เขาทราบว่าผู้ฝึกยุทธุ์แห่งเขตแดนผสานลมปราณควรทำสิ่งใด
จิตใจที่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ทำให้ร่างกายของหยางไค่เบาสบายและผ่อนคลาย ความรู้สึกในการค้นพบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงช่างงดงามและหอมหวานอย่างยิ่ง
พลังของลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้ง 2 ดวงยังคงไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของหยางไค่อย่างต่อเนื่อง ดั่งแม่น้ำที่ไหลทะลักอย่างไม่หยุด จนกลายเป็นต้นตอแห่งความแข็งแกร่งของตนเอง
กลิ่นอายวิญญานแห่งความโหดเหี้ยม ความดุดัน ความชั่วร้ายที่ไหลเข้ามาพร้อมกับพลังอันมากมายมหาศาลถูกหลอมละลาย แต่มันไม่ได้ถูกหลอมรวมกัน แต่ถูกขับออกจากเส้นชีพจรลมปราณและรวมตัวด้านข้างร่างกายภายนอกของหยางไค่ ไม่ว่าลมจะพัดเช่นไรมันก็ไม่สลายออกไป
หยางไค่รับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ในตอนนี้เขาอยู่ในช่วงเวลาสำคัญในการดูดซับพลัง เขาจึงไม่ได้ไปสนใจกับความผิดปกติเหล่านั้น
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นสามารถยืนยันได้ว่าสัตว์อสูรทั้งสองตนมีความแข็งแกร่งมากเช่นไร แม้มันจะตายไปเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าจะกลั่นตัวเป็นลูกแก้วชีพจรโลหิต แต่กลิ่นอายแห่งสัตว์อสูรที่โหดเหี้ยมและชั่วร้ายยังคงไม่ดำรงอยู่
การดูดซับพลังแห่งลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้ง 2 ดวงใช้เวลาไปกว่า 10 วันเต็มๆ หยดน้ำพลังลมปราณหยางที่กักเก็บในจุดตันเถียนถูกใช้ไปกว่าครึ่ง เขาจึงสามารถดูดซับพลังของลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้ง 2 ดวง จนหมด
แต่สิ่งที่ทำให้มารปฐพีคับข้องใจและไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นคือหยางไค่ที่ดูดซับพลังอันมากมายมหาศาล แต่การบ่มเพาะพลังความแข็งแกร่งของเขายังคงอยู่ในเขตแดนผสานลมปราณขั้นที่ 5 เช่นเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มารปฐพีงุนงงและสับสน เขาไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ่อนเร้นความน่าอัศจรรย์และความลึกลับเช่นไรเอาไว้
หลังจากที่ลูกแก้วชีพจรโลหิตทั้ง 2 ดวงหายไป กลิ่นอายวิญญานแห่งความโหดเหี้ยม ความดุดัน ความชั่วร้ายเฮือกสุดท้ายได้พุ่งออกจากร่างกายภายในของหยางไค่ และรวมตัวอยู่ด้านนอก
10 วันผ่านไป หยางไค่ที่นั่งสมาธิในบริเวณนี้ จนกลิ่นอายแห่งรัศมีบริเวณรอบๆข้างของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าที่รุนแรง กลิ่นอายวิญญานแห่งความโหดเหี้ยม ความดุดัน ความชั่วร้ายแบ่งเป็น 2 ดวง พวกมันทั้งสองต่างรวมตัวอยู่ข้างร่างกายของหยางไค่ โดยเหมือนนว่าพวกมันยังคง ต่อต้านกันอย่างไม่หยุด ราวกับสัตว์อสูรสองตนที่กำลังจะต่อสู้กันในขณะที่มีชีวิต
รัศมีบริเวณ 100 จ้าง ถูกครอบคลุมจากลิ่นอายที่มืดทะมึนเหล่านี้ เมื่อกลิ่นอายเฮือกสุดท้ายได้พุ่งรวมกัน กลิ่นอายวิญญานแห่งความโหดเหี้ยม ความดุดัน ความชั่วร้ายทั้งสองดวงเริ่มเคลื่อนไหวและปะทะกันอย่างรุนแรง
ในช่วงเวลาพริบตา กลิ่นอายวิญญานแห่งความโหดเหี้ยม ความดุดัน ความชั่วร้ายทั้ง 2 ดวงได้แปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างของสัตว์อสูร 2 ตน
ด้านซ้ายของเงาร่างสัตว์อสูรมีความสูงประมาณ 3 จ้าง ร่างกายของมันขาวดั่งหิมะ โดยไม่มีสิ่งสกปรกปะปนแม้แต่น้อย บนหน้าผากของมันมีอักขระ ? (แปลว่าจักรพรรดิ) ประทับอย่างสง่างาม มุมปากของมันมีเขี้ยวสีขาว 2 ซีที่ประกายแสงแห่งความเยือกเย็น หางที่ยาวเปรียบเสมือนแส้ที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ในขณะที่มันกวัดแกว่งได้เกิดเสียงสายลมที่รุนแรงอย่างสม่ำเสมอ
สัตว์อสรูตนนี้ คือพยัคฆ์ขาว !!
เงาร่างของสัตว์อสูรด้านขาวมีรูปร่างอันมหึมา มีความสูงประมาณ 40-50 จ้าง โดยที่ร่างกายส่วนบนของมันเทียบเท่าชั้นเมฆ โดยมองเห็นอย่างไม่ชัว่ามันมีรูปร่างอย่างไร แต่จากร่างกายของมัน มองเห็นรูปร่างที่คล้ายกับวัว เมื่อ 4 เท้าของมันสัมผัสพื้นดิน จนทำให้พื้นปฐพีและเทือกเขาสนั่นหวั่นไหว
พยัคฆ์ขาวสะท้านสวรรค์ เทพวัวทะลายปฐพี !! มาปฐพีอุทานด้วยความตื่นตะลึง
เมื่อรูปร่างของสัตว์อสูรปรากฏ มันทำให้สวรรค์ต้องตะโกนด้วยความเกรี้ยวโกรธ
ทันใดนั้นบรรยากาศของหุบเขาเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน หลังจากนั้น พวกมันทั้งสองได้แปรเปลี่ยนหมอกสีเทา และพุ่งเข้าไปยังร่างกายภายในของหยางไค่ที่จ้องมองด้วยความตื่นตะลึง
หยางไค่รู้สึกเพียงว่าร่างกายของเขากระตุกอย่างรุนแรงจนมันหยุดนิ่ง กลิ่นอายวิญญานแห่งความชั่วร้ายหมุนตลบภายในร่างกาย จนเขาเองมิอาจที่จะขยับเขยื้อน สิ่งที่สายตาของเขามองเห็น มิใช่บรรยากาศที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่มันเป็นสถานที่กว้างใหญ่ของโลกแห่งนี้ พยัคฆ์ขาวและเทพวัว สัตว์อสูรสองตนที่กำลังต่อสู้อย่างดุดันและรุนแรง สัตว์อสูรอื่นๆ ลอยเคว้งอยู่บนท้อง้ฟ้าอย่งวุนวายด้วยพลังลึกลับบางอย่าง ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ลมวายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง
นี้เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความแค้นในขณะที่สัตว์อสูรทั้ง 2 ยังมีชีวิต มันจึงก่อให้เกิดเป็นฉากเหตุการณ์ในขณะที่พวกมันยังมีชีวิต แม้ว่าพวกมันทั้ง 2 จะตายไป จิตวิญญานของพวกมันก็ยังคงต่อสู้กับอย่างไม่ลดละ
ฉากเหตุการณ์การต่อสู้ เกิดขึ้นจากพลังที่ถูกดูดซับเข้าไปยังร่างกายภายในของหยางไค่
ในขณะที่พวกมันยังมีชีวิต พวกมันมีความสามารถที่เท่าเทียม และต่อสู้จนตายในเวลาเดียวกัน หลังจากที่มันตายพวกมันทั้งสองยังคงเป็นคู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมของกันและกัน มันช่างสง่างามและน่าเคารพอย่างถึงที่สุด !
หยางไค่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดทรมาณ หลังจากที่เขาตื่นตะลึงในเวลาแรก เขาค่อยๆสงบความตื่นตะลึง และตั้งใจดูการต่อสู้ที่ตัดสินความตายของสัตว์อสูรทั้ง 2
สงครามที่สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ฟ้าดิน มิใช่ผู้ฝึกยุทธุ์เฉกเช่นพวกเขาจะได้พบเจอ แม้จะเป็นการต่อสู้ของสัตว์อสูร แต่การตั้งใจและสังเกตุการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ล้วนมีผลประโยชน์ที่ได้รับมากมาย
หลังจากนั้น หยางไค่ได้ลืมการดำรงอยู่ของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก เขาพุ่งความสนใจความตั้งใจทุกสิ่งทุกอย่างไปยังร่างกายของสัตว์อสูรทั้ง 2 ในขณะที่เขาเฝ้าเกตุสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเป็นพยานคนเดียวในเหตุการณ์ ทันใดนั้นเขาค่อยๆนั่งขัดสมาธิลง กลิ่นอายวิญญานแห่งความโหดเหี้ยม ความดุดัน ความชั่วร้ายได้พุ่งทะยานขึ้นสูท้องฟ้าอย่างรุนแรง มันสามารถมองเห็นกลิ่นอายวิญญานเหล่านั้นด้วยตาเปล่า แต่มันกลับไม่ส่งผลกระทบต่อตัวเขาที่อยู่ใกล้เคียงแม้แต่น้อย